ยักษ์ใหญ่เมืองปลาดิบเริ่มนำรถไฮบริดชนิดไม่ต้องเสียบปลั๊ก TOYOTA PRIUS ออกสู่ตลาดเมื่อปี 1997 และเปลี่ยนรุ่นรถอนุกรมนี้แล้วรวม 3 ครั้ง ในปี 2003/2009 และ 2015 รวมทั้งผลิตรถตัวถังเดิมแต่ติดตั้งระบบไฮบริดชนิดต้องเสียบปลั๊ก และติดป้ายชื่อ TOYOTA PRIUS PHV (โตโยตา ปรีอุส พีเอชวี) 2 รุ่น ในปี 2011 และ 2017 กับผลิตรถไฮบริดชนิดไม่ต้องเสียบปลั๊ก แต่เปลี่ยนตัวถังจากรถฟาสต์แบค เป็นรถตรวจการณ์ และติดป้ายชื่อ TOYOTA PRIUS ALPHA (โตโยตา ปรีอุส อัลฟา) อีก 1 รุ่น ในปี 2011 รถรุ่นใหม่นี้จึงเป็นรถไฮบริดชนิดไม่ต้องเสียบปลั๊ก TOYOTA PRIUS รุ่นที่ 5 และเป็นรถไฮบริดชนิดต้องเสียบปลั๊ก TOYOTA PRIUS PHV รุ่นที่ 3
เป็นรถที่ทีมงานของยักษ์ใหญ่เมืองปลาดิบออกแบบตามแนวคิด HYBRID REBORN หรือ “ไฮบริดเกิดใหม่” ออกแบบ/พัฒนาโดยใช้พแลทฟอร์ม TNGA (TOYOTA NEW GLOBAL ARCHITECTURE) เจเนอเรชันที่ 2 และติดตั้งระบบไฮบริดเจเนอเรชันที่ 5 รูปทรงองค์เอวของตัวถังมีลักษณะอย่างที่เรียกกันในภาษาอังกฤษว่า MONO-FORM SILHOUETTE (โมโน-ฟอร์ม ซิลูเอทท์) ซึ่งเมื่อมองจากด้านข้างตรงๆ จากปลายจมูกรถ ผ่านช่วงหลังคา จนจรดบั้นท้ายของตัวรถ มีรูปลักษณ์เป็นเส้นโค้งเพียงเส้นเดียว
รถซึ่งติดตั้งระบบไฮบริดชนิดไม่ต้องเสียบปลั๊กเพื่อชาร์จไฟ ซึ่งเรียกโดยย่อว่า HEV หรือ HYBRID ELECTRIC VEHICLE จะมีขุมพลังให้เลือก 2 แบบ 2 ขนาด คือ แบบใช้เครื่องยนต์เบนซิน ความจุ 1.8 ลิตร ทำงานร่วมกันกับมอเตอร์ไฟฟ้า และให้กำลังรวมสูงสุด 103 กิโลวัตต์/140 แรงม้า กับแบบใช้เครื่องยนต์เบนซิน ความจุ 2.0 ลิตร ทำงานร่วมกันกับมอเตอร์ไฟฟ้า และให้กำลังรวมสูงสุด 144 กิโลวัตต์/196 แรงม้า ส่วนรถติดตั้งระบบไฮบริดชนิดต้องเสียบปลั๊กเพื่อชาร์จไฟ ซึ่งเรียกโดยย่อว่า PHEV หรือ PLUG-IN HYBRID ELECTRIC VEHICLE จะใช้เครื่องยนต์เบนซิน ความจุ 2.0 ลิตร ทำงานร่วมกันกับมอเตอร์ไฟฟ้า และแบทเตอรีลิเธียม-ไอออน ให้กำลังรวมสูงสุด 164 กิโลวัตต์/223 แรงม้า 
