ข่าวรอบโลก
ข่าวรอบโลก
เปิดตัว บีเอมดับเบิลยู ซีรีส์ใหม่
เป็นลูกพี่ลูกน้องกับรถ ซีรีส์-3
จะออกขายไตรมาส 4 ของปีนี้
เยอรมนี-ค่าย "ใบพัดเครื่องบินสีฟ้าขาว" ลบชื่อ บีเอมดับเบิลยู ซีรีส์-3 คูเป (BMW 3-SERIES COUPE) ออกจากบัญชีรายชื่อสินค้า แล้วแทนที่ด้วยรถรุ่นใหม่ คือ บีเอมดับเบิลยู ซีรีส์-4 คูเป (BMW 4-SERIES COUPE) ซึ่งจะเริ่มออกโชว์รูมตอนปลายปี โดยมีรถให้เลือกรวม 5 โมเดล ทั้งแบบขับล้อหลัง และแบบขับทุกล้อ
เมื่อปลายเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ยอดผู้ผลิตรถหรูของเมืองเบียร์ เผยแพร่ข่าวซึ่งน่าจะเป็นที่สนใจของคนรักรถทั่วโลก โดยเฉพาะผู้นิยมชมชอบรถหรูขนาดเล็กกะทัดรัด ซึ่งมีประตูข้างเพียง 2 บาน นั่นคือภาพถ่ายและรายละเอียดทั้งหลายทั้งปวงของรถแบบใหม่ ที่กำลังจะเข้าสู่สายการผลิตในเมืองเบียร์ แทนที่รถ บีเอมดับเบิลยู ซีรีส์-3 คูเป (BMW 3-SERIES COUPE) ซึ่งคนรักรถรู้จักกันดี เป็นรถคูเปขนาดเล็กกะทัดรัดที่ในไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ จะออกโชว์รูมพร้อมกับป้ายชื่อ บีเอมดับเบิลยู ซีรีส์-4 คูเป (BMW 4-SERIES COUPE)
รถรุ่นใหม่ตามข่าวข้างต้น จะอยู่ในตัวถังยาว 4.638 ม. กว้าง 1.825 ม. และสูง 1.362 ม. ซึ่งมีค่าสัมประสิทธิ์แรงต้านอากาศ 0.28-0.30 เป็นตัวถังแบบใหม่ที่ออกแบบและพัฒนาโดยใช้พแลทฟอร์มชุดเดียวกับรถ บีเอมดับเบิลยู ซีรีส์-3 ลีมูซีน (BMW 3-SERIES LIMOUSINE) รุ่นปัจจุบัน แต่ยืดช่วงฐานล้อให้ยาวขึ้น 5.0 ซม. กับขยายช่วงล้อหน้าและช่วงล้อหลังให้ยาวขึ้น 4.5 และ 8.1 ซม. ตามลำดับ หน้าตาและรูปทรงองค์เอวของตัวถังเห็นได้ชัดว่าได้รับอิทธิพลเป็นอย่างมากจากรถ บีเอมดับเบิลยู ซีรีส์-3 ลีมูซีน โดยเฉพาะส่วนหน้าที่ไม่เหมือนกันเลยก็คือ ประตูข้างซึ่งมีอยู่เพียง 2 บาน และเป็นประตูแบบไร้กรอบกระจกหน้าต่าง อย่างที่เรียกกันในภาษาอังกฤษว่า FRAMELESS DOORS จุดที่น่าสนใจมากก็คือ ค่าย "ใบพัดเครื่องบินสีฟ้าขาว" บอกว่า เป็นรถที่มีจุดศูนย์ถ่วงอยู่ต่ำที่สุด เมื่อเทียบกับรถ บีเอมดับเบิลยู ทุกรุ่นที่มีขายอยู่ในขณะนี้
ภายในห้องโดยสารซึ่งออกแบบให้นั่งได้รวม 4 คน ก็ให้ความรู้สึกคล้ายกับกำลังนั่งอยู่ในรถ บีเอมดับเบิลยู ซีรีส์-3 ลีมูซีน เพราะอุปกรณ์หลายชิ้น รวมทั้งแผงหน้าปัดอุปกรณ์ และคอนโซลกลาง ล้วนยกชุดมาจากรถรุ่นที่ว่านี้ อย่างไรก็ตาม การขยายช่วงฐานล้อดังที่กล่าวข้างต้น ส่งผลให้ห้องโดยสารมีช่วงวางแข้งวางเข่าที่กว้างขึ้นจนรู้สึกได้ ในขณะที่ห้องเก็บของท้ายรถก็เพิ่มขนาดความจุเป็น 445 ลิตร คือ เพิ่มขึ้น 5 ลิตร จากรถ บีเอมดับเบิลยู ซีรีส์-3 คูเป รุ่นเก่า
ตัวจริงเสียงจริงจะอวดตัวต่อสาธารณชนเป็นครั้งแรก ที่งานมหกรรมยานยนต์ฟรังค์ฟวร์ท ซึ่งจะมีขึ้นตอนกลางเดือนกันยายนของปีงูเล็ก และไม่กี่วันหลังจากนั้นก็จะเริ่มออกโชว์รูมในเมืองแม่ โดยมีรถให้เลือกรวม 5 โมเดล คือ BMW 428I COUPE กับ BMW 428I XDRIVE COUPE ซึ่งติดตั้งเครื่องเทอร์โบเบนซินฉีดตรง DOHC 4 สูบเรียง 1,997 ซีซี 180 กิโลวัตต์/245 แรงม้า BMW 435I COUPE กับ BMW 435I XDRIVE COUPE ซึ่งติดตั้งเครื่องเทอร์โบเบนซินฉีดตรง DOHC 6 สูบเรียง 2,979 ซีซี 225 กิโลวัตต์/306 แรงม้า และ BMW 420D COUPE ซึ่งติดตั้งเครื่องเทอร์โบดีเซลฉีดตรง DOHC 4 สูบเรียง 1,995 ซีซี 135 กิโลวัตต์/184 แรงม้า ส่วนระบบเกียร์มี 2 แบบ คือ เกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ กับเกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ
สปอร์ทตัวใหม่ค่าย แอสตัน มาร์ทิน
รถเปิดประทุนทั้งหรูทั้งแรงและเร็ว
ค่าตัวในเมืองผู้ดีแค่ 2 แสนปอนด์
อังกฤษ-ยอดผู้ผลิตรถสปอร์ทเมืองผู้ดี เอาใจคนรักรถสปอร์ทหลังคาอ่อน เปิดตัวรถเปิดประทุนติดป้ายชื่อ แอสตัน มาร์ทิน แวนควิช โวลันเต (ASTON MARTIN VANQUISH VOLANTE) ตัวถังซึ่งทำจากคาร์บอนไฟเบอร์แข็งแรงกว่ารถรุ่นใดๆ ของค่ายนี้ในรอบร้อยปี เปิดรับจองแล้ว แต่ต้องรอจนถึงปลายปีงูเล็ก จึงจะได้รับรถ
เมื่อปลายเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ยอดผู้ผลิตรถสปอร์ทของเมืองผู้ดีซึ่งธุรกิจกำลังวิ่งฉิว ทำให้คนรักรถสปอร์ทเงินถุงเงินถังสตางค์แยะ ที่นิยมชมชอบรถสายพันธุ์อังกฤษ หัวใจเต้นแรงไปตามๆ กัน ด้วยข่าวการเปิดตัวรถสปอร์ทติดโลโก "ปีกนก" แบบใหม่ล่าสุด ที่กำลังจะออกสู่โชว์รูมพร้อมกับป้ายชื่อ แอสตัน มาร์ทิน แวนควิช โวลันเต (ASTON MARTIN VANQUISH VOLANTE) และป้ายค่าตัวซึ่งเริ่มต้นที่ระดับ 199,995 ปอนด์ หรือเท่ากับประมาณ 9.6 ล้านบาทไทย
เป็นรถสปอร์ทเปิดประทุนซึ่งพัฒนาจากรถคูเป แอสตัน มาร์ทิน แวนควิช (ASTON MARTIN VANQUISH) ซึ่งเพิ่งออกจำหน่ายในเมืองผู้ดีเมื่อปลายปี 2012 และถือเป็นตัวตายตัวแทนของรถเปิดประทุน แอสตัน มาร์ทิน ดีบีเอส โวลันเต (ASTON MARTIN DBS VOLANTE) ซึ่งออกตลาดเมื่อเดือนมิถุนายน 2009 และขณะนี้ถูกปลดจากสายการผลิตไปแล้ว ตัวถังคาร์บอนไฟเบอร์ซึ่งยาว 4.728 ม. กว้าง 1.905 ม. และสูง 1.294 ม. มีรายละเอียดเพียงเล็กน้อยที่เปลี่ยนไปจากรถคูเป และจุดสำคัญที่สุด คือ การเปลี่ยนหลังคา จากหลังคาแข็งเป็นหลังคาเปิดประทุนแบบอ่อน ทำจากผ้าแฟบริค 3 ชั้น เปิด/ปิดโดยการกดปุ่ม และการเปิดหรือปิดประทุนแต่ละครั้งจะใช้เวลาเพียง 14 วินาที นับเป็นรถเปิดประทุนที่นั่งแล้วหายใจได้ทั่วท้อง เพราะผู้ผลิตยืนยันไว้ในข้อมูลที่เผยแพร่ว่า นอกจากเป็นรถเปิดประทุนตัวถังคาร์บอนไฟเบอร์ล้วน แบบแรกของค่ายแล้ว แอสตัน มาร์ทิน แวนควิช โวลันเต ยังเป็นรถเปิดประทุนที่แข็งแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ที่ยาวนานถึง 1 ศตวรรษของ แอสตัน มาร์ทิน อีกต่างหาก ภายในห้องโดยสารซึ่งออกแบบให้เป็นรถ 2+2 ที่นั่ง แทบไม่มีอะไรเลยที่แตกต่างจากรถคูเป นอกจากปุ่มบังคับควบคุมที่เพิ่มขึ้นเนื่องจากการเปลี่ยนหลังคา
เช่นเดียวกับรถคูเป รถเปิดประทุนรุ่นล่าสุดนี้ ติดตั้งเครื่องยนต์เบนซิน DOHC วี 12 สูบ ความจุ 5,935 ซีซี ให้กำลังสูงสุด 421 กิโลวัตต์/573 แรงม้า ที่ 6,750 รตน. และแรงบิดสูงสุด 620 นิวตัน-เมตร/63.3 กก.-ม. ที่ 5,500 รตน. ระบบเกียร์เพื่อถ่ายทอดกำลังสู่ล้อคู่หลังเป็นเกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ TIPTRONIC 2 ส่วนระบบรองรับปรับการทำงานได้ 3 โหมด คือ NORMAL SPORT และ TRACK สมรรถนะความเร็วตามตัวเลขของผู้ผลิต อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. คาดหมายว่าน่าจะทำได้ใน 4.1 วินาที ส่วนความเร็วสูงสุด คือ 295 กม./ชม.
เปิดรับใบสั่งจองแล้วพร้อมๆ กับการเปิดตัว และคาดว่ารถคันแรกจะส่งถึงมือผู้สั่งจองก่อนสิ้นปี ค่าตัวในประเทศอื่นๆ จะแพงกว่าที่ขายในเมืองแม่ ตัวอย่างเช่น ในเยอรมนีจะติดป้ายราคา 264,995 ยูโร หรือประมาณ 10.6 ล้านบาทไทย ในดูไบจะติดป้ายราคา 323,974 เหรียญสหรัฐ ฯ หรือประมาณ 10.0 ล้านบาทไทย
ย่อยข่าว
ญี่ปุ่น-ยอดขายรถใหม่ในเมืองยุ่นเริ่มหดตัวอีกแล้ว ตามตัวเลขของ JAMA (JAPAN AUTOMOBILE MANUFACTURERS ASSOCIATION) หรือ สมาคมผู้ผลิตรถยนต์แห่งประเทศญี่ปุ่น ในช่วงครึ่งแรกของปี 2013 มีการจดทะเบียนรถใหม่ในญี่ปุ่นรวมทั้งสิ้น 2,711,648 คัน หรือลดลงถึงร้อยละ 8.0 จากตัวเลขในช่วงเดียวกันเมื่อปี 2012 โดยแยกออกได้เป็นรถยนต์นั่งรวม 2,311,347 คัน (ลดลงร้อยละ 8.5) รถบรรทุก 394,386 คัน (ลดลงร้อยละ 4.9) รถโดยสาร 5,915 คัน (ลดลงร้อยละ 16.3) และแยกจำนวนตามบริษัทผู้ผลิตได้ดังนี้ (ตัวเลขในวงเล็บ คือ จำนวนที่เพิ่มหรือลดจากยอดจดทะเบียนรถในช่วงครึ่งแรกของปี 2012)
1. โตโยตา 783,136 คัน (-12.3 %)
2. ฮอนดา 368,067 คัน (-14.6 %)
3. ซูซูกิ 360,726 คัน (-1.7 %)
4. นิสสัน 347,646 คัน (-5.2 %)
5. ไดฮัทสุ 342,223 คัน (-10.3 %)
6. มาซดา 116,961 คัน (-2.1 %)
7. ซูบารุ 95,334 คัน (+0.7 %)
8. มิตซูบิชิ 69,613 คัน (-10.7 %)
9. อีซูซุ 28,419 คัน (-6.0 %)
10. เลกซัส 22,890 คัน (+0.1 %)
11. ฮีโน 22,382 คัน (+5.2 %)
12. มิตซูบิชิ ฟูโซ 16,817 คัน (-7.9 %)
13. ยูดี ทรัคส์ 4,181 คัน (-13.7 %)
14. อื่นๆ 133,253 คัน (+12.6 %)
เฉพาะรถยนต์นั่งซึ่งมียอดจดทะเบียน 2,311,347 คัน หรือเท่ากับร้อยละ 85.2 ของยอดจดทะเบียนโดยรวม แยกจำนวนตามผู้ผลิตได้ดังนี้
1. โตโยตา 704,758 คัน (-13.3 %)
2. ฮอนดา 351,293 คัน (-15.0 %)
3. นิสสัน 295,409 คัน (-7.4 %)
4. ซูซูกิ 290,077 คัน (-1.3 %)
5. ไดฮัทสุ 270,974 คัน (-14.0 %)
6. มาซดา 103,610 คัน (-1.8 %)
7. ซูบารุ 87,120 คัน (+31.8 %)
8. มิตซูบิชิ 52,895 คัน (-10.7 %)
9. เลกซัส 22,890 คัน (+0.1 %)
10. อื่นๆ 132,321 คัน (+12.8 %)
เยอรมนี-ยอดผู้ผลิตรถหรู เมร์เซเดส-เบนซ์ (MERCEDE-BENZ) ประกาศผลประกอบการในช่วงครึ่งแรกของปี 2013 ว่า สามารถขายรถติดตรา "ดาวสามแฉก" ในตลาดทั่วโลกได้สูงสุดเป็นประวัติการณ์ถึง 694,433 คัน หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 6.4 จากยอดขายในช่วงเดียวกันเมื่อปี 2012 ตลาดใหญ่ที่สุด คือ ทวีปยุโรปซึ่งมียอดขายสูงถึง 327,988 คัน รองลงไป คือ สหรัฐอเมริกา 141,950 คัน และสาธารณรัฐประชาชนจีน 98,914 คัน ส่วนรถในเครือข่ายอีกยี่ห้อหนึ่ง คือ สมาร์ท (SMART) ขายทั่วโลกได้เพียง 51,867 คัน หรือลดลงร้อยละ 6.7
เยอรมนี-ยอดผู้ผลิตรถหรูอีกรายหนึ่ง คือ บีเอมดับเบิลยู (BMW) ก็ประกาศผลประกอบการในช่วงครึ่งแรกของปีงูเล็กแล้วเช่นกัน ปรากฏว่าในช่วงเวลาดังกล่าวนี้รถหรูติดเครื่องหมาย "ใบพัดเครื่องบินสีฟ้าขาว" ก็ทำยอดขายทั่วโลกได้สูงสุดเป็นประวัติการณ์เช่นกัน คือ 804,248 คัน หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 7.7 จากตัวเลขในช่วงครึ่งแรกของปี 2012 รถที่ยอดขายมีอัตราการเติบโตสูงสุด คือ บีเอมดับเบิลยู ซีรีส์-3 (BMW 3-SERIES) ซึ่งขายทั่วโลกได้ถึง 236,215 คัน หรือเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 21.8 จากยอดขาย 193,996 คัน ในช่วงครึ่งแรกของปีงูใหญ่ ส่วนรถในเครือข่ายอีก 2 ยี่ห้อนั้น ก็ปรากฏว่ารถ มีนี (MINI) ทำยอดขายได้รวม 148,798 คัน หรือลดลงร้อยละ 2.0 และรถหรู โรลล์ส-รอยศ์ (ROLLS-ROYCE) ขายได้รวม 1,475 คัน คือ ลดลงร้อยละ 7.8 จาก 1,600 คัน
เยอรมนี-โฟล์คสวาเกน (VOLKSWAGEN) ผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ที่สุดของเมืองเบียร์ เป็นอีกรายหนึ่งที่ประกาศผลประกอบการในช่วงครึ่งแรกของปี 2013 ไปแล้ว โดยระบุว่าสามารถขายรถยนต์นั่งในตลาดทั่วโลกได้รวมทั้งสิ้นประมาณ 2.91 ล้านคัน หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 4.4 จากยอดขายในช่วงเดียวกันเมื่อปี 2012 ในทวีปยุโรปซึ่งยอดขายโดยรวมตกต่ำอย่างน่าใจหายใจคว่ำ โฟล์คสวาเกน ทำยอดขายได้รวม 843,600 คัน หรือลดลงถึงร้อยละ 7.1 แต่ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิค ยอดขายกลับเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 17.3 คือ จาก 1.09 เป็น 1.28 ล้านคัน และในตลาดอเมริกาเหนือยอดขายก็เพิ่มขึ้นร้อยละ 3.9 จาก 295,300 คัน เป็น 307,000 คัน
เยอรมนี-ผู้ผลิตอีกรายหนึ่งที่อยู่ในเครือข่ายของยักษ์ใหญ่ โฟล์คสวาเกน กรุพ (VOLKSWAGEN GROUP) คือ เอาดี (AUDI) ก็เปิดเผยผลประกอบการในช่วงครึ่งแรกของปีงูเล็กแล้วเช่นกัน ปรากฏว่าในช่วงดังกล่าว รถหรูติดตรา "สี่ห่วง" ทำยอดขายในตลาดทั่วโลกได้รวม 780,500 คัน หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 6.4 จากตัวเลขในช่วงครึ่งแรกของปีงูใหญ่ ตลาดใหญ่ที่สุด คือ ยุโรปซึ่งมียอดขายรวม 383,700 คัน (ลดลงร้อยละ 2.5) รองลงไป คือ ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิค 270,800 คัน (เพิ่มขึ้นร้อยละ 18.2) และสหรัฐอเมริกา 74,277 คัน (เพิ่มขึ้นร้อยละ 14.0)
สหรัฐอเมริกา-ในช่วงครึ่งแรกของปี (มกราคม-มิถุนายน 2013) ยักษ์ใหญ่ "จีเอม" หรือ เจเนอรัล มอเตอร์ส คัมพานี (GENERAL MOTORS COMPANY) สามารถขายรถใหม่ในเมืองมะกันได้รวมทั้งสิ้น 1,420,346 คัน หรือเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 10.6 จากยอดขายในช่วงเดียวกัน ตัวเลขดังกล่าวแยกออกได้เป็นรถ เชฟโรเลต์ (CHEVROLET) จำนวน 1,015,134 คัน จีเอมซี (GMC) จำนวน 220,696 คัน บิวอิค (BUICK) จำนวน 100,837 คัน แคดิลแลค (CADILLAC) จำนวน 83,679 คัน และเมื่อแยกยอดขายตามรุ่นของรถก็ปรากฏว่า รถที่ขายได้มากที่สุด 10 อันดับแรก ได้แก่
1. เชฟโรเลต์ ซิลเวอราโด 242,586 คัน
2. เชฟโรเลต์ ครูซ 133,689 คัน
3. เชฟโรเลต์ อีควินอกซ์ 126,397 คัน
4. เชฟโรเลต์ มาลิบู 111,100 คัน
5. จีเอมซี สิเอร์รา 87,633 คัน
6. เชฟโรเลต์ อิมพาลา 83,382 คัน
7. เชฟโรเลต์ ทราเวิร์ส 53,294 คัน
8. จีเอมซี เทอร์เรน 50,676 คัน
9. จีเอมซี อคาเดีย 46,492 คัน
10. เชฟโรเลต์ โซนิค 44,905 คัน
สหรัฐอเมริกา-ปีงูเล็ก 2013 กำลังจะกลายเป็นปีทองอีกปีหนึ่งของ ฟอร์ด มอเตอร์ คัมพานี (FORD MOTOR COMPANY) ในช่วงครึ่งแรกของปี ยอดขายของยักษ์รองรายนี้ในเมืองมะกันพุ่งขึ้นสู่ระดับ 1,293,295 คัน หรือเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 13.1 จากยอดขาย 1,143,623 คัน ในช่วงครึ่งแรกของปี 2012 ยอดขายที่เพิ่มขึ้นอย่างน่าดีใจนี้ แยกออกได้เป็นรถ ฟอร์ด (FORD) จำนวน 1,255,007 คัน ลินคอล์น (LINCOLN) จำนวน 38,288 คัน และเมื่อแยกยอดขายตามรุ่นของรถก็ปรากฏผลว่า รถขายดีที่สุด 10 อันดับแรก ประกอบด้วย
1. ฟอร์ด เอฟ-ซีรีส์ 367,486 คัน
2. ฟอร์ด ฟิวชัน 161,146 คัน
3. ฟอร์ด เอสเคพ 156,626 คัน
4. ฟอร์ด โฟคัส 134,785 คัน
5. ฟอร์ด เอกซ์พลอเรอร์ 95,302 คัน
6. ฟอร์ด เอดจ์ 68,971 คัน
7. ฟอร์ด อี-ซีรีส์ 65,963 คัน
8. ฟอร์ด มัสแตง 43,111 คัน
9. ฟอร์ด ฟิเอสตา 38,164 คัน
10. ฟอร์ด เทารัส 37,447 คัน
เยอรมนี-ฟอร์ด ยุโรป ซึ่งมีศูนย์บัญชาการตั้งอยู่ที่เมืองโคโลญจ์ (COLOGNE) ในเยอรมนี เปิดเผยผลประกอบการในช่วงครึ่งแรกของปี 2013 โดยระบุว่า สามารถขายรถใหม่ใน EURO 19 หรือ 19 ประเทศของยุโรปได้รวมทั้งสิ้น 565,400 คัน หรือลดลงถึงร้อยละ 8.3 จากตัวเลขในช่วงครึ่งแรกของปี 2012 ในขณะที่ตลาดโดยรวมยอดขายหดตัวร้อยละ 7.1 เมื่อแยกยอดขายตามรุ่นของรถก็ปรากฏผลว่า รถที่ขายได้มากที่สุด 10 อันดับแรก ประกอบด้วย
1. ฟอร์ด ฟิเอสตา 152,100 คัน
2. ฟอร์ด โฟคัส 120,800 คัน
3. ฟอร์ด ซี-แมกซ์ 53,300 คัน
4. ฟอร์ด ทรานสิท 51,900 คัน
5. ฟอร์ด บี-แมกซ์ 38,200 คัน
6. ฟอร์ด คูกา 31,500 คัน
7. ฟอร์ด คา 27,600 คัน
8. ฟอร์ด มนเดโอ 24,600 คัน
9. ฟอร์ด ทรานสิท คัสตอม 15,700 คัน
10. ฟอร์ด เอส-แมกซ์ 14,600 คัน
EURO 19 หรือ 19 ประเทศของทวีปยุโรปที่กล่าวข้างต้น ประกอบด้วย ออสเตรีย เบลเยียม อังกฤษ สาธารณรัฐเชค เดนมาร์ค ฟินแลนด์ ฝรั่งเศส เยอรมนี กรีซ ฮังการี ไอร์แลนด์ อิตาลี เนเธอร์แลนด์ นอร์เวย์ โปแลนด์ โปรตุเกส สเปน สวีเดน และสวิทเซอร์แลนด์
เยอรมนี-การสำรวจความพึงพอใจของผู้ใช้รถในเยอรมนีซึ่งเป็นเจ้าของรถที่มีอายุระหว่าง 1-3 ปี โดย JD POWER & ASSOCIATE ผู้ชำนัญการด้านวิจัยอุตสาหกรรมรถยนต์ ให้ผลลัพธ์ว่า รถที่ได้คะแนนสูงสุด 10 อันดับแรก จากคะแนนเต็ม 1,000 คะแนน ประกอบด้วย
1. โวลโว 832 คะแนน
2. โตโยตา 816 คะแนน
3. เมร์เซเดส-เบนซ์ 810 คะแนน
4. มาซดา 808 คะแนน
5. มิตซูบิชิ 807 คะแนน
6. ฮอนดา 806 คะแนน
7. สโกดา 798 คะแนน
8. โฟล์คสวาเกน 798 คะแนน
9. เอาดี 794 คะแนน
10. นิสสัน 793 คะแนน
การสำรวจดังกล่าวนี้ แบ่งน้ำหนักการให้คะแนนข้อมูลป้อนกลับจากเจ้าของรถเป็น 4 ส่วน คือ คุณภาพและความไว้วางใจได้ของรถร้อยละ 24 หน้าตาของรถร้อยละ 27 ค่าใช้จ่ายในการเป็นเจ้าของรถร้อยละ 25 และความพึงพอใจในบริการร้อยละ 23
ABOUT THE AUTHOR
ช
ชูศักดิ์ ชมจินดา
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน กันยายน ปี 2556
คอลัมน์ Online : ข่าวรอบโลก