พิเศษ(formula)
เปิดผ้าคลุม รถใหม่ ปี '51
หลังผ่านพ้นการเลือกตั้งเมื่อปลายปีมาหมาดๆ ตลาดรถยนต์ปีนี้ มีทีท่าว่าจะสดใส และ
คึกคัก บริษัทรถยนต์บ้านเรา เตรียมแผนเปิดผ้าคลุมรถรุ่นใหม่ในสังกัดกันยกใหญ่ เอาแค่
เฉพาะที่เปลี่ยนโฉมยกกระบิ และบิก ไมเนอร์เชนจ์ ไม่รวมแบบแต่งหน้าทาปาก ก็มีมากมาย
หลายรุ่น แล้วมีหรือที่ "ฟอร์มูลา" จะไม่นำเสนอเรื่องนี้ให้คุณรู้ก่อนใคร
เก๋งขนาดเล็ก
เชฟโรเลต์ อาวีโอ และ อาวีโอ 5 ประตู
เชฟโรเลต ฯ ปล่อยน้องเล็ก อาวีโอ รหัส T250 เข้ามาแชร์ส่วนแบ่งการตลาดกับ ฮอนดา ซิที และ
โตโยตา วีออส ได้ไม่เท่าไร ก็มีเสียงเรียกร้องจากผู้บริโภคหนาหูว่า น่าจะนำตัว 5 ประตู เข้า
มาประกอบขายด้วย เพราะทั้งสวย และเล็กกะทัดรัด พอที่จะฟัดกับ ฮอนดา แจซซ์ และ โตโยตา
ยารีส เจ้าตลาดได้ แถมยังแว่วข่าวว่า บริษัทเจ้าของบแรนด์บ้านเรา ก็สนใจอยู่ไม่น้อย
อาวีโอ ออกขายได้ปีกว่าๆ แม้จะโหมแคมเปญสารพัด แต่ยอดขายก็ยังเรื่อยๆ มาเรียงๆ
เพราะแม้สมรรถนะของระบบรองรับจะดี ความกว้างขวาง และประโยชน์ใช้สอย ภายในเด่นพอตัว
แต่ก็ติดปัญหาที่เครื่องยนต์ 1.4 ลิตร 94 แรงม้า ที่มีขนาดเล็ก และแรงน้อยกว่าเพื่อนร่วม
ตลาดอยู่หลายขุม ครั้นจะพูดถึงเรื่องบแรนด์ ก็ยังกล้าแกร่งแข็งแรงไม่เท่าเพื่อนๆ อีก
ดังนั้น คาดว่าช่วงครึ่งปีหลัง เราน่าจะได้เห็น อาวีโอ ปรับปรุงขนานใหญ่ ทั้งหน้าตา
สมรรถนะเครื่องยนต์ และประโยชน์ใช้สอย เอาอย่างรุ่นพี่ ออพทรา และพิคอัพ
โคโลราโด ที่ไมเนอร์เชนจ์ กันไปก่อนหน้าแล้ว ทั้งนี้เพื่อลดข้ออ่อน ข้อด้อย และกระตุ้น
ตลาดอีกระลอก ส่วนรุ่น 5 ประตู คงต้องรอลุ้นกันต่อไป
และถ้าลมเปลี่ยนทิศ อาวีโอ ขายคล่องขึ้น ก็เป็นไปได้ว่า รถขนาดเล็กรุ่นใหม่ ที่พัฒนาภายใต้
โครงการ T300 ของ จีเอม ซึ่งเป็นโฉมใหม่ของ อาวีโอ จะมีโอกาสเข้ามาทำตลาดทดแทน
T250 รุ่นปัจจุบัน แต่คงต้องรอนานหน่อย โดยจะเปิดตัวในตลาดโลกปลายปีนี้ อย่างเร็ว
คงเปิดตัวในบ้านเราได้กลางถึงปลายปี 2009
ฮอนดา แจซซ์ และ ซิที
ปีนี้ ฮอนดา ไม่ได้เลือกโหมโรง ซีดาน ขนาดเล็กอย่าง ซิที เหมือน 2 ครั้งก่อน แต่กลับนำ แจซซ์
ที่ยอดขายดีกว่า มาเปิดตัวในไตรมาสแรก ส่วน ซิที คงต้องรอการพัฒนาอีกระยะ กว่าจะขายได้
คงต้องรอไตรมาส 3 ถึง 4
เหตุผลที่ ฮอนด้า ฯ เลือก แจซซ์ มาเปิดตัวก่อน น่าจะมี 2 ประการ คือ
1. การผลิตที่ต้องใช้พื้นตัวถัง (PLATFORM) ในชื่อ สมอลล์ แมกซ์ (SMALL MAX) ที่ใหม่หมด
ร่วมกัน โดยในตลาดโลก แจซซ์ หรือ ฟิท จะเป็นโครงสร้างหลัก (และเป็นรุ่นทำตลาดหลักด้วย) ส่วน
ซิที จะเป็นการนำมาพัฒนาต่อจากโครงสร้างเดียวกัน แต่ครั้งนี้โล่งใจที่ ฮอนดา ตัดสินใจเลือก
ที่จะไม่ใช้เสาหน้าของ ซิที ร่วมกับ แจซซ์ เพราะคงตระหนักแล้วว่า การประหยัดมากเกินไป จะทำ
ให้รถไม่สวยงาม และไม่ถูกใจผู้บริโภคเท่าที่ควร กลางปีนี้ เราจึงมีโอกาสเห็น ซิที ใหม่ มีรูปทรง
ที่ลงตัวขึ้นกว่ารุ่นปัจจุบัน
2. ยอดผลิต และจำหน่ายของ แจซซ์ ทั้งในตลาดโลก และตลาดบ้านเรา มีมากกว่า ซิที เป็นกอง
จึงไม่น่าแปลกใจที่ ฮอนด้า ฯ เลือกที่จะเปิดตัว แจซซ์ ก่อน เพื่อแก้ไขยอดขายที่เริ่มเฉื่อยชา จาก
ความเก่าของโฉมปัจจุบัน และยอดขายอันน้อยนิดของ ซิที ที่ช่วยเรื่องตัวเลขไม่ค่อยได้ แม้
จะทำให้อายุตลาดของ แจซซ์ โฉมปัจจุบันน้อยลง เพราะคราวก่อนเปิดตัวทีหลัง ซิที ก็ตามที
แต่ด้วยความสำเร็จของรุ่นปัจจุบัน ทำให้หน้าตาของ แจซซ์ ไม่ได้หนีไปจากแนวคิดเดิมๆ มากนัก
ขณะเดียวกัน ก็กลม และป่องขึ้น จากวัตถุประสงค์ที่ต้องการเพิ่มความสะดวกสบายภายใน โดย
เมื่อเทียบกับรุ่นปัจจุบัน ตัวถังยาวกว่าเดิม 7 ซม. กว้างขึ้น 2 และฐานล้อยาวกว่าเดิม 5 ซม.
จุดเด่นที่ แจซซ์ ใหม่ มีให้มากกว่าเดิม อาทิ กระจกหูช้างที่ใหญ่ขึ้น การเพิ่มประสิทธิภาพการ
กระจายแรงกระแทกจากการชน รัศมีการเปิดประตูคู่หลังเพิ่มขึ้นจาก 70 เป็น 80 องศา
เครื่องยนต์พื้นฐานเดิม แต่ปรับปรุงหลายจุด เช่น ท่อร่วมไอดี/ไอเสีย หัวลูกสูบ และกระเดื่อง
วาล์วอลูมิเนียม ให้กำลังเพิ่มเป็น 120 แรงม้า ส่วนที่ดีอยู่แล้ว และคงไว้เหมือนเดิม คือ เบาะ
หลังแบบ อุลทรา ซีท และระบบส่งกำลังอัตโนมัติแบบแปรผันต่อเนื่อง (CVT)
มาซดา 2 และ ฟอร์ด ฟิเอสตา
ตั้งแต่บริษัท กมลสุโกศล จำกัด และบริษัท แองโกลไทย มอเตอร์ จำกัด อดีตผู้แทนจำหน่ายรถยนต์
มาซดา และ ฟอร์ด แต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทย นำรถเล็ก มาซดา 121 และฟอร์ด เฟสติวา
เข้ามาจำหน่ายเมื่อสิบกว่าปีก่อน จนถึงปัจจุบันที่บริษัทแม่จากญี่ปุ่นเข้ามาทำตลาดแทน
เราก็ยังไม่เคยเห็นรถประเภทนี้ของ มาซดา และ ฟอร์ด อีกเลย
แต่เมื่อปลายปีที่แล้ว มาซดา และคู่ซี้ ฟอร์ด ได้ออกมาประกาศว่าจะขึ้นสายการผลิตรถยนต์นั่ง
ขนาดเล็ก คือ มาซดา 2 และ ฟอร์ด (ที่มีความเป็นไปได้สูงที่จะใช้ชื่อเดียวกันกับตลาดโลกในชื่อ)
ฟิเอสตา โดยจะขยายโรงงาน ออโตอัลลายแอนซ์ (AAT) ที่ระยอง เพื่อดำเนินการประกอบรถยนต์
2 รุ่นนี้ โดยเฉพาะ และจะพร้อมเดินสายการผลิตได้ราวต้นปีถึงกลางปี อย่างเร็วที่สุดจะเริ่ม
ทำตลาดได้ปลายปีนี้ ซึ่งจังหวะน่าจะพอเหมาะ เพราะทิ้งระยะจากการฟาดฟันกันระหว่างมวย
เล็กหมัดหนักอย่าง ฮอนดา แจซซ์ ใหม่ และ โตโยตา ยารีส ที่ปรับทัพด้วยการไมเนอร์เชนจ์
มาซดา 2 หรือ เดมีโอ ในญี่ปุ่น ใช้เครื่องยนต์เบนซิน MZR 1.3 ลิตร 75-84 แรงม้า ขณะที่ในยุโรป
จะใช้เครื่องยนต์ 1.5 ลิตร 103 แรงม้า และยังมีเครื่องยนต์ดีเซล คอมมอนเรล MZ-CD 1.4 ลิตร
68 แรงม้า เพิ่มเข้าไปเป็นทางเลือกด้วย ซึ่งเหมาะสมกับน้ำหนัก 954 กก. ส่วนในบ้านเรา มาซดา
น่าจะเลือกใช้เครื่องยนต์เบนซิน 1.5 ลิตรแน่ๆ แต่ก็ยังต้องลุ้นกับเครื่องยนต์ดีเซลคอมมอนเรล 1.4
แรงม้า ที่น่าสนเป็นอย่างยิ่ง
สำหรับ ฟอร์ด ฟิเอสตา แฟนๆ คงต้องรอนานหน่อย โดยมีแนวโน้มว่าจะทำตลาดได้ภายหลัง
มาซดา 2 คือ ราวต้น ถึงกลางปีหน้า เนื่องจากต้องพัฒนา และออกแบบตามแนวทางของ
รถยนต์ต้นแบบของ ฟอร์ด ในรุ่น เวิร์ฟ (VERVE) ที่ใช้พื้นตัวถังเดียวกับ มาซดา 2 นั่นเอง
และหากตลาดไปได้สวย มีโอกาสที่ทั้ง 2 รุ่น จะนำรุ่นซีดานมาประกอบขายอีก เผลอๆ อาจ
เปิดตัวพร้อมกันทั้ง 2 รูปแบบ ก็เป็นได้ เพราะในตลาดโลกก็พร้อมทำตลาดแล้วทั้งแฮทช์แบค
และซีดาน
เก๋งขนาดเล็ก-กลาง
ฟอร์ด โฟคัส
หลังจาก ฟอร์ด ฯ ทำตลาด โฟคัส ในบ้านเรามาร่วม 2 ปี และเก็บข้อมูลที่ผู้บริโภคโอดโอย
กับราคาน้ำมันแพง ปลายปีที่ผ่านมาจึงจับเครื่องยนต์ดีเซลคอมมอนเรล 2.0 ลิตร
136 แรงม้า ที่มาคู่กับชุดระบบส่งกำลังธรรมดา 6 จังหวะ แบบเดียว ไม่มีแบบอัตโนมัติ มา
ใส่ไว้ใต้ฝากระโปรง โฟคัส และผลิตจำกัดเพื่อลองตลาดเพียง 50 คัน แต่ถ้ายอดขายเข้าขั้น
ก็อาจมีหวังผลิตต่อ
สำหรับตลาดโลกที่เปิดตัว โฟคัส แบบ บิก ไมเนอร์เชนจ์ ในงานมหกรรมยานยนต์ฟรังค์ฟวร์ท
ปีที่ผ่านมา และจะเริ่มทำตลาดต้นปีนี้ ซึ่งได้รับการพัฒนารูปร่างหน้าตาให้ทันสมัย คล้ายคลึง
กับ มนเดโอ ผู้พี่ และ ฟอร์ด รุ่นอื่นๆ ในเจเนอเรชันใหม่ ตามแนวคิด คิเนทิค ดีไซจ์น
(KINETIC DESIGN) ที่แม้จอดนิ่งๆ ก็ยังดูเหมือนเคลื่อนไหว มีคำถามตามมาว่า แล้วบ้านเรา
จะมีหวังได้เห็นโฉมหน้าแบบนี้หรือไม่ และที่สำคัญ เมื่อไหร่ ?
เป็นเรื่องน่าลุ้น เพราะลำพังยอดขายไม่ถึงร้อยคันต่อเดือน คงไม่เพียงพอที่จะกระตุ้นให้ โฟคัส
ใหม่เปิดตัวเร็วนัก แต่ด้วยรูปร่างหน้าตาที่ดูดีขึ้นมาก ก็ไม่แน่ว่า ฟอร์ด ฯ อาจตัดสินใจลงทุน
เปลี่ยนชิ้นส่วนตัวถังให้ โฟคัส เร็วขึ้น เพราะอาจช่วยดันยอดขายให้ได้กำไร และคุ้มค่ากับ
การลงทุนก็เป็นได้
ฉะนั้น ผู้ใช้รถชาวไทย อาจสมหวังกันได้ 2 ช่วงเวลา คือ ปลายปีนี้ ไม่ก็ต้น ถึงกลางปี
หน้าไปเลย แต่ที่สำคัญ เราเชื่อว่าแฟนๆ ฟอร์ด ชาวไทย ยังหวังอีกว่า โฟคัส จะไม่
มาแนวทางเดียวกับ เอสเคพ ที่ปรับปรุงแค่หน้าตาภายนอก กับรายละเอียดภายใน
เล็กน้อย แทนที่จะเป็น บิก ไมเนอร์เชนจ์ เหมือนในตลาดโลก
มิตซูบิชิ แลนเซอร์
แลนเซอร์ รุ่น เซดีอา ที่เปิดตัวในปี 2000 ปรับปรุงเรื่อยมา จนถึงโฉมปัจจุบัน ที่ย้อนกลับ
มาเรียกแค่ แลนเซอร์ เฉยๆ เหมือนรุ่นก่อนๆ ในอดีต และขายกินเวลาเกือบ 7 ปี
เกินอายุตลาดของรถญี่ปุ่นที่มักจะมีอายุเพียง 4-5 ปี หรืออย่างมากก็ 6 ปี ทั้งนี้
ไม่ใช่เพราะเหตุผลที่ขายได้ขายดีต่อเนื่องเหมือน โตโยตา โคโรลลา แต่คงเป็นเพราะ
วิกฤติทางการเงินของบริษัทแม่ในญี่ปุ่น และความไม่พร้อมบางประการของ มิตซูบิชิ
ประเทศไทย
แต่ถ้าใครได้เห็น รถแนวคิดของ มิตซูบิชิ ในงานมหกรรมยานยนต์ปี 2006 และตามเวบไซท์
ในอินเตอร์เนทมาก่อน ตลอดจนตัวจริงที่ขายกันแล้วในต่างประเทศ ด้วยเส้นสายที่สวย
งาม คมคาย กับภายในที่กว้างสบาย และเรียบหรูแล้ว แลนเซอร์ รุ่นที่ 8 รหัส
CY4A รถรุ่นหนึ่งในโครงการ GS41 ที่ใช้พื้นตัวถังร่วมกันกับอีกหลายรุ่น
(GLOBAL PLATFORM) ตัวนี้ น่าจะทำให้แฟนๆ แลนเซอร์ และผู้บริหารของ มิตซูบิชิ
ไม่ผิดหวัง
ปีนี้ มิตซูบิชิ ฯ มี 2 โครงการใหญ่ คือ ดำเนินการผลิต และเปิดตัว แลนเซอร์ ใหม่ กับ
พีพีวี รุ่นใหม่ ที่พัฒนาจาก ทไรทัน สำหรับ แลนเซอร์ ได้คิวที่ 2 เวลาจึงล่วงเลยไปถึงไตรมาส
ที่ 4 ปลายปีนี้ โดยเดินสายการผลิตที่โรงงานประกอบแหลมฉบังเจ้าเก่า
ยังไม่มีความชัดเจนว่า แลนเซอร์ บ้านเราจะใช้เวอร์ชันใด ระหว่างสหรัฐอเมริกา กับญี่ปุ่น
ที่ตัดสินใจเปลี่ยนชื่อเป็น กาแลนท์ ฟอร์ทิส (GALANT FORTIS) แต่ที่ชัดเจนแล้ว คือ
เครื่องยนต์ใหม่ ที่ขยับขึ้นไปใช้ขนาด 1.8 ลิตร และ MIVEC 2.0 ลิตร เหมือนตลาดโลก
ระบบส่งกำลังมีทั้งแบบธรรมดา และอัตโนมัติ ซีวีที ในรุ่น 1.8 ลิตร ส่วนรุ่น 2.0
ไม่มีแบบธรรมดาให้เลือก
โตโยตา โคโรลลา
แม้จะทำตลาดมายาวนานถึง 7 ปี แต่ยอดขายก็ยังไปได้ดีเรื่อยๆ โตโยต้า ฯ จึงไม่รีบร้อน
ที่จะเปลี่ยนโฉม โคโรลลา (คิดง่ายๆ โคโรลลา อัลทิส เปิดตัวก่อน โซลูนา วีออส แต่จน
วีออส ใหม่ ขายแล้ว โคโรลลา อัลทิส ใหม่ ก็ยังไม่เปิดตัว) ทว่า ไตรมาสแรกของปีนี้
ถึงเวลาแล้ว ที่ โคโรลลา โฉมใหม่จะได้ฤกษ์คลอดเสียที
อีกประเด็นสำคัญ ที่ โตโยต้า ประเทศไทย ฯ เปลี่ยนโฉม โคโรลลา ช้า ทั้งๆ ที่ทั่วโลก
ทำตลาดล่วงหน้าไประยะหนึ่งแล้ว ก็คือ ความสวยงามเฉียบขาด มากด้วยสมรรถนะ
และประโยชน์ใช้สอย ของคู่แข่งตัวฉกาจอย่าง ฮอนดา ซีวิค รุ่นปัจจุบัน ทำให้ โตโยตา
ต้องกลับไปแก้ไขการบ้าน และแผนการตลาดให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น ยิ่งกว่านั้นยอดขายของ
โคโรลลา อัลทิส ในปี '50 มีตัวเลขน้อยกว่า ซีวิค เกือบเท่าตัว
จะว่าไปแล้ว ถ้าดูรูปโฉมจากเวอร์ชันจีน และยุโรป ก็เห็นจะจริงดังว่า เพราะ โคโรลลา ใหม่
ภายใต้รหัสโครงการ 301L มีความเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมไม่มาก ทั้งๆ ที่ชิ้นส่วน
ตัวถังเปลี่ยนใหม่หมด ถ้าใครสังเกตดีๆ ย้อนไปตั้งแต่รุ่น AE101 ที่นักเลงรถบ้านเราเรียกกันว่า
"3 ห่วง" กับรุ่น AE 111 โฉม "ตูดเป็ด" ก็ดูว่ามีการพัฒนาขึ้นไม่มากเท่าไร แต่มาฉีกแนว
ทั้งรูปลักษณ์ เครื่องยนต์ และเทคโนโลยี เอาตอนโฉมปัจจุบัน หรือนี่จะเป็นสไตล์ของ
โตโยตา ที่ "2 รุ่นฉีกแนวที" รุ่นใหม่รุ่นนี้จึงดูไม่ต่างจากเดิมมากนักก็เป็นได้
เครื่องยนต์เดิม แต่ปรับปรุงประสิทธิภาพ ใช้รหัส 2ZR-FE ขนาด 1.6 ลิตร และ 1.8 ลิตร
และเน้นอุปกรณ์ไฮเทค อย่างเช่น ปุ่มสตาร์ท และระบบควบคุมการทรงตัว VSC ในรุ่นทอพ
ซึ่งเป็นผลผลิตจากโรงงานเกทเวย์ เช่นเคย
พีพีวี
มิตซูบิชิ ทไรทัน พีพีวี
หลายคนคงคิดเหมือนกันว่า เมื่อ มิตซูบิชิ เริ่มโครงการ CR เพื่อสร้าง และพัฒนาพิคอัพ ทไรทัน
สำเร็จแล้ว คงผลิต พีพีวี ออกตามหลังในเวลาไม่นาน ซึ่งไม่น่าต่างกับ โครงการ IMV ของ
โตโยตา ที่คลอด ไฮลักซ์ วีโก ในเวลาไล่เลี่ยกับ อินโนวา และ ฟอร์ทูเนอร์ ที่ขายดีเป็นเทน่ำ
เทท่า
แต่กว่า มิตซูบิชิ จะรู้ตัวว่า รถสไตล์ เอสยูวี ยังขายดี และดีมากเสียด้วย เวลาก็ล่วงเลยมานาน
กว่าจะเริ่มโครงการ CR45 เพื่อพัฒนา พิคอัพ ทไรทัน ให้กลายเป็นรถในรูปแบบ เอสยูวี
และเป็นตัวตายตัวแทน จี-แวกอน ที่ดัดแปลงมาจาก พิคอัพ สตราดา ซึ่งขายดีพอสมควร
จนสำเร็จเสร็จสมบูรณ์ เพื่อออกมาทำตลาด ก็ราวไตรมาส 3 ของปีนี้ และทิ้งระยะหลังจาก
เปิดตัว ทไรทัน ราว 2 ปี
มิตซูบิชิ เลือกใช้ตัวถังเฉพาะครึ่งหน้าร่วมกับ ทไรทัน อย่างแน่นอน ซึ่งกินบริเวณมาถึง
เสากลาง หรือเสา บี แต่เสา ซี และ ดี ต้องออกแบบใหม่ เครื่องยนต์ใช้ตัวเดียวกัน
ซึ่งน่าจะเลือกใช้ขนาด 3.2 ลิตร 165 แรงม้า มากกว่าเครื่อง 2.5 ลิตร 140 แรงม้า ส่วน
ระบบรองรับด้านหน้าพื้นฐานเดียวกัน แต่ด้านหลังใช้แบบคอยล์สปริงแทนแหนบ เหมือน
ฟอร์ทูเนอร์ ซึ่งดูมีภาษีกว่า จี-แวกอน รุ่นเดิม ทไรทัน และคู่แข่งอย่าง อีซูซุ มิว-7 กับ
ฟอร์ด เอเวอเรสต์
วันนี้ยังไม่ข้อสรุปสำหรับชื่อรุ่น ที่ทีมงานของ มิตซูบิชิ ยังถกเถียงกันอยู่ ว่าจะใช้ จี-แวกอน
เหมือนเดิม ชาลเลนเจอร์ ปาเจโร สปอร์ท หรือชื่อใหม่อื่นๆ แต่ที่คาดการณ์ได้ ก็คือ
รูปทรงที่น่าจะเข้าตา เพราะพื้นฐานครึ่งหน้าเหมาะกับการปรับให้เป็นรถแนว เอสยูวี
อยู่แล้ว บวกกับสมรรถนะที่ไม่แพ้ใคร จึงน่าจะสร้างความร้อนแรงในตลาดได้ และ
ขายดีพอตัว เพียงแต่ช่วงเวลาเปิดผ้าคลุม ดันไปจ๊ะเอ๋กับ รถในโครงการ IMV ของ
โตโยตา ที่คาดว่าจะยกพวกกันไมเนอร์เชนจ์ ทั้ง ไฮลักซ์ วีโก/อินโนวา และที่สำคัญ
เจ้าตลาดที่คอยขัดแข้งขัดขาอย่าง ฟอร์ทูเนอร์
ABOUT THE AUTHOR
ก
กองบรรณาธิการบทความและสารคดี
ภาพโดย : -นิตยสาร 399 ฉบับเดือน มกราคม ปี 2551
คอลัมน์ Online : พิเศษ(formula)