ข่าวรอบโลก
เปิดตัวเมร์เซเดส-เบนซ์ และบีเอมดับเบิลยู
เปิดตัวรถดาวสามแฉกแบบใหม่
ซีแอลเอส-คลาสส์ ตรวจการณ์
จะออกโชว์รูมก่อนสิ้นปีมังกร
เยอรมนี-ยอดผู้ผลิตรถหรูของเมืองเบียร์เอาใจคนรักรถสมบัติแยะ เปิดเผยโฉมหน้าและรายละเอียดของรถตรวจการณ์รุ่นใหม่ ซึ่งพัฒนาจากรถคูเปสุดหรู เมร์เซเดส-เบนซ์ ซีแอลเอส-คลาสส์ (MERCEDES-BENZ CLS-CLASS) รุ่นล่าสุด ไตรมาสสุดท้ายของปีนี้จะออกโชว์รูมในเมืองเบียร์ โดยมีรถให้เลือกรวม 7 โมเดล
เพียงปีเศษหลังจากนำรถคูเปสุดหรู เมร์เซเดส-เบนซ์ ซีแอลเอส-คลาสส์ รุ่นล่าสุดซึ่งเป็นรถรุ่นที่สองออกสู่ตลาด เมื่อปลายเดือนมิถุนายนที่ผ่านมานี่เอง เจ้าของเครื่องหมายการค้า "ดาวสามแฉก" ก็เพิ่มทางเลือกให้แก่คนรักรถเงินถุงเงินถังสตางค์แยะผู้อยากเป็นเจ้าของรถอนุกรมนี้ โดยการเปิดตัวรถ เมร์เซเดส-เบนซ์ ซีแอลเอส ชูทิง บเรค (MERCEDES-BENZ CLS SHOOTING BRAKE) ซึ่งเป็นรถตรวจการณ์ระดับหรูที่พัฒนาจากรถคูเปอนุกรมที่ว่า แต่รถจะยังไม่ออกโชว์รูมไหนๆ จนกว่าวันเวลาจะย่างเข้าสู่ไตรมาสสุดท้ายของปี 2012
รถตรวจการณ์ติดตรา"ดาวสามแฉก"รุ่นล่าสุดนี้ อยู่ในตัวถังยาว 4.956 ม. กว้าง 1.881 ม. และสูง 1.413 ม. ซึ่งพัฒนาจากตัวถัง 4 ประตูคูเปของรถ เมร์เซเดส-คลาสส์ ซีแอลเอส-คลาสส์ โดยที่แทบไม่มีการแตะต้องอะไรในส่วนหน้าของตัวถัง การเปลี่ยนแปลงซึ่งเป็นสาระสำคัญอยู่ที่ส่วนครึ่งท้าย คือ เปลี่ยนจากรูปลักษณ์ของรถคูเปเป็นรถตรวจการณ์ ที่มีท้ายค่อนข้างลาด คือ ลาดกว่ารถตรวจการณ์ทุกรุ่นทุกแบบที่ค่ายนี้ผลิตขายในปัจจุบัน เป็นลักษณะการออกแบบรถตรวจการณ์ที่ค่อนข้างก้าวล้ำนำยุค และน่าจะโดนใจผู้ที่ตัดสินใจซื้อรถจากรูปทรง อย่างไรก็ตามวิจารณ์กันว่า นอกจากรูปทรงองค์เอวที่ทำได้ดีเยี่ยมแล้ว จุดเด่นซึ่งน่าจะเป็นจุดขายสำคัญอีกจุดหนึ่งของรถตรวจการณ์แบบนี้ คือ ห้องเก็บของท้ายรถซึ่งในสภาพปกติมีขนาดความจุ 590 ลิตร และจะเพิ่มเป็น 1,550 ลิตร เมื่อพับเบาะหลัง คือ จุกว่ากันถึง 25 และ 30 ลิตร ตามลำดับ เมื่อเทียบกับคู่แข่งโดยตรงอย่างรถ เอาดี เอ 6 อาวันท์ (AUDI A6 AVANT) และ บีเอมดับเบิลยู ซีรีส์-5 ทัวริง (BMW 5-SERIES TOURING)
ชุดที่ออกขายในเมืองแม่จะมีรถให้เลือกใช้รวม 7 โมเดล เป็นรถขับล้อหลังรวม 4 โมเดล คือ CLS 350 BLUEEFFICIENCY (เบนซิน 150 กิโลวัตต์/204 แรงม้า) CLS 500 BLUEEFFICIENCY (เบนซิน 300 กิโลวัตต์/408 แรงม้า) CLS 63 AMG (เทอร์โบเบนซิน 386 กิโลวัตต์/525 แรงม้า) CLS 250 CDI BLUEEFFICIENCY (เทอร์โบดีเซล 150 กิโลวัตต์/204 แรงม้า) และ CLS 350 CDI BLUEEFFICIENCY (เทอร์โบดีเซล 195 กิโลวัตต์/265 แรงม้า) กับเป็นรถขับทุกล้อ 2 โมเดล คือ CLS 500 4MATIC BLUEEFFICIENCY (เบนซิน 300 กิโลวัตต์/408 แรงม้า) และ CLS 350 CDI 4MATIC BLUEEFFICIENCY (195 กิโลวัตต์/265 แรงม้า)
ค่าตัวรวมภาษีมูลค่าเพิ่มร้อยละ 19 อยู่ระหว่าง 61,761-117,512 ยูโร หรือเท่ากับประมาณ 2.47-4.70 ล้านบาทไทย
บีเอม ซีรีส์-1 3 ประตู
เผยโฉมแล้วในเมืองแม่
มีทั้งเครื่องเบนซินและดีเซล
เยอรมนี-เผยโฉมหน้าและรายละเอียดของรถจิ๋ว บีเอมดับเบิลยู ซีรีส์-1 (BMW 1-SERIES) ตัวถัง 3 ประตูแฮทช์แบคแล้ว กำลังจะออกโชว์รูมโดยมีรถให้เลือกถึง 12 โมเดล และมีการตกแต่ง/อุปกรณ์แบบพิเศษให้เลือกรวม 3 ระดับ
หลังจากปล่อยให้คนรักรถหรูขนาดจิ๋วรอคอยอย่างใจจดใจจ่อยาวนานกว่าครึ่งปี นับแต่การอวดตัวของรถ บีเอมดับเบิลยู ซีรีส์-1 รุ่นใหม่ ในตัวถัง 5 ประตูแฮทช์แบค ที่งานมหกรรมยานยนต์ฟรังค์ฟวร์ทครั้งล่าสุดเมื่อกลางเดือนกันยายนปีกระต่าย เมื่อต้นเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมานี่เอง ยอดผู้ผลิตรถหรูเจ้าของเครื่องหมายการค้า"ใบพัดเครื่องบินสีฟ้าขาว"ก็ยุติการรอคอยอันยาวนานที่ว่า โดยการนำภาพถ่ายภาพเคลื่อนไหวและรายละเอียดของรถจิ๋ว บีเอมดับเบิลยู ซีรีส์-1 ในตัวถัง 3 ประตูแฮทช์แบค ออกเผยแพร่ตามสื่อต่างๆ พร้อมยืนยันว่า กำลังจะนำรถออกสู่โชว์รูมในเมืองเบียร์ โดยมีรถให้เลือกใช้อย่างจุใจถึง 12 โมเดล ทั้งรถขับล้อหลังและขับทุกล้อ ทั้งรถเบนซินและรถดีเซล
บีเอมดับเบิลยู ซีรีส์-1 ตัวถัง 3 ประตูแฮทช์แบค มีขนาดตัวถังโตเท่ากันกับ บีเอมดับเบิลยู ซีรีส์-1 ตัวถัง 5-ประตูแฮทช์แบค ในทุกมิติ คือ ยาว 4.324 ม. เท่ากัน กว้าง 1.765 ม. เท่ากัน สูง 1.421 ม. เท่ากัน และค่าสัมประสิทธิ์แรงต้านอากาศซึ่งบ่งบอกความลื่นลมก็อยู่ระหว่าง 0.30-0.32 เหมือนกัน หน้าตาและรูปทรงองค์เอวเมื่อมองอย่างเผินๆ ก็แทบไม่มีอะไรแตกต่างกัน นอกจากจุดเล็กจุดน้อยซึ่งไม่ใช่สาระสำคัญ การเปลี่ยนแปลงซึ่งมีนัยยะและเป็นสิ่งบ่งบอกความแตกต่างของรถสองแบบนี้อยู่ที่ประตูข้าง นั่นคือ การเปลี่ยนจากประตูข้างด้านละ 2 บาน เป็นประตูข้างด้านละ 1 บาน แถมยังเปลี่ยนจากประตูแบบธรรมดาเป็นประตูแบบไร้กรอบหน้าต่างอย่างที่เรียกกันในภาษาอังกฤษว่า FRAMELESS WINDOW อีกต่างหาก
ชุดที่เดือนกันยายนนี้จะออกโชว์รูม มีรถให้เลือกใช้ตามรสนิยมรวม 8 โมเดล แยกเป็นรถเบนซิน 4 โมเดล คือ BMW 114I (75 กิโลวัตต์/102 แรงม้า BMW 116I (100 กิโลวัตต์/136 แรงม้า BMW 125I (160 กิโลวัตต์/218 แรงม้า) BMW M135I (235 กิโลวัตต์/320 แรงม้า) กับเป็นรถดีเซลอีก 4 โมเดล คือ BMW 116D (85 กิโลวัตต์/116 แรงม้า) BMW 116D EFFICIENTDYNAMICS EDITION (85 กิโลวัตต์/116 แรงม้า) BMW 118D (105 กิโลวัตต์/143 แรงม้า และ BMW 125D (160 กิโลวัตต์/218 แรงม้า) ส่วนระบบเกียร์เพื่อส่งทอดกำลังสู่ล้อคู่หลัง มีให้เลือกรวม 3 แบบ คือ เกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ เกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ STEPTRONIC และเกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ SPORT-AUTOMATIC
หากรอได้จนถึงเดือนพฤศจิกายน ก็จะมีรถให้เลือกเพิ่มเติมอีก 4 โมเดล แยกเป็นรถขับล้อหลัง 2 โมเดลคือ คือ BMW 118I (เบนซิน 125 กิโลวัตต์/170 แรงม้า) กับ BMW 120D (ดีเซล 135 กิโลวัตต์/184 แรงม้า) และเป็นรถขับทุกล้อ 2 โมเดลคือ BMW M135I XDRIVE (เบนซิน 235 กิโลวัตต์/320 แรงม้า กับ BMW 120D XDRIVE (135 กิโลวัตต์/184 แรงม้า)
ตามตัวเลขของผู้ผลิต รถโมเดลพื้นฐาน คือ BMW 114I ซึ่งติดป้ายค่าตัว 21,900 ยูโร หรือประมาณ 0.88 ล้านบาทไทย อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ทำได้ใน 11.2 วินาที ความเร็วสูงสุด 195 กม./ชม. มีอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ย 5.5 ลิตร/100 กม.หรือ 18.2 กม./ลิตร และอัตราคาร์บอนไดออกไซด์ 129 กรัม/กม. ส่วนโมเดลหัวกะทิ คือ BMW M135I ซึ่งติดป้ายค่าตัว 42,170 ยูโร หรือประมาณ 1.69 ล้านบาทไทย อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ทำได้ใน 4.9 วินาที ความเร็วสูงสุด 250 กม./ชม. มีอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ย 7.5 ลิตร/100 กม. หรือ 13.3 กม./ลิตร และอัตราคาร์บอนไดออกไซด์ 175 กรัม/กม.
ย่อยข่าว
เยอรมนี-ยอดผู้ผลิตรถหรูเจ้าของเครื่องหมายการค้า "ดาวสามแฉก" เปิดเผยผลประกอบการในช่วงครึ่งแรกของปี 2012 โดยระบุว่า สามารถขายรถในทุกตลาดได้ถึง 708,517 คัน หรือเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 6.5 จากตัวเลขที่ทำได้เมื่อปี 2011 ยอดขายดังกล่าวแยกออกได้เป็นรถติดยี่ห้อ เมร์เซเดส-เบนซ์ (MERCEDES-BENZ) จำนวน 652,924 คัน (เพิ่มขึ้นร้อยละ 6.9) และรถติดยี่ห้อ สมาร์ท (SMART) 55,593 คัน (เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.4) เฉพาะตลาดสหรัฐอเมริกา รถ เมร์เซเดส-เบนซ์ สามารถสร้างสถิติใหม่ โดยทำยอดขายสูงสุดเป็นประวัติการณ์ถึง 128,595 คัน หรือเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 15.9 จากตัวเลขในช่วงครึ่งแรกของปี 2011 ส่วนตลาดในเมืองแม่ รถยี่ห้อนี้ทำยอดขายได้รวม 128,529 คัน (เพิ่มขึ้นร้อยละ 4.5)
เยอรมนี-เจ้าของเครื่องหมายการค้า "ใบพัดเครื่องบินสีฟ้าขาว" ก็ประกาศผลประกอบการในช่วงครึ่งแรกของปีมังกรแล้วเช่นกัน ปรากฏว่าในช่วงเวลาดังกล่าวค่ายนี้ขายรถในตลาดทั่วโลกได้รวมทั้งสิ้น 900,539 คัน หรือเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 8.1 จากยอดขายในช่วงครึ่งแรกของปี 2011 โดยแยกออกได้เป็นรถติดยี่ห้อ บีเอมดับเบิลยู (BMW) 747,064 คัน (เพิ่มขึ้นร้อยละ 8.3) รถติดยี่ห้อ มีนี (MINI) 151,875 คัน (เพิ่มขึ้นร้อยละ 7.0) และรถ โรลล์ส-รอยศ์ (ROLLS-ROYCE) 1,600 คัน (เพิ่มขึ้น 8 คัน) รถยอดนิยมของค่ายนี้ คือ บีเอมดับเบิลยู ซีรีส์-3 ซีดาน (BMW 3-SERIES SEDAN) สามารถทำยอดขายในทุกตลาดได้ถึง 135,976 คัน คือ เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 15.4 จากยอดขาย 117,802 คัน ในช่วงครึ่งแรกของปีกระต่าย
เยอรมนี-โฟล์คสวาเกน กรุพ (VOLKSWAGEN GROUP) กลุ่มบริษัทผู้ผลิตและจำหน่ายรถยนต์รายใหญ่ที่สุดของยุโรปก็ประกาศผลประกอบการในช่วงครึ่งแรกของปี 2012 ในเวลาใกล้เคียงกัน โดยระบุว่าสามารถขายรถในตลาดทั่วโลกได้รวมทั้งสิ้น 4.45 ล้านคัน หรือเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 8.9 จากตัวเลขในปีก่อนหน้านั้น ในจำนวนนี้ 2.79 ล้านคัน หรือเท่ากับร้อยละ 62.7 เป็นยอดขายของรถยนต์นั่งติดยี่ห้อ โฟล์คสวาเกน (VOLKSWAGEN) 733,200 คัน หรือร้อยละ 16.5 เป็นยอดขายของรถติดยี่ห้อ เอาดี (AUDI) 493,000 คัน หรือร้อยละ 11.1 เป็นยอดขายของรถติดยี่ห้อ สโกดา (SKODA) 163,300 คัน หรือร้อยละ 3.7 เป็นยอดขายของรถติดยี่ห้อ เซอัต (SEAT) และ 270,000 คัน หรือร้อยละ 6.1 เป็นรถเพื่อการพาณิชย์ติดป้ายยี่ห้อ โฟล์คสวาเกน (VOLKSWAGEN)
สหรัฐอเมริกา-ในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ ยักษ์ใหญ่ เจเนอรัล มอเตอร์ส คัมพานี สามารถขายรถใหม่ในเมืองมะกันได้รวมทั้งสิ้น 1,315,713 คัน หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.0 จากตัวเลขในช่วงเดียวกันเมื่อปี 2011 โดยแยกออกได้เป็นรถติดป้ายยี่ห้อ เชฟโรเลต์ (CHEVROLET) จำนวน 961,662 คัน รถติดป้ายยี่ห้อ จีเอมซี (GMC) 201,041 คัน รถติดป้ายยี่ห้อ บิวอิค (BUICK) 90,198 คัน รถติดป้ายยี่ห้อ แคดิลแลค (CADILLAC) 62,812 คัน และเมื่อแยกตามรุ่นของรถ ก็ปรากฏว่ารถที่ขายได้มากที่สุดคือรถพิคอัพ เชฟโรเลต์ ซิลเวอราโด (CHEVROLET SILVERADO) ซึ่งขายได้ถึง 194,508 คัน รองลงไปคือรถเก๋ง เชฟโรเลต์ มาลิบู (CHEVROLET MALIBU) 141,437 คัน
สหรัฐอเมริกา-ยักษ์รอง ฟอร์ด มอเตอร์ คัมพานี ก็ประกาศผลประกอบการในเมืองมะกันแล้วเช่นกัน ปรากฏว่าในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ ยักษ์รองสามารถขายรถในเมืองแม่ได้รวมทั้งสิ้น 1,143,623 คัน หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 6.6 จากตัวเลขในปี 2011 แยกเป็นรถ ฟอร์ด (FORD) จำนวน 1,101,661 คัน (เพิ่มขึ้นร้อยละ 6.9) และรถ ลินคอล์น (LINCOLN) 41,962 คัน (ลดลงร้อยละ 0.1) รถขายดีที่สุด คือ รถพิคอัพ ฟอร์ด เอฟ-ซีรีส์ (FORD F-SERIES) ซึ่งขายได้ถึง 301,141 คัน รองลงไปคือรถเก๋ง ฟอร์ด ฟิวชัน (FORD FUSION) 136,849 คัน
ญี่ปุ่น-หลังจากตกต่ำแย่เพราะปัญหาคลื่นยักษ์สึนามิเมื่อตอนต้นปีกระต่าย ขณะนี้ยอดขายรถในเมืองปลาดิบกลับคืนสู่สภาพปกติแล้ว ตามตัวเลขของของ JAMA (JAPAN AUTOMOBILE MANUFACTURER ASSOCIATION) หรือสมาคมผู้ผลิตรถยนต์แห่งประเทศญี่ปุ่น ในช่วงครึ่งแรกของปี 2012 มีการจดทะเบียนรถใหม่ในเมืองปลาดิบรวมทั้งสิ้น 2,947,357 คัน หรือเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 53.6 จากตัวเลขในช่วงเดียวกันเมื่อปี 2011 โดยแยกออกได้เป็นรถยนต์นั่ง 2,525,765 คัน (เพิ่มขึ้นร้อยละ 56.6) รถบรรทุก 414,527 คัน (เพิ่มขึ้นร้อยละ 37.4) รถโดยสาร 4,489 คัน (เพิ่มขึ้นร้อยละ 36.1) และแยกจำนวนตามผู้ผลิตได้ดังนี้
1. โตโยตา 893,063 คัน (+85.1%)
2. ฮอนดา 430,948 คัน (+79.4%)
3. ไดฮัทสุ 381,658 คัน (+50.9%)
4. ซูซูกิ 367,052 คัน (+38.4%)
5. นิสสัน 366,619 คัน (+31.1%)
6. มาซดา 119,518 คัน (+35.1%)
7. ซูบารุ 94,717 คัน (+27.6%)
8. มิตซูบิชิ 77,915 คัน (+0.1%)
9. อีซูซุ 30,234 คัน (+73.5%)
10. เลกซัส 22,863 คัน (+28.8%)
11. ฮีโน 21,276 คัน (+55.2%)
12. มิตซูบิชิ ฟูโซ 18,264 คัน (+73.8%)
13. ยูดี ทรัคส์ 4,845 คัน (+53.3%)
14. อื่นๆ 118,385 คัน (+23.5%)
เฉพาะรถยนต์นั่งซึ่งมียอดจดทะเบียนรวม 2,525,765 คัน หรือเท่ากับร้อยละ 85.7 ของยอดจดทะเบียนโดยรวม สามารถแยกจำนวนตามบริษัทผู้ผลิตได้ดังนี้
1. โตโยตา 813,055 คัน (+87.8%)
2. ฮอนดา 413,353 คัน (+81.5%)
3. นิสสัน 319,135 คัน (+31.1%)
4. ไดฮัทสุ 315,173 คัน (+59.1%)
5. ซูซูกิ 293,971 คัน (+39.1%)
6. มาซดา 105,526 คัน (38.3%)
7. ซูบารุ 66,107 คัน (+24.9%)
8. มิตซูบิชิ 59,245 คัน (+4.5%)
9. เลกซัส 22,863 คัน (+28.8%)
10. อื่นๆ 117,337 คัน (+23.7%)
ญี่ปุ่น-โตโยตา มอเตอร์ คอร์พอเรชัน (TOYOTA MOTOR CORPORATION) ผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่น ประกาศยืนยันเมื่อต้นเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมาว่า ยอดผลิตรถยนต์ทั้งมวลของบริษัทผ่านหลัก 200 ล้านคันไปเรียบร้อยแล้วเมื่อเดือนมิถุนายนของปีมังกร โดยแยกออกได้เป็นยอดผลิตในญี่ปุ่นประมาณ 145 ล้านคัน และยอดผลิตนอกญี่ปุ่นประมาณ 55 ล้านคัน รถที่ผลิตมากที่สุด คือ รถเก๋งขนาดเล็กกะทัดรัด โตโยตา โคโรลลา (TOYOTA COROLLA) ซึ่งผลิตไปแล้วรวม 11 รุ่น และมียอดผลิตสูงกว่า 39 ล้านคัน ยักษ์ใหญ่ของเมืองยุ่นเริ่มผลิตรถยนต์คันแรกเมื่อเดือนสิงหาคม 1935 และใช้เวลาถึง 61 ปี 6 เดือน ในการผลิตรถ 100 ล้านคันแรก แต่ใช้เวลาเพียง 15 ปี 5 เดือน ในการผลิตรถ 100 ล้านคันต่อมา
อิตาลี-แซร์โจ ปินินฟารีนา (SERGIO PININFARINA) อดีตนายใหญ่ของสำนักออกแบบ ปินินฟารีนา (CARROZZERIA PINIFARINA) อันเลื่องชื่อ ถึงแก่กรรมเสียแล้วเมื่อค่ำคืนของวันจันทร์ที่ 2 กรกฎาคม 2012 สิริรวมอายุ 85 ปี อัจฉริยบุคคลซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีในวงการรถยนต์นี้ กำเนิดที่เมืองตูรินเมื่อปี 1926 และก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งประธานของสำนักออกแบบรถยนต์ที่บิดาของเขาเป็นผู้ก่อตั้งเมื่อปี 1966 หลังมรณกรรมของบิดา ภายใต้การนำของอัจฉริยบุคคลผู้นี้ สำนักออกแบบ ปินินฟารีนา ได้สร้างผลงานชิ้นโบว์แดงไว้มากมาย โดยเฉพาะงานที่ทำให้แก่ผู้ผลิตรถสปอร์ทติดเครื่องหมาย"ม้าลำพอง"อย่าง แฟร์รารี เตสตารตซา (FERRARI TESTAROZZA) แฟร์รารี เอฟ 40 (FERRARI F40) และ แฟร์รารี เอนโซ (FERRARI ENZO) ที่คนรักรถสปอร์ททั่วโลกรู้จักกันดี
เจ้าของเครื่องหมายการค้า "สายฟ้า" ผู้ผลิตรถยนต์สัญชาติเยอรมันซึ่งอยู่ในสังกัดของยักษ์ใหญ่ เจเนอรัล มอเตอร์ส คัมพานี ก้าวเท้าเข้าสู่ตลาดรถยนต์ที่ไม่เคยเหยียบย่างมาก่อน ด้วยการเปิดเผยโฉมหน้าและรายละเอียดของรถอนุกรมใหม่ล่าสุดที่กำลังจะบรรจุเข้าสู่สายการผลิต เป็นรถนาครติดป้ายชื่อ โอเพล อดัม (OPEL ADAM) ซึ่งออกแบบและพัฒนาในเมืองเบียร์ โดยมุ่งหมายให้เป็นรถแฟชันขนาดจิ๋วสำหรับใช้งานในเมือง อย่างที่เรียกขานกันในภาษาอังกฤษว่า CHIC AND SMALL URBAN CAR ตัวถังแฮทช์แบคซึ่งยาวแค่ 3.70 ม. มีการตกแต่งและอุปกรณ์ทั้งภายนอกและภายใน ให้เลือกแต่งเลือกใช้ได้ไม่ซ้ำกันนับล้านแบบ ตัวถังซึ่งออกแบบให้นั่งได้รวม 4 คน ใช้ระบบขับล้อหน้าด้วยพลังของเครื่องยนต์ 1.2 ลิตร 51 กิโลวัตต์/70 แรงม้า เครื่องยนต์ 1.4 ลิตร 64 กิโลวัตต์/87 แรงม้า หรือเครื่องยนต์ 1.4 ลิตร 74 กิโลวัตต์/100 แรงม้า ถ่ายทอดกำลังผ่านระบบเกียร์ธรรมดา 5 จังหวะ ตัวจริงเสียงจริงจะอวดตัวครั้งแรกที่งานมหกรรมยานยนต์ปารีสปลายเดือนกันยายน และรถจะออกโชว์รูมเดือนมกราคมปีหน้า
นี่คือ รถไฮบริดโมเดลใหม่ ที่เพิ่งออกโชว์รูมในเมืองเบียร์โดยติดป้ายชื่อ บีเอมดับเบิลยู แอคทีฟไฮบริด 3 (BMW ACTIVEHYBRID 3) และติดป้ายค่าตัว 52,300 ยูโร หรือประมาณ 2.09 ล้านบาทไทย พัฒนาจากรถ บีเอมดับเบิลยู ซีรีส์-3 (BMW 3-SERIES) รุ่นล่าสุดซึ่งเพิ่งอวดตัวเมื่อตอนต้นปี โดยเปลี่ยนระบบขับจากขับด้วยพลังของเครื่องยนต์สันดาปภายในเพียงอย่างเดียว เป็นขับแบบไฮบริด โดยใช้เครื่องยนต์เทอร์โบเบนซินฉีดเชื้อเพลิงโดยตรง DOHC 6 สูบเรียง 2,979 ซีซี 225 กิโลวัตต์/306 แรงม้า ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า 40 กิโลวัตต์/55 แรงม้า และแบทเตอรีลิเธียม-ไอออนแรงสูง ได้กำลังรวมสูงสุด 250 กิโลวัตต์/340 แรงม้า เป็นระบบขับไฮบริดที่ออกแบบให้รถจะวิ่งด้วยพลังไฟฟ้าล้วนๆจนถึงความเร็วระดับ 75 กม./ชม. สามารถทำอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ใน 5.3 วินาที และทำความเร็วสูงสุด 250 กม./ชม. มีอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ยที่เยี่ยมมาก คือ แค่ 5.9 ลิตร/100 กม. หรือ 16.9 กม./ลิตร และมีอัตราการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ที่น่าพอใจมาก คือ 139 กรัม/กม.
รถใหม่อีกแบบหนึ่งซึ่งจะอวดตัวจริงเสียงจริงเป็นครั้งแรกที่งานมหกรรมยานยนต์ปารีสตอนปลายเดือนกันยายน คือ รถเก๋งซาลูนติดป้ายชื่อ เปอโฌต์ 301 (PEUGEOT 301) ที่เห็นใน 3 ภาพบน เป็นรถที่ค่าย "สิงห์เผ่น" ออกแบบและพัฒนาสำหรับตลาดเกิดใหม่ที่กำลังเติบโต โดยใช้โรงงานที่เมืองบีโก (VIGO) ในประเทศสเปนเป็นที่ผลิต และจะไม่นำออกขายในภูมิภาคยุโรปตะวันตกรวมทั้งเมืองแม่ คือ ฝรั่งเศส เป็นรถขนาดเล็กกะทัดรัดในตัวถังยาว 4.440 ม. ซึ่งมีห้องโดยสารที่กว้างขวางเพราะมีช่วงฐานล้อยาวถึง 2.650 ม. และมีห้องเก็บของท้ายรถที่จุถึง 506 ลิตร คือ จุกว่ารถขนาดเดียวกันทุกรุ่นทุกแบบ เป็นรถค่าตัวย่อมเยาที่เพียบไปด้วยอุปกรณ์อำนวยความสุขความสะดวกและความปลอดภัย รวมทั้งเครื่องเครื่องเล่นเอมพี 3 บลูทูธ และอุปกรณ์เชื่อมต่อยูเอสบี วันที่ 1 พฤศจิกายน 2012 จะเริ่มออกโชว์รูมในตุรกี โดยมีเครื่องยนต์ให้เลือกใช้รวม 3 ขนาด คือ เครื่องเบนซิน 1.2 ลิตร 53 กิโลวัตต์/72 แรงม้า เครื่องเบนซิน 1.6 ลิตร 85 กิโลวัตต์/115 แรงม้า และเครื่องดีเซล 1.6 ลิตร 68 กิโลวัตต์/92 แรงม้า
ถ้าคุณบอกกับตัวเองว่าเคยเห็นรถหน้าตาอย่างนี้วิ่งอยู่ตามท้องถนนในบ้านเรา ก็จงรีบไปปรึกษาจักษุแพทย์ เพราะรถสปอร์ทติดป้ายชื่อ แฟร์รารี เอสพี 12 อีซี (FERRARI SP12 EC) คันนี้ไม่ใช่รถที่จะเห็นได้ในเมืองเรา เพราะเป็นรถอย่างที่เรียกกันในภาษาอังกฤษว่า ONE-OFF CAR คือ เป็นรถที่ทำขึ้นเพียงคันเดียว ตามโครงการ FERRARI SPECIAL PROJECT อันเป็นเครือข่ายงานของค่าย"ม้าลำพอง"ที่ก่อตั้งขึ้นเพื่อทำรถคันพิเศษให้แก่ลูกค้าคนพิเศษ และคันนี้เป็นรถที่ทำให้แก่ เอริค คแลพทัน (ERIC CLAPTON) มือกีตาร์ระดับเทพซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีทั่วโลกนี้และอาจจะโลกหน้าด้วย พัฒนาจากรถสปอร์ทม้าลำพองรุ่นสามัญ แฟร์รารี 458 อิตาลีอา (FERRARI 458 ITALIA) ซึ่งติดตั้งเครื่องยนต์ฉีดเชื้อเพลิงโดยตรง DOHC วี 8 สูบ 4,499 ซีซี 570 แรงม้า และสามารถทำความเร็วสูงสุด 320 กม./ชม. แต่ปรับเปลี่ยนหน้าตาและรูปทรงองค์เอวของตัวถังให้ดูเหมือนรถที่เคยโด่งดังเมื่อ 3 ทศวรรษก่อน คือ แฟร์รารี 512 บีบี (FERRARI 512 BB) ซึ่งยอดนักกีตาร์ของเรามีอยู่ในครอบครองถึง 3 คัน
ฟอร์ด ฟิวชัน รถยอดฮิทของยักษ์รองเมืองมะกัน ครึ่งปีขายได้รวม 136,849 คัน (ล่าง) เชฟโรเลต์ มาลิบู รถยอดนิยมของยักษ์ใหญ่จีเอม ขายได้ถึง 141,437 คัน
หน้าตาดูคุ้นๆ นะ เพราะไม่ใช่รถใหม่อย่างที่เรียกกันในบ้านเราว่า "ใหม่หมด" แต่เป็นรถเปิดประทุน มาซดา โรดสเตอร์ (MAZDA ROADSTER) ซึ่งเพิ่งได้รับการปรับปรุงแบบ FACELIFT หรือ "ยกหน้า" และเชื่อว่าน่าจะเป็นการปรับปรุงครั้งสุดท้ายก่อนจะถูกแทนที่ด้วยรถรุ่นใหม่ รูปทรงองค์เอวเหมือนเดิมแต่หน้าตาดูเปลี่ยนไปบ้างเพราะแผงกระจังหน้าและกันชนหน้าออกแบบขึ้นใหม่ทั้งหมด เพิ่งออกขายในเมืองยุ่นเมื่อต้นเดือนกรกฎาคม โดยมีตัวถังให้เลือกใช้ 2 แบบเช่นเดิม คือ ตัวถังติดตั้งประทุนหลังคาแบบอ่อนอย่างที่เห็นในภาพบนและภาพกลาง กับตัวถังติดตั้งประทุนหลังคาแบบแข็งอย่างที่เห็นในภาพล่าง ทั้ง 2 ตัวถังติดตั้งเครื่องยนต์ DOHC 4 สูบเรียง 1,998 ซีซี ซึ่งให้กำลังสูงสุด 125 กิโลวัตต์/170 แรงม้า เมื่อทำงานร่วมกับเกียร์ธรรมดา 5 หรือ 6 จังหวะ และลดเหลือ 119 กิโลวัตต์/162 แรงม้า เมื่อใช้เกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ สนนราคาค่าตัวที่ซื้อขายกันในเมืองยุ่น แบบประทุนอ่อนเริ่มต้นที่ 2.33 ล้านเยน หรือประมาณ 0.89 ล้านบาท ส่วนประทุนแข็งแพงกว่านิดหน่อย คือ 2.68 ล้านเยน หรือ 1.02 ล้านบาท
นี่ก็เป็นผลงานชิ้นใหม่ของยักษ์เล็กเมืองยุ่นเช่นกัน เป็นรถไฟฟ้าติดป้ายชื่อ มาซดา เดมีโอ อีวี (MAZDA DEMIO EV) ซึ่งเดือนตุลาคมปีงูใหญ่นี้ จะเริ่มให้ลูกค้าในเมืองยุ่นเช่าซื้อในราคา 3.577 ล้านเยน หรือเท่ากับประมาณ 1.36 ล้านบาทไทย ตัวถังแฮทช์แบค ยาว 3.900 ม. กว้าง 1.695 ม. และสูง 1.490 ม. ขอหยิบขอยืมจากรถที่ขายในญี่ปุ่นโดยติดป้ายชื่อ มาซดา เดมีโอ (MAZDA DEMIO) และขายในบ้านเราโดยติดป้ายชื่อ มาซดา 2 (MAZDA 2) ระบบขับล้อหน้าด้วยพลังของเครื่องยนต์สันดาปภายในถูกยกออกทั้งหมด แล้วแทนที่ด้วยระบบขับด้วยมอเตอร์ไฟฟ้ากระแสสลับ 75 กิโลวัตต์/102 แรงม้า ซึ่งรับพลังไฟจากแบทเตอรีลิเธียม-ไอออนขนาด 346 โวลท์ 20 กิโลวัตต์ชั่วโมง ประจุไฟเต็มหม้อแต่ละครั้งด้วยไฟบ้าน 200 โวลท์ โดยใช้เวลาประมาณ 8 ชั่วโมง รถจะวิ่งได้ไกลประมาณ 200 กม. และมีอัตราสิ้นเปลืองพลังไฟเฉลี่ย 100 วัตต์ชั่วโมง/กม. ส่วนการประจุไฟแบบเร่งด่วน หรือ FAST CHARGE ในสถานที่ที่จัดไว้โดยเฉพาะและได้พลังไฟร้อยละ 80 จะใช้เวลาเพียง 40 นาที (โดยประมาณ)
แซร์โจ ปินินฟารีนา (ซ้าย) ถ่ายภาพคู่กับ ลูกา ดิ มนเตเซโมโล นายใหญ่ของค่าย แฟร์รารี
ABOUT THE AUTHOR
ช
ชูศักดิ์ ชมจินดา
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน กันยายน ปี 2555
คอลัมน์ Online : ข่าวรอบโลก