Advertorial
ฺBMW ยกขบวนรถหรูขึ้นอิมแพคท์ ชาลเลนเจอร์ ฮอลล์ เมืองทองธานี
BMW ในงานบางกอก อินเตอร์เนชันแนล มอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 44 ที่จัดขึ้นระหว่างวันที่ 22 มีนาคม-2 เมษายน 2566 ณ อิมแพคท์ ชาลเลนเจอร์ ฮอลล์ เมืองทองธานี พบกับขบวนรถหรูในกลุ่ม Luxury Class ไม่ว่าจะเป็น BMW XM ใหม่, BMW X7 ใหม่ และ BMW 7 ใหม่
เสริมทัพด้วยรถไฟฟ้า 100 % รุ่นเด่นอย่าง BMW i4 eDrive35 M Sport และ BMW iX xDrive40 Sport ใหม่ BMW 5 Series PHEV ก็มี BMW 530e Luxury ใหม่
เร้าใจกับสายพันธุ์ M กับ BMW M2 โฉมใหม่ ที่พร้อมส่งพลังโลดแล่นเกินพิกัดบนท้องถนนกับสมรรถนะแบบ M พันธุ์แท้ อันเป็นเอกลักษณ์ และรูปลักษณ์อันปราดเปรียว
MINI อวดดีไซจ์นสนุกสะดุดตากับ MINI Clubman Cooper S รุ่น Multitone Red ใหม่ และ MINI Hatch John Cooper Works ดีไซจ์นเอกลักษณ์สุดคลาสสิค
BMW Motorrad เอาใจนักบิดกับมอเตอร์ไซค์ที่ได้แรงบันดาลใจจากสนามแข่งอย่าง BMW S 1000 RR ใหม่ กับเครื่องยนต์ที่ทรงพลังยิ่งขึ้น BMW R 18 B และ BMW R 18 Transcontinental ที่เลือกสีได้หลากหลายยิ่งขึ้น พร้อมกับฉลองการครบรอบ 100 ปี ของ BMW Motorrad พาผู้ชมงานเดินทางไปกับประวัติศาสตร์ของการ "Make Life a Ride" กับนิทรรศการสุดพิเศษ ในงานบางกอก อินเตอร์เนชันแนล มอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 44 บูธ M8/1A
BMW M2 โฉมใหม่
BMW M2 โฉมใหม่ มาพร้อมกับการปรับแต่งที่โดดเด่นกว่ารุ่นก่อนหน้า ผสมผสานขนาดกะทัดรัด ระบบส่งกำลัง และเทคโนโลยีแชสซีส์ไว้ด้วยกันอย่างลงตัว เพื่อมอบประสบการณ์การขับขี่ที่ปราดเปรียว และการตอบสนองทรงประสิทธิภาพ พร้อมความสามารถในการควบคุมที่ทำได้อย่างง่ายดาย แม้ในสภาวะการขับขี่ที่ดุดันสุดขีดจำกัด รูปลักษณ์สปอร์ทปราดเปรียวของ BMW M2 โฉมใหม่ มีที่มาจากสัดส่วนที่ทรงพลังเป็นพิเศษ และลักษณะการออกแบบสไตล์ M อันโดดเด่น มาพร้อมระยะฐานล้อที่สั้นลง 110 มม. รวมถึงดีไซจ์นภายนอกที่สั้นกว่า BMW M4 Coupe ถึง 214 มม. ชุดเบรค M Compound สีแดงเงา และหลังคา M Carbon
ภายนอกตกแต่งด้วยวัสดุสีดำเงา และโคมไฟหน้าตกแต่งสีดำสไตล์ M และเสริมความโฉบเฉี่ยวยิ่งขึ้นด้วยระบบไฟหน้า Adaptive LED ระบบปรับการทำงานไฟสูงอัตโนมัติ (High-beam assistant) กระจังหน้าทรงไตคู่แนวนอนขนาดใหญ่แบบไร้กรอบ ผสานกับช่องดักอากาศที่แบ่งออกเป็น 3 ส่วน ในรูปทรงเกือบจะเป็นสี่เหลี่ยม ส่งผลให้ส่วนหน้าของตัวรถมีรูปลักษณ์แบบ M ที่คุ้นเคย ตัวรถยังถูกออกแบบโดยคำนึงถึงความจำเป็นเชิงเทคนิคในการระบายอากาศ และความสมดุลทางอากาศพลศาสตร์
ด้านท้ายของ BMW M2 โฉมใหม่ ยังดูสะดุดตาด้วยขอบสปอยเลอร์บนฝากระโปรงหลัง แผ่นสะท้อนแสงจัดวางในแนวตั้ง ดิฟฟิวเซอร์ที่กันชนท้าย และปลายท่อไอเสีย 2 คู่ ที่ 2 ข้างท้ายของตัวรถ
ชุดเบรค M Compound สีแดงเงา
หลังคา M Carbon
ภายในอวดโฉมการตกแต่งสไตล์สปอร์ทด้วยชุดไฟส่องสว่างภายใน และภายนอกห้องโดยสาร (Ambient light) หลังคาภายในดีไซจ์นน์ M สีดำ Anthracite และคอนโซลด้านบนบุด้วยหนังแบบ BMW Individual เสริมลุคที่แตกต่างด้วยการตกแต่งดีไซจ์น M ด้วยวัสดุคาร์บอนไฟเบอร์ พวงมาลัยหุ้มหนังดีไซจ์น M เข็มขัดนิรภัยดีไซจ์น M เบาะนั่งดีไซจ์นน์ M Sport เบาะนั่งตอนหน้าปรับไฟฟ้าพร้อมระบบจำตำแหน่งเฉพาะฝั่งคนขับ และกราบบันไดดีไซจ์น M แบบเรืองแสง
BMW Live Cockpit Professional นำเสนอจอแสดงข้อมูลสำหรับคนขับที่ทันสมัยผ่านจอโค้ง BMW Curved Display ซึ่งเป็นระบบดิจิทอลเต็มรูปแบบ ทำงานร่วมกับระบบเชื่อมต่อสมาร์ทโฟน พร้อมระบบความบันเทิงและการสื่อสารล้ำสมัยด้วยจอ Control Display ขนาด 14.9 นิ้ว ผสานเป็นหนึ่งเดียวกับจอแสดงข้อมูล 12.3 นิ้ว นอกจากนี้ ระบบ BMW ConnectedDrive และ BMW Connected Package Professional ยังนำเสนอคุณสมบัติ และบริการขั้นสูงมากมายที่ช่วยให้การขับขี่สะดวก มีประสิทธิภาพ และสนุกสนานยิ่งขึ้น ระบบเครื่องเสียงรอบทิศทาง Harman Kardon มอบประสบการณ์เสียงคุณภาพสูงอันดื่มด่ำที่สามารถปรับแต่งได้ จึงช่วยให้ประสบการณ์การขับขี่ที่ประทับใจยิ่งขึ้น
เบาะนั่งดีไซจ์น M Sport เบาะนั่งตอนหน้าปรับไฟฟ้า พร้อมระบบจำตำแหน่งเฉพาะฝั่งคนขับ
หัวใจของ BMW M2 โฉมใหม่ คือ ขุมพลังเบนซิน 6 สูบ พร้อมเทคโนโลยี BMW M TwinPower Turbo ส่งพลังสูงสุด 460 แรงม้า (338 กิโลวัตต์) ที่ 6,250 รตน. ให้แรงบิดสูงสุด 56.1 กก.-ม. (550 นิวตันเมตร) ที่ 2,650-5,870 รตน. โลดแล่นจาก 0-100 กม./ชม. ภายในเวลาเพียง 4.1 วินาที ที่ความเร็วสูงสุด 250 กม./ชม. สมรรถนะแบบไดนามิคยังผสานเข้ากับระบบขับเคลื่อนล้อหลังร่วมกับเกียร์อัตโนมัติ M Steptronic 8 จังหวะ พร้อมระบบ Drivelogic เพิ่มการเปลี่ยนเกียร์ให้สปอร์ทยิ่งขึ้น ด้วยระบบการเชื่อมต่อกับเครื่องยนต์โดยตรง พร้อมความสามารถในการลดเกียร์ลงหลายระดับจนถึงเกียร์ต่ำสุด ระบบส่งกำลังพื้นฐานนี้มีส่วนสำคัญในการเร่งความเร็วแบบทันทีทันใดได้อย่างน่าประทับใจ โหมดการขับขี่ M Drive Professional ช่วยเสริมความเร้าใจในการขับขี่ให้มากขึ้น
มาพร้อมระบบเฟืองท้าย M Sport เพิ่มประสิทธิภาพการยึดเกาะถนน และเสถียรภาพในการขับขี่ เมื่อเปลี่ยนเลน หรือเร่งความเร็วออกจากโค้ง และเมื่อเข้าโค้งด้วยความเร็วสูง หรือบนพื้นผิวถนนที่แตกต่างกัน นอกจากนั้น ช่วงล่าง Adaptive M Suspension ยังช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถเลือกได้อย่างอิสระ ระหว่างรูปแบบการขับขี่แบบสะดวกสบาย หรือสไตล์สปอร์ท
ความปลอดภัยในการขับขี่ได้รับการยกระดับไปอีกขั้นด้วยระบบต่างๆ ที่ติดตั้งมาเป็นมาตรฐาน ได้แก่ ระบบควบคุมเสถียรภาพการขับขี่ (DSC) ระบบควบคุมแรงดันเบรกแบบแปรผัน (DBC) ระบบควบคุมการกระจายแรงเบรคขณะเข้าโค้ง (CBC) ระบบป้องกันล้อลอคขณะเบรค (ABS) ระบบช่วยเสริมแรงเบรคอัตโนมัติ (BA) เซนเซอร์ควบคุมระยะการจอดด้านหน้า และหลัง เซนเซอร์ควบคุมระบบความปลอดภัยเมื่อเกิดการชน (Crash sensor) ระบบ Teleservices และปุ่มโทรออกฉุกเฉิน (Intelligent Emergency Call)
BMW M2 โฉมใหม่ มีมาให้เลือก 5 สี ได้แก่ ฟ้า Zandvoort Blue Solid, ขาว Alpine White Solid, แดง Toronto Red Metallic, เทา Brooklyn Grey Metallic และดำ Black Sapphire Metallic โดยสามารถเลือกการตกแต่งภายในด้วยเบาะหนัง Vernasca ดำ Black/Exclusive Highlight, Black/Contrast Stitching Blue และ Cognac Decor Stitching หรือเบาะหนัง Alcantara/Sensatec Combination ดำ Black/Contrast stitching Blue และที่สำคัญ สามารถทำการจอง BMW M2 โฉมใหม่ ได้ทางออนไลน์ ผ่าน https://shop.bmw.co.th โดยสามารถเลือกปรับแต่งรถยนต์ตามต้องการ ไม่ว่าจะเป็น การเลือกสีภายนอก ภายใน รวมถึงตัวเลือกล้ออีก 2 ตัวเลือก ได้แก่ ล้ออัลลอยน้ำหนักเบา M ลาย 930 M Double Spoke แบบสลับสี หรือดำ Jet Black ราคาจำหน่าย 6,499,000 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม พร้อมแพคเกจบำรุงรักษา BSI Standard)
BMW 530e Luxury ใหม่ ราคาจำหน่าย 3,269,000 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม พร้อมแพคเกจบำรุงรักษา BSI Standard)
BMW 530e Luxury ใหม่ โดดเด่นด้วยดีไซจ์นภายนอกที่หรูหรา ด้วยชิ้นส่วนตกแต่งโครเมียม และเส้นสายทรงพลัง ทั้งบริเวณด้านหน้า และท้ายรถ มาพร้อมกระจังหน้าทรงไตคู่ขนาดใหญ่ในรูปทรงแปดเหลี่ยม ล้อมรอบด้วยกรอบโครเมียม ยาวลงมาบรรจบกับกันชนหน้า ล้อมรอบด้วยกรอบที่เชื่อมต่อกันเป็นชิ้นเดียว ส่วนบนของซี่ในกระจังหน้ายื่นออกมาเล็กน้อย สร้างมิติที่สอดรับกับไฟหน้า Adaptive LED รูปตัว L ในดีไซจ์นเรียวยาวดูดุดันยิ่งขึ้น ช่องดักอากาศแนวตั้งทั้ง 2 ข้าง ในกรอบโครเมียมบนกันชนหน้า เสริมความโดดเด่นให้แก่การเล่นเส้นสายของดีไซจ์นแบบใหม่ เน้นย้ำถึงความสง่างาม และทรงพลังกว่าที่เคย
อีกหนึ่งความโดดเด่นของ BMW 530e Luxury ใหม่ คือ การออกแบบภายในห้องโดยสารที่ยังคงเน้นการผสานทั้งความสง่างาม และความล้ำสมัยเข้าไว้ด้วยกัน โดยยังคำนึงถึงผู้ขับขี่เป็นสำคัญ สมบูรณ์แบบทั้งสำหรับการขับขี่ และมอบความสะดวกสบายแม้ขณะเดินทางไกล ตกแต่งด้วยวัสดุพรีเมียม และงานฝีมือสุดประณีตจากช่างผู้เชี่ยวชาญ พวงมาลัยหุ้มหนังดีไซจ์น Sport พร้อมคอนโซลด้านบนบุด้วยหนัง Sensatec รถยนต์รุ่นนี้ยังมาพร้อมเบาะหนังแท้ Dakota ภายในห้องโดยสารตกแต่งด้วยลายไม้แบบ Fineline Ridge พร้อมแถบโครเมียม
BMW 530e Luxury ใหม่ ยังได้รับการพัฒนาในด้านระบบความบันเทิง และการสื่อสารให้ทันสมัยยิ่งขึ้น ด้วยจอ BMW Head-up Display และระบบ BMW Live Cockpit Professional แสดงผลบนจอ Control Display ขนาด 12.3 นิ้ว ทำงานบนระบบปฏิบัติการ BMW Operating System 7 ที่ปรับแต่งให้ตรงตามความต้องการของผู้ใช้ได้มากยิ่งขึ้น ระบบเสียงรอบทิศทาง Harman Kardon ยังช่วยมอบความเพลิดเพลินด้วยคุณภาพเสียงที่เหนือชั้นในขณะขับขี่ ระบบปลดลอคประตููอัจฉริยะ (Comfort Access System) ระบบเปิด/ปิดฝากระโปรงท้ายอัตโนมัติด้วยระบบไฟฟ้า ระบบปรับการทำงานไฟสูงอัตโนมัติ (High-beam Assistant) ระบบไฟหน้าแบบ LED และกระจกมองข้างตัดแสงอัตโนมัติ ยังช่วยเพิ่มความโดดเด่นให้แก่ตัวรถอีกด้วย นอกจากนี้ ผู้ขับขี่สามารถเลือกควบคุมระบบการทำงานของรถยนต์ ระบบความบันเทิง และการสื่อสาร ระบบการเชื่อมต่อ และระบบนำทางได้ผ่านทางจอ Control Display ระบบสัมผัส ระบบ iDrive ปุ่มควบคุมมัลทิฟังค์ชันบนพวงมาลัย ระบบสั่งงานด้วยเสียงผ่าน BMW Intelligent Personal Assistant และ BMW gesture control
BMW 530e Luxury ใหม่ ไฮบริดแบบเสียบชาร์จ (PHEV) พร้อมเทคโนโลยี BMW TwinPower Turbo ใหม่ล่าสุด โดยเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ กำลัง 184 แรงม้า (135 กิโลวัตต์) ที่ 5,000-6,500 รตน. และแรงบิดสูงสุด 30.6 กก.-ม. (300 นิวตันเมตร) ที่ 1,350-4,000 รตน. ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้าในระบบขับเคลื่อนพลัก-อิน ไฮบริด ส่งกำลังรวมสูงสุดถึง 292 แรงม้า (215 กิโลวัตต์) และแรงบิดรวมสูงสุด 42.8 กก.-ม. (420 นิวตันเมตร) พละกำลัง 292 แรงม้านี้ เป็นผลจากระบบ XtraBoost ซึ่งปลดปล่อยพละกำลังเสริมมากถึง 40 แรงม้า ภายในเวลาเพียง 10 วินาที เมื่อขับขี่ในโหมด SPORT จึงสามารถโลดแล่นจาก 0-100 กม./ชม. ได้ภายใน 5.9 วินาที ทำความเร็วสูงสุดที่ 235 กม./ชม. โดยสามารถขับขี่แบบไร้มลพิษได้เป็นระยะทาง 52 กม. ตามมาตรฐาน NEDC ด้วยพลังงานจากแบทเตอรีแรงดันสูง ความจุ 12 กิโลวัตต์ชั่วโมง ที่ติดตั้งอยู่ใต้เบาะหลัง BMW 530e Luxury ใหม่ มาพร้อมล้ออัลลอยลาย V-spoke ขนาด 18 นิ้ว
เทคโนโลยีช่วยเหลือผู้ขับขี่ใน BMW 530e Luxury ใหม่ ได้รับการยกระดับให้ล้ำสมัยยิ่งกว่าที่เคย เพื่อช่วยเหลือการขับขี่ในสภาวะที่หลากหลาย พร้อมปูทางสู่เทคโนโลยีการขับขี่อัตโนมัติ ไม่ว่าจะเป็นระบบช่วยการขับขี่ (Driving Assistant) และฟีเจอร์ที่ช่วยอำนวยความสะดวก และความปลอดภัยในสภาวะต่างๆ เช่น ระบบควบคุุมความเร็วคงที่่ พร้อมฟังค์ชันช่วยลดความเร็ว (Cruise Control with braking function) ระบบช่วยเตือนอาการเหนื่อยล้าขณะขับขี่่ (Attentiveness Assistant) นอกจากนี้ ยังมีระบบความปลอดภัยอีกมากมายในทุกรุ่น เพื่อสร้างความอุ่นใจให้แก่ผู้ขับขี่ เช่น เซนเซอร์ควบคุุมระบบความปลอดภัยเมื่อเกิดการชน (Crash Sensor) ระบบป้องกันการกระแทกจากด้านข้าง (Side Impact Protection) ระบบ Active Protection และเซนเซอร์ควบคุมระยะการจอดด้านหน้า และหลัง (Park Distance Control) ระบบช่วยนำรถเข้าที่่จอดอัตโนมัติ (Parking Assistant) ยังช่วยยกระดับความปลอดภัย และความสะดวกสบาย โดยเฉพาะขณะถอยจอด และจอดขนาน
BMW 530e Luxury ใหม่ มีให้เลือกใน 3 ตัวเลือกสี ได้แก่ ตัวถังภายนอกสีขาว Alpine White สีดำ Black Sapphire Metallic และสีน้ำเงิน Phytonic Blue
BMW i4 eDrive35 M Sport ใหม่
BMW i4 eDrive35 M Sport ใหม่ เป็นรถ 4 ประตู Gran Coupe ช่วงหน้าของรถที่สั้นลง เสาทรงเพรียว ประตูพร้อมหน้าต่างแบบไร้ขอบ และหลังคาท้ายลาดที่ออกแบบมาอย่างโฉบเฉี่ยวตามแบบฉบับรถยนต์ BMW Coupe พร้อมระบบไฟหน้าแบบ LED พร้อมระบบปรับการทำงานไฟสูงอัตโนมัติ และกระจังหน้าทรงไตคู่ของ BMW ที่มาพร้อมกับกล้องที่แฝงตัวอยู่ภายใน เซนเซอร์แบบเรดาร์ และอุลทราโซนิค ล้วนแล้วแต่เป็นคุณสมบัติเด่นในส่วนหน้าของตัวรถ BMW i4 eDrive35 M Sport ใหม่ ยังตกแต่งภายนอกด้วยชุดตกแต่ง M Sport พร้อมวัสดุสีเงาดำ คาลิเพอร์เบรคดีไซจ์น M Sport สปอยเลอร์ท้ายดีไซจ์น M ความสะดวกสบายของผู้ขับขี่ได้รับการยกระดับให้ดียิ่งขึ้นด้วยระบบเปิด-ปิดฝากระโปรงท้ายอัตโนมัติด้วยระบบไฟฟ้า และระบบปลดลอคประตูอัจฉริยะ นอกจากนั้น ล้อ M aerodynamic น้ำหนักเบาขนาด 18 นิ้ว แบบสลับสี ยังช่วยเพิ่มรูปลักษณ์ภายนอกที่โฉบเฉี่ยวให้แก่รถรุ่นนี้อีกด้วย
BMW ผสมผสานความโอ่อ่า กว้างขวาง ภายในตัวรถเข้ากับการใช้งานจริง พร้อมโลดแล่นบนท้องถนนกับความโฉบเฉี่ยวสไตล์สปอร์ท ซึ่งเป็นความโดดเด่นของ BMW รวมถึงคุณสมบัติหลากหลายที่ทำให้การเดินทางไกลอุ่นใจยิ่งขึ้น เอกลักษณ์ความพรีเมียมที่ถูกสะท้อนให้เห็นในระบบขับเคลื่อนพลังงานไฟฟ้า และเทคโนโลยีแชสซีส์ที่พัฒนาอย่างไม่หยุดยั้ง รวมไปถึงการออกแบบที่หรูหรา มาตรฐานคุณภาพวัสดุ และฝีมือในการผลิตอันเหนือชั้น ตลอดจนออพชันอีกมากมายที่ตอบโจทย์ความต้องการที่หลากหลาย
ภายในห้องโดยสารเน้นการใช้งานสำหรับผู้ขับขี่ เสริมด้วยบรรยากาศแห่งความหรูหราระดับพรีเมียม พร้อมพื้นที่ใช้สอยกว้างขวาง พร้อมตกแต่งด้วยอลูมิเนียมลาย "Mesheffect" เบาะนั่งปรับไฟฟ้าพร้อมระบบจำตำแหน่ง แผงหน้าปัดรถยนต์หุ้มหนัง Sensatec ระบบปรับอากาศอัตโนมัติแบบ 3 โซน และชุดไฟสร้างบรรยากาศภายในห้องโดยสาร ช่วยเสริมที่สุดแห่งความเพลิดเพลิน และความสะดวกสบายในระหว่างการขับขี่
ระบบปฏิบัติการ BMW Operating System 8 ได้รับการออกแบบมาโดยเน้นการใช้งานหน้าจอสัมผัสแบบโค้ง BMW Curved Display และการสั่งการด้วยเสียงผ่านระบบผู้ช่วยส่วนตัว BMW Intelligent Personal Assistant ที่ถูกพัฒนามาให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น หน้าจอดิจิทอล BMW Curved Display มาพร้อมจอแสดงข้อมูลขนาด 12.3 นิ้ว และจอควบคุมระบบสัมผัสขนาด 14.9 นิ้ว หน้าจอโค้งด้วยองศาที่รับกับมุมสายตาของผู้ขับขี่ นอกจากนี้ BMW Live Cockpit Plus ติดตั้งมาเป็นมาตรฐานพร้อมระบบเครื่องเสียง HiFi loudspeaker ให้ผู้รักเสียงเพลงได้เพลิดเพลินไปกับคุณภาพเสียงที่คมชัดยิ่งขึ้น ระบบเชื่อมต่อสมาร์ทโฟนยังช่วยให้ผู้ขับขี่เข้าถึงแอพพลิเคชันโปรด และความบันเทิงอย่างไร้รอยต่อในขณะเดินทาง นอกจากนี้ ระบบ BMW lconicSounds Electric ยังมาพร้อมกับเสียงประกอบต่างๆ ที่สร้างสรรค์ผ่านความร่วมมือระหว่าง BMW และ Hans Zimmer นักประพันธ์เพลงประกอบภาพยนตร์ชื่อดัง
BMW i4 eDrive35 M Sport ใหม่ ผสมผสานมอเตอร์ไฟฟ้าขนาด 286 แรงม้า (210 กิโลวัตต์) เข้ากับระบบขับเคลื่อนล้อหลังแบบคลาสสิค ระยะวิ่งสูงสุดถึง 483 กม. อัตราการใช้ไฟฟ้ารวม 18.7-15.8 กิโลวัตต์ชั่วโมง/100 กม. ตามมาตรฐาน WLTP และระยะทางวิ่งสูงสุด 490 กิโลเมตร อัตราการใช้ไฟฟ้ารวม 15.2 กิโลวัตต์ชั่วโมง/100 กม. ตามมาตรฐาน NEDC รถยนต์รุ่นนี้มาพร้อมกับแรงบิดสูงสุด 400 นิวตันเมตร มอบอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ที่ 6 วินาที ยังมาพร้อมกับเสียงอันทรงพลังที่ตอบสนองในจังหวะการเร่งเครื่อง ซึ่งเป็นเอกลักษณ์เฉพาะรุ่น เทคโนโลยี BMW eDrive เจเนอเรชันที่ 5 ยังประกอบด้วยแบทเตอรีแรงดันสูงพร้อมด้วยเทคโนโลยีเซลล์แบทเตอรีล่าสุด โดยมีความจุพลังงานแบทเตอรีแรงดันสูงที่ 70.2 กิโลวัตต์ชั่วโมง สามารถชาร์จไฟฟ้าแบบกระแสตรง (DC) สูงสุดได้ที่ 180 กิโลวัตต์ ใช้เวลาในการชาร์จไฟจาก 0-80 % ประมาณ 35 นาที
หลายระบบตัวช่วยถูกติดตั้งเพื่ออำนวยความสะดวกสบาย และยกระดับความปลอดภัยในขณะขับขี่ และเมื่อจอดรถ BMW i4 eDrive35 M Sport ใหม่ โดดเด่นด้วยระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติพร้อมฟังค์ชัน Stop&Go และระบบช่วยการขับขี่ มาพร้อมกับระบบช่วยนำรถเข้าที่จอดอัตโนมัติ ระบบช่วยเตือนอาการเหนื่อยล้าขณะขับขี่ ระบบควบคุมเสถียรภาพการขับขี่อัตโนมัติ (ASC) ระบบควบคุมการยึดเกาะถนน (DTC) ระบบควบคุมแรงดันเบรคแบบแปรผัน (DBC) ระบบป้องกันล้อลอคขณะเบรค (ABS) ระบบสร้างเสียงจำลองเตือนผู้ใช้ถนนรอบข้าง เซนเซอร์ควบคุมระบบความปลอดภัยเมื่อเกิดการชน และระบบ Teleservices
BMW i4 eDrive35 M Sport ใหม่ มีให้เลือก 4 สี คือ ดำ Black Sapphire, ขาว Mineral White, เทา M Brooklyn Grey และน้ำเงิน M Portimao Blue ราคาจำหน่าย 3,899,000 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม พร้อมแพคเกจบำรุงรักษา BSI Standard)
BMW iX xDrive40 Sport ใหม่
BMW iX xDrive40 Sport ใหม่ อีกหนึ่งเอกลักษณ์ใหม่ที่ไม่ซ้ำใคร คือ ดีไซจ์นภายนอกที่มีเส้นสายการออกแบบชัดเจนทรงพลัง แต่ยังคงความเรียบง่าย และบึกบึนสไตล์ SAV รายละเอียดขององค์ประกอบต่างๆ สื่อถึงความประณีต และความหรูหราล้ำยุค โดดเด่นสะดุดตาด้วยกระจังหน้าทรงไตคู่ที่เกือบปิดทึบ สะท้อนถึงนวัตกรรมการผลิตที่ล้ำสมัย ส่วนกล้อง และเรดาร์เซนเซอร์ฝังอยู่ภายใต้พื้นผิวของกระจังหน้า โดดเด่นด้วยไฟหน้าและไฟท้ายที่เรียวยาวที่สุดของ BMW มือจับประตูที่เปิดด้วยการกดปุ่ม หน้าต่างไร้ขอบ และฝากระโปรงท้ายบานใหญ่ที่ครอบคลุมพื้นที่บริเวณท้ายรถทั้งหมด
การออกแบบภายในห้องโดยสาร มุ่งนำเสนอแนวคิดของการใช้ชีวิตที่เปี่ยมด้วยคุณภาพ พื้นที่กว้างขวาง และเบาะที่นั่งแบบใหม่ ที่มาพร้อมกับพนักพิงศีรษะ เสริมความหรูหรายิ่งขึ้น คอนโซลกลางมาในดีไซจ์นเฉียบไม่แพ้เฟอร์นิเจอร์หรู สวิทช์ปรับเบาะนั่งคู่หน้า ปุ่มควบคุม iDrive และสวิทช์เปลี่ยนเกียร์แบบ rocker switch ตกแต่งด้วยคริสตัล เติมเต็มความทันสมัยยิ่งขึ้นภายในห้องโดยสาร
พร้อมเน้นย้ำถึงการออกแบบห้องโดยสารเพื่อผู้ขับขี่ด้วยจอ BMW Curved Display พวงมาลัยทรงหกเหลี่ยม และจอ Head-Up Display หลังคาภายในสีดำ Anthracite มาพร้อมกับระบบเสียงรอบทิศทางคุณภาพสูง Harman Kardon Surround Sound System ขนาด 655 วัตต์ พร้อมลำโพง 18 ตัว ที่สร้างประสบการณ์รับฟังที่ดีที่สุด
BMW iX xDrive40 Sport ใหม่ มาพร้อมเทคโนโลยีระบบขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าใหม่ล่าสุด พร้อมเทคโนโลยีขับขี่อัตโนมัติ และการเชื่อมต่ออีกมากมาย เพื่อมอบประสบการณ์การขับขี่ที่ตรงกับความต้องการของผู้ใช้งานยิ่งขึ้น มาพร้อมเทคโนโลยี BMW eDrive และระบบขับเคลื่อน 4 ล้อแบบไฟฟ้า ซึ่งทำงานร่วมกันเพื่อสร้างสมรรถนะการขับขี่ในระยะยาวไกลยิ่งขึ้น และอัตราเร่งที่ทรงพลังด้วยความเร็วจาก 0-100 กม./ชม. ภายใน 6.1 วินาที ส่งพละกำลังรวมสูงสุด 326 แรงม้า (240 กิโลวัตต์) ระบบ BMW eDrive เจเนอเรชันที่ 5 นี้ ยังทำงานพร้อมเทคโนโลยีเซลล์แบทเตอรีล่าสุด มอบระยะทางขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าตามมาตรฐาน WLTP สูงสุด 372-425 กม. และ 420 กม. ตามมาตรฐาน NEDC สร้างแรงบิดรวมได้สูงสุดถึง 630 นิวตันเมตร แบทเตอรีแรงดันสูงใน BMW iX xDrive40 Sport ใหม่ มีความจุพลังงานสุทธิ 76.6 กิโลวัตต์ชั่วโมง รองรับการชาร์จแบบ DC ได้สูงสุด 150 กิโลวัตต์ จึงสามารถชาร์จจาก 0-80 % ได้ในเวลาเพียง 34 นาที
เทคโนโลยีแชสซีส์ที่ใช้ในการพัฒนา BMW iX xDrive40 Sport ประกอบด้วยเพลาหน้าแบบปีกนกคู่ เพลาหลังแบบ five-link ช่วงล่างแบบปรับระดับได้ และระบบพวงมาลัยไฟฟ้าที่ปรับน้ำหนักตามความเร็วรถขณะขับขี่ (Servotronic) แปรผันตามการหมุนและความเร็วเสริมด้วยยางที่มีชั้นโฟมบริเวณพื้นผิวด้านในเพื่อลดการเกิดเสียง
BMW iX xDrive40 Sport ใหม่ มาพร้อมระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ และนวัตกรรมหลากหลายเหนือกว่า BMW ทุกรุ่น พร้อมเซนเซอร์เจเนอเรชันใหม่ ซอฟท์แวร์ใหม่ และพแลทฟอร์มในการประมวลผลที่ทรงพลัง ใช้กล้อง 5 ตัว เรดาร์เซนเซอร์อีก 5 ตัว และอุลทราโซนิคเซนเซอร์ 12 ตัว ในการตรวจจับสภาพแวดล้อมรอบคัน ระบบเตือนขณะเปลี่ยนเลน ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติพร้อมฟังค์ชัน Stop&Go เสริมการทำงานด้วยระบบช่วยนำรถเข้าที่จอดอัตโนมัติ รุ่น Plus (Parking Assistant Plus) ประกอบด้วยกล้องแสดงภาพรอบทิศทาง (Surround View Camera) แสดงภาพพื้นที่โดยรอบของรถให้เห็นแบบ 3 มิติ ผ่านระบบ Remote 3D View พร้อมด้วยระบบ BMW Live Cockpit Professional และระบบสั่งงานอัจฉริยะ BMW Natural Interaction
ระบบความปลอดภัยใน BMW iX xDrive40 Sport ใหม่ ได้รับการติดตั้งมาโดยคำนึงถึงความปลอดภัยผู้โดยสาร และผู้ที่อยู่รอบรถยนต์เป็นที่ตั้ง ไม่ว่าจะเป็น ระบบควบคุมเสถียรภาพการขับขี่อัตโนมัติ (ASC) ระบบควบคุมแรงดันเบรคแบบแปรผัน (DBC) ระบบควบคุมการกระจายแรงเบรคขณะเข้าโค้ง (CBC) ระบบป้องกันล้อลอคขณะเบรค (ABS) ระบบช่วยเสริมแรงเบรคอัตโนมัติ (BA) เซนเซอร์ควบคุมระบบความปลอดภัยเมื่อเกิดการชน (Crash sensor) ระบบ Active Protection ระบบช่วยเตือนอาการเหนื่อยล้าขณะขับขี่ ระบบปกป้องคนเดินถนนเมื่อเกิดอุบัติเหตุ ระบบ Teleservices และปุ่มโทรออกฉุกเฉิน (Intelligent Emergency Call)
BMW iX xDrive40 Sport ใหม่ มากับตัวเลือกสีตัวถังมากมาย ได้แก่ แดง Aventurin Red, ดำ Black Sapphire, ขาว Mineral White, เทา Storm Bay, น้ำเงิน Phytonic Blue และฟ้า Blue Ridge Mountain ราคาจำหน่าย 5,299,000 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม พร้อมแพคเกจบำรุงรักษา BSI Standard)
MINI Clubman Cooper S Multitone Red ใหม่
MINI Clubman Cooper S สี Multitone Red ถือเป็นอีกหนึ่งสุดยอดความสำเร็จของรถยนต์ในเซกเมนท์พรีเมียมคอมแพคท์ ได้เข้ามาเป็นอีกหนึ่งสมาชิกครอบครัว Multitone Edition ที่จะมาร่วมเฉลิมฉลองความหลากหลายของคอมมูนิทีคนรัก MINI ผ่านรายละเอียดการออกแบบทั้งภายนอก และภายใน Mini ในรุ่น Multitone Edition มอบพลังแนวคิดเชิงบวก เพิ่มลูกเล่น และความเป็นกันเอง พร้อมชูคอนเซพท์ “ชีวิตหลายแง่มุม” ผ่านการใช้สี โดยเฉพาะเฉดสีของหลังคาที่เปรียบเสมือนผืนผ้าใบของงานศิลปะที่แสดงออกถึงไลฟ์สไตล์ของผู้ขับขี่แต่ละคน และหลังคาเฉดสีใหม่ที่จะมาเติมสีสันให้ชีวิตด้วยการไล่ระดับเฉดสีแดงสดใสของ MINI รุ่นนี้
สำหรับ MINI รุ่นนี้ ใช้เทคนิคการพ่นสีแบบต่อเนื่องโดยไม่ต้องรอทิ้งช่วงให้แห้ง (wet-on-wet) นวัตกรรมที่รังสรรค์โดยโรงงาน MINI ในเมืองออกซ์ฟอร์ด ประเทศอังกฤษ ซึ่งเฉดสีทั้ง 3 ถูกพ่นลงทีละสี ได้แก่ สีแดง Chilli Red ในส่วนด้านหน้า ตามด้วย เทา Melting Silver และจบด้วย ดำ Jet Black ในส่วนท้ายของตัวถัง ก่อนจะลงสีทับด้วยเทคนิคสเปรย์เทค (Spray Tech) ซึ่งเทคนิคนี้อาจส่งผลให้การผสมของสีที่พ่นมีรูปแบบที่แตกต่างกันตามการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อม เพิ่มเอกลักษณ์ให้แก่ MINI Multitone Edition แต่ละคันมากขึ้นอีกด้วย นอกจากนี้ สีของหลังคาที่ตัดกันอย่างชัดเจน และแบ่งสัดส่วนตัวถังเป็น 3 ส่วน ตามเอกลักษณ์ของ MINI ยังโดดเด่นสะดุดตาขึ้นอีกขั้นกับตัวถังสีขาว Nanuq White
นอกจากจะสะดุดตาด้วยหลังคาสีแดงไล่เฉดสีสวยงาม Mini Clubman Cooper S รุ่น Multitone Red ยังโดดเด่นด้วยหลากหลายฟีเจอร์ ไม่ว่าจะเป็น ไฟหน้าทรงกลม LED สำหรับการขับขี่ตอนกลางวัน ไฟท้ายลายยูเนียนแจคอันเป็นเอกลักษณ์ของ MINI ฝาครอบกระจกข้างสีแดง ราวหลังคา และภายนอกตกแต่งด้วยสีดำ Piano Black เพิ่มความพิเศษของรุ่นนี้ไปอีกระดับ มาพร้อมล้ออัลลอยขนาด 17 นิ้ว ลาย Net Spoke สีดำ พร้อมยางรันแฟลท พวงมาลัยหุ้มหนัง Nappa พร้อมปุ่มควบคุมมัลทิฟังค์ชัน กระจกมองหลังพร้อมฟังค์ชันลดแสงสะท้อน (Anti-Dazzle) ยังถูกใส่มาในรถรุ่นนี้ด้วย
นอกจากนี้ MINI Clubman Cooper S รุ่น Multitone Red ยังมาพร้อมระบบความบันเทิงภายในรถ และระบบการสื่อสารอย่างครบครัน ไม่ว่าจะเป็นระบบนำทาง จอระบบสัมผัสขนาด 8.8 นิ้ว และ Apple CarPlay สร้างบรรยากาศตื่นเต้นเร้าใจตลอดการเดินทาง
MINI Clubman Cooper S รุ่น Multitone Red มาพร้อมขุมพลังเครื่องยนต์เบนซิน ทำงานควบคู่ระบบเกียร์ Steptronic Sport 7 จังหวะ แบบคลัทช์คู่ เครื่องยนต์ 4 สูบ ขนาด 2 ลิตร ส่งพละกำลังรวมสูงสุด 141 กิโลวัตต์/ 92 แรงม้า ที่ 5,000-6,000 รตน. และแรงบิดสูงสุด 280 นิวตันเมตร ที่ 1,350-4,600 รตน. สามารถเร่งความเร็วจาก 0-100 กม./ชม. ได้ในเวลาเพียง 7.2 วินาที MINI Clubman Cooper S รุ่นนี้ยังยกระดับประสบการณ์การขับขี่ด้วยเทคโนโลยีการขับขี่สุดล้ำ ทั้งระบบควบคุมการขับขี่ที่มาพร้อมฟังค์ชันเบรค (Cruise Control with Braking Function) ระบบช่วยเหลือการขับขี่ (Driving Assistant) เพิ่มความมั่นใจในการขับขี่ยิ่งขึ้นด้วยระบบ Dynamic Traction Control (DTC) ที่มาพร้อมระบบ Electronic Differential Lock Control (EDLC) และระบบเบรค ABS ที่ได้รับการติดตั้งเพื่อมอบประสบการณ์การขับขี่ที่สะดวกสบาย และปลอดภัยสูงสุด
MINI Clubman Cooper S Multitone Red ใหม่ ราคาจำหน่าย 3,199,000 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม พร้อมแพคเกจบำรุงรักษา MSI Standard)
MINI Hatch John Cooper Works Classic
MINI Hatch John Cooper Works คือ รุ่นรถยนต์ที่ถ่ายทอดจิตวิญญาณมอเตอร์สปอร์ทอย่างแท้จริง โดยจากการพัฒนาครั้งล่าสุด MINI John Cooper Works ได้กลายเป็นรถสปอร์ทอันดับต้นๆ ของเซกเมนท์รถยนต์พรีเมียมขนาดเล็ก ตื่นเต้นเร้าใจมากยิ่งขึ้นด้วยสีใหม่ในสีเหลือง Zesty Yellow สดใส และการดีไซจ์นแบบใหม่พร้อมอุปกรณ์มาตรฐานที่ครบครันยิ่งขึ้น รวมไปถึงระบบปฏิบัติการใหม่ และแพคเกจอุปกรณ์ต่างๆ ที่จะเพิ่มความสนุกในการขับขี่สุดเร้าใจตามแบบฉบับของผู้ขับขี่แต่ละคนได้อย่างเต็มพิกัด
ส่วนหน้าของตัวรถสะดุดตาด้วยไฟหน้าทรงกลมแบบ LED พร้อมไฟสำหรับการขับขี่เวลากลางวัน และช่องระบายความร้อนทรงหกเหลี่ยม เพิ่มความโฉบเฉี่ยวสไตล์สปอร์ตมากยิ่งขึ้น ช่องระบายอากาศขนาดใหญ่ยังเพิ่มประสิทธิภาพการระบายอุณหภูมิของระบบขับเคลื่อน และระบบเบรคสำหรับการขับขี่แบบสปอร์ทเต็มรูปแบบ กรอบไฟเลี้ยวด้านหน้าและด้านหลังยังมีดิฟฟิวเซอร์ดีไซจ์นใหม่ ที่ช่วยให้อากาศไหลผ่านใต้ท้องรถได้รวดเร็วยิ่งขึ้น นอกจากนี้ ไฟหน้าแบบ Adaptive LED ย้งมาพร้อมกับฟังค์ชัน Matrix ส่องสว่างได้ไกลยิ่งขึ้น
การตกแต่งภายนอกด้วยสีดำ Piano Black หลังคา และฝาครอบกระจกข้างสีดำ และสีขาว รวมถึงล้ออัลลอย ขนาด 17 นิ้ว ลาย John Cooper Works Track Spoke สีดำ พร้อมยางรันแฟลท เติมเต็มความโฉบเฉี่ยวของ MINI Hatch John Cooper Works คลาสสิค ใหม่ คันนี้ได้อย่างลงตัว
สุดยอดความสนุกเร้าใจในการขับขี่ และฟังค์ชันการใช้งานแบบสปอร์ท ยังสัมผัสได้ถึงภายในตัวรถด้วยแพคเกจไฟตกแต่ง (Lights Package) หลังคากระจกแบบพาโนรามา พวงมาลัยหุ้มหนัง Nappa พร้อมปุ่มควบคุมมัลทิฟังค์ชัน มากไปกว่านั้น พื้นผิวด้านในของตัวรถยังตกแต่งด้วยสีดำ Piano Black
และการบุเบาะนั่งทรงสปอร์ทของ John Cooper Works ด้วยหนัง Dinamica สีดำ Carbon Black โดยสามารถปรับระดับความสูงของเบาะนั่งของผู้โดยสารตอนหน้าได้
ขุมพลังของ MINI Hatch John Cooper Works คลาสสิค ใหม่ มาจากเครื่องยนต์ 4 สูบ ขนาด 2 ลิตร ทำงานควบคู่กับระบบเกียร์ Steptronic Sport 8 จังหวะ ส่งพละกำลังรวมสูงสุด 231 แรงม้า (170 กิโลวัตต์) ที่ 5,200 -6,200 รตน. และแรงบิดสูงสุด 32.6 กก.-ม. (320 นิวตันเมตร) ที่ 1,450-4,800 รตน. และสามารถเร่งความเร็วจาก 0-100 กม./ชม. ได้ในเวลาเพียง 6.1 วินาที ทำความเร็วสูงสุดได้ที่ 246 กม./ชม. และยังมาพร้อมกับช่วงล่าง Adaptive แบบใหม่ และโหมดการขับขี่ MINI Driving Modes เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน
MINI Hatch John Cooper Works คลาสสิค ยังเติมเต็มประสบการณ์การขับขี่ผ่านความปลอดภัย และการเชื่อมต่ออย่างครบครัน ไม่ว่าจะเป็น ระบบควบคุมระยะการจอด (Park Distance Control) ที่มาพร้อมเซนเซอร์ด้านหลัง ระบบเบรค ABS และเพิ่มความมั่นใจในการขับขี่ยิ่งขึ้นด้วยระบบ Dynamic Traction Control (DTC) ที่มาพร้อมระบบ Electronic Differential Lock Control (EDLC) นอกจากนี้ ดีไซจ์นต่างๆ ภายในรถยังได้มีการปรับเปลี่ยนอย่างแผงคอนโซลกับหน้าจอระบบสัมผัสขนาด 8.8 นิ้ว Apple CarPlay และระบบเครื่องเสียง HiFi loudspeaker Harman Kardon
MINI Hatch John Cooper Works Classic ราคาจำหน่าย 3,248,000 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม พร้อมแพคเกจบำรุงรักษา MSI Standard)
BMW S 1000 RR ใหม่
BMW S 1000 RR ใหม่ มาพร้อมรูปโฉมด้านหน้าใหม่ โดดเด่นด้วยวิงเลท และด้านท้ายแบบใหม่ที่สปอร์ท และน้ำหนักเบายิ่งขึ้น ระบบไฟ LED เต็มรูปแบบมาตรฐานบริเวณไฟหน้า ไฟท้าย และไฟเลี้ยว
BMW S 1000 RR ใหม่ มาพร้อมเครื่องยนต์ที่ทรงพลังยิ่งขึ้น แชสซีส์ และระบบช่วงล่างที่เหนือชั้นกว่าที่เคย ระบบ Brake Slide Assist ใหม่ ระบบควบคุม Dynamic Traction Control ที่มาพร้อมฟังค์ชันควบคุมการลื่นไถล (Slide Control) การออกแบบตามหลักอากาศพลศาสตร์ที่ได้รับการปรับให้เหมาะสมยิ่งขึ้นด้วยวิงเลท ส่วนท้ายที่โฉบเฉี่ยวยิ่งขึ้นกว่าเดิม และอีกหลากหลายระบบช่วยเหลือล้ำสมัย คุณสมบัติดังกล่าวช่วยสร้างไดนามิคการขับขี่ที่เหนือชั้น พร้อมมอบสมรรถนะขั้นสูงสุด และประสบการณ์การขับขี่ที่ไม่เหมือนใครให้แก่เหล่านักบิด
หนึ่งในไฮไลท์ของ BMW S 1000 RR ใหม่ คือ โครงสร้างตัวถังแบบ Flex Frame แชสซีส์ที่ได้รับการพัฒนาใหม่ และการตั้งค่าระบบช่วงล่างใหม่ โดยมาพร้อมโครงสร้างเฟรมอลูมิเนียมจากการเชื่อมชิ้นส่วนอลูมิเนียม 4 ชิ้น ที่ผ่านกระบวนการหล่อขึ้นรูปด้วยแรงโน้มถ่วง (Gravity Die Casting) และผสานโครงสร้างเครื่องยนต์เข้าไว้ด้วยกัน โดยมีช่องเปิดบริเวณด้านข้างของเฟรมหลักเพื่อเสริมความคล่องตัวด้านข้าง และสำหรับแชสซีส์ใหม่ ยังได้รับการพัฒนาในด้านความแม่นยำในการขับขี่ การควบคุมที่เฉียบคม และการตอบสนองจากล้อหน้าที่ฉับไวยิ่งขึ้น
BMW S 1000 RR ใหม่ มาพร้อมเครื่องยนต์ 4 สูบเรียง ระบายความร้อนด้วยน้ำ และน้ำมัน 4 วาล์ว ไททาเนียมต่อลูกสูบ DOHC และ BMW ShiftCam ความจุ 999 ซีซี ส่งพละกำลัง 210 แรงม้า (154 กิโลวัตต์) ที่ 13,750 รตน. ให้ความเร็วสูงสุดที่ 303 กม./ชม. แรงบิดสูงสุด 11.5 กก.-ม. (113 นิวตันเมตร) ที่ 11,000 รตน. ช่วยเสริมประสิทธิภาพในการขับขี่ และการเร่งขณะขับขี่ที่ความเร็วต่างๆ ได้ดียิ่งขึ้น อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง 6.4 ลิตร/ 100 กม. และรองรับน้ำมันเชื้อเพลิงไร้สารตะกั่วค่าออคเทน 95-98
BMW S 1000 RR ใหม่ ยังสามารถรองรับสไตล์การขับขี่ที่หลากหลาย ทั้ง 4 รูปแบบการขับขี่พื้นฐาน ได้แก่ Rain, Road, Dynamic และ Race อีกทั้งยังมาพร้อมโหมดการขับขี่แบบพโร ให้ผู้ขับขี่สามารถปรับเปลี่ยนการควบคุมต่างๆ ให้ตรงกับรูปแบบการขับขี่เฉพาะตัว ทำงานร่วมกับระบบ Dynamic Traction Control ที่มาพร้อมฟังค์ชัน Slide Control ใหม่ ที่สามารถให้ผู้ขับขี่เลือกการตั้งค่าการดริฟท์ได้ 2 ระดับ ขณะเร่งออกจากโค้ง ทำงานโดยใช้การตรวจจับจากเซนเซอร์ควบคุมองศาการเลี้ยว ซึ่งเมื่อตรวจจับการเอียงรถได้ ระบบ Dynamic Traction Control จะปล่อยให้ล้อหลังลื่นไถล เพื่อให้เกิดการดริฟท์ขณะออกจากโค้ง และเมื่อถึงระดับที่ได้ตั้งค่าไว้ ระบบจะทำงานเพื่อลดการลื่นไถลของล้อ และสร้างเสถียรภาพให้แก่ตัวรถ
นอกจากนี้ ยังมาพร้อมระบบ ABS Pro ที่มาพร้อมฟังค์ชันใหม่ Brake Slide Assist ซึ่งมีความสำคัญ และสามารถช่วยเหลือผู้ขับขี่ขณะอยู่ในสนามแข่งได้เป็นอย่างมาก ทำงานด้วยเซนเซอร์ควบคุมองศาการเลี้ยวคล้ายกับฟังค์ชัน Slide Control ในระบบ Dynamic Traction Control ให้ผู้ขับขี่สามารถตั้งค่าระดับการดริฟท์ สำหรับการดริฟท์โดยใช้เบรค (Braking drift) ขณะเข้าโค้งด้วยความเร็วอย่างคงที่ และยังมาพร้อมระบบ Hill Start Control ช่วยออกตัวในทางลาดชัน ในขณะที่ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติยังช่วยให้ผู้ขับขี่รักษาความเร็วรถให้คงที่ได้ นอกจากนั้น ระบบช่วยเปลี่ยนเกียร์ Gear Shift Assistant Pro ยังช่วยให้สามารถเปลี่ยนเกียร์ขึ้นและลงได้เกือบทุกช่วงน้ำหนักบรรทุก และช่วงความเร็วรอบเครื่องยนต์โดยไม่ต้องควบคุมคลัทช์ ระบบทำความร้อนที่แฮนด์ยังช่วยป้องกันมือชา และความเมื่อยล้า เมื่อขับขี่ไปในในสภาพอากาศที่หนาวเย็น
BMW S 1000 RR ใหม่ ยังมีเอกลักษณ์ใหม่ที่สืบทอดจากรุ่น M RR โดยมาพร้อมวิงเลท เพื่อช่วยเสริมแรงกดบนล้อหน้า โดยเฉพาะขณะเร่งความเร็ว ซึ่งวิงเลทนี้จะช่วยเสริมแรงกดอากาศ และน้ำหนักบนล้อหน้า และยังมาพร้อมโครงสร้างแชสซีส์แบบ M Chassis Kit ที่มีการยกด้านท้ายรถสูงขึ้น และสวิงอาร์มที่สามารถปรับหมุนได้ พร้อมด้วยแบทเตอรี M น้ำหนักเบา มาเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน
BMW S 1000 RR มาในสีใหม่ล่าสุด ได้แก่ ดำ Black Storm Metallic และแดง Passion Racing Red ราคาจำหน่าย โดยประมาณ 950,000-1,150,000 บาท (รอประกาศราคาอย่างเป็นทางการเร็วๆ นี้)
BMW R 18 B
BMW R 18 Transcontinental
BMW R 18 Transcontinental โดดเด่นด้วยความเป็นมอเตอร์ไซค์ทัวริงที่หรูหรา ขณะที่ BMW R 18 B มาพร้อมความเป็นมอเตอร์ไซค์สไตล์แบคเกอร์เต็มตัวด้วยรูปลักษณ์ที่ดูทั้งเรียบง่าย และปราดเปรียว พร้อมด้วยกระเป๋าสัมภาระข้างรถที่เข้ากันได้เป็นอย่างดีกับฝาครอบไฟหน้ารถ และสำหรับรุ่น R 18 Transcontinental จะมีกล่องสัมภาระท้ายรถ (top case) อีกด้วย ส่วนประกอบเพื่อการใช้งาน และดีไซจ์นต่างๆ เช่น โครงสร้างเหล็กกล้า 2 ชั้น ถังน้ำมันทรงหยดน้ำขนาด 24 ลิตร เพลาแบบเปิดเปลือย พร้อมลูกเล่นการทำสีแบบลายเส้นคู่ ล้วนสะท้อนถึงเอกลักษณ์เฉพาะตัวของมอเตอร์ไซค์แบบทัวริง และครูเซอร์ยอดนิยม และด้วยระบบสวิงอาร์มคู่ขนาบข้าง และคานรับน้ำหนักแบบยื่น โครงสร้างตัวรถอันแข็งแกร่งจากมอเตอร์ไซค์ระดับตำนานอย่าง BMW R 5 จึงถูกถ่ายทอดสู่ยุคปัจจุบันได้อย่างดีเยี่ยม ทั้ง 2 รุ่นยังมากับรูปลักษณ์แบบใหม่ ด้วยตัวเลือกสีตัวถังใหม่อันหลากหลาย
หัวใจหลักของ BMW R 18 Transcontinental และ R 18 B คือ เครื่องยนต์ Boxer 2 สูบ ที่เรียกว่า “Big Boxer” ซึ่งนับเป็นเครื่องยนต์แบบ 2 สูบวางเรียง ที่มีสมรรถนะสูงสุดในมอเตอร์ไซค์ที่ผลิตออกจำหน่ายในตลาดทั่วไป ด้วยความจุ 1,802 ซีซี ส่งพละกำลังสูงสุด 91 แรงม้า (67 กิโลวัตต์) ที่ 4,750 รตน. ส่งแรงบิด 16.1 กก.-ม. (158 นิวตันเมตร) ที่ 3,000 รตน. พร้อมพลังขับเคลื่อน และเสียงเครื่องยนต์กระหึ่มเร้าใจด้วยความเร็วสูงสุด มากกว่า 180 กม./ชม. ด้านแชสซีส์ของ BMW R 18 Transcontinental และ R 18 B เป็นโครงสร้างเหล็กกล้า 2 ชั้น พร้อมแกนหลักชิ้นส่วนขึ้นรูปจากแผ่นเหล็ก ทั้งยังโดดเด่นด้วยมาตรฐานการผลิตคุณภาพสูง และความประณีตในรายละเอียดต่างๆ เช่น การเชื่อมข้อต่อระหว่างโครงสร้างเหล็ก และการขึ้นรูปชิ้นส่วนเหล็กหล่อต่างๆ นอกจากนี้ สวิงอาร์มหลังยังยึดต่อกับเพลาหลังด้วยข้อต่อสลักเกลียวแบบดั้งเดิม
ระบบช่วงล่างของ BMW R 18 Transcontinental และ R 18 B ใช้ช่วงล่างแบบเทเลสโคพิค และระบบสวิงอาร์มที่ติดตั้งโดยตรงบนคานรับน้ำหนักแบบยื่นที่สามารถปรับตั้งค่าความหนืด และการยุบตัวของสปริงได้ เพื่อให้ควบคุมล้อที่หล่อด้วยวัสดุอัลลอยน้ำหนักเบาชั้นเลิศได้อย่างแม่นยำ พร้อมมอบการขับขี่ที่นุ่มสบาย คานรับน้ำหนักด้านหลังสามารถปรับตั้งค่าความหนืดได้ และมีระบบชดเชยโหลดอัตโนมัติเพื่อตอบสนองการขับขี่ที่เหนือระดับ และเช่นเดียวกับรถรุ่นตำนานอย่าง BMW R 5 แกนชอคอับหน้าแบบเทเลสโคพิคของ R 18 ทั้ง 2 รุ่นก็มาพร้อมกับปลอกหุ้มชอคอับ นอกจากนี้ ทั้ง 2 รุ่นยังมาพร้อมกับระบบจานเบรคคู่ที่ล้อหน้า และจานเบรคเดี่ยวที่ล้อหลัง ทำงานร่วมกับคาลิเพอร์เบรคแบบตายตัว 4 ลูกสูบ และระบบเบรค ABS ของ BMW Motorrad
BMW R 18 Transcontinental ติดตั้งเบาะที่นั่งที่นุ่มสบายพร้อมระบบอุ่นเบาะที่นั่งเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน เพื่อความสบายในการขับขี่ทางไกลแม้มีคนนั่งซ้อนท้าย ส่วนเบาะที่นั่งในรุ่น R 18 B เป็นเบาะที่นั่งสำหรับ 2 คนที่มีขนาดเล็กลง BMW R 18 Transcontinental มาพร้อมบันไดข้างเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน ส่วนรุ่น R 18 B มากับที่พักเท้าที่กว้างขึ้น และสะดวกสบายยิ่งขึ้นกว่า R 18 รุ่นก่อนหน้า
ส่วนการขับขี่ได้รับการออกแบบเป็นพิเศษทั้ง 2 รุ่น มาพร้อมกับมาตรวัดแบบแอนาลอก หน้าปัดทรงกลม 4 ช่อง และจอสีแสดงผลแบบ TFT ขนาด 10.25 นิ้ว พิมพ์ตัวอักษร "BERLIN BUILT" เสริมความคลาสสิคให้ R 18 Transcontinental และ R 18 B ใหม่ จอสีแสดงผลแบบ TFT ยังสามารถอ่านได้ง่าย และสามารถเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟนผ่าน BMW Connected App เสริมความสะดวกในการใช้งาน และแสดงข้อมูลการขับขี่อย่างเต็มที่
BMW R 18 Transcontinental และ R 18 B เสริมความปลอดภัยด้วยฝาถังน้ำมันเชื้อเพลิงพร้อมระบบลอค ระบบควบคุมการทรงตัวแบบอัตโนมัติ (ASC) เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าแต่ละราย มอเตอร์ไซค์ทั้ง 2 รุ่น ยังมาพร้อมกับโหมดการขับขี่มาตรฐาน 3 โหมด ได้แก่ Rain, Rol และ Rock อุปกรณ์มาตรฐานอื่นๆ ได้แก่ ระบบไฟหน้าปรับตามทิศทางการขับขี่พร้อมไฟส่องสว่างเวลากลางวัน ระบบควบคุมการทรงตัวแบบอัตโนมัติ (ASC) เพื่อความปลอดภัยในการขับขี่ ส่วนระบบเกียร์ถอยหลังจะช่วยให้การกลับรถเป็นเรื่องง่าย ทั้งยังมีระบบช่วยออกตัวในทางลาดชัน (Hill Start Control) ที่จะช่วยให้การออกตัวขึ้นเขาเป็นไปได้อย่างง่ายดาย ไฟหน้า LED ไฟเลี้ยว LED ไฟท้าย LED และไฟเบรค ทำให้รถทั้ง 2 รุ่นดูโดดเด่น ขณะที่ BMW R 18 Transcontinental ยังสง่างามด้วยไฟตัดหมอกแบบ LED มอเตอร์ไซค์ทั้ง 4 รุ่นยังมาพร้อมกับระบบป้องกันการโจรกรรม และระบบสตาร์ทแบบไร้กุญแจติดตั้งเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน นอกจากนี้ ระบบควบคุมแรงดันลมยาง (Tyre pressure control) ช่วยให้แน่ใจว่าผู้ขับขี่จะรักษาระดับลมยางของมอเตอร์ไซค์ได้อย่างเหมาะสม ในขณะที่ระบบเกียร์ถอยหลัง (Reverse Gear) ช่วยให้มอเตอร์ไซค์ถอยหลังได้โดยไม่ต้องออกแรงผลัก
BMW R 18 Transcontinental และ R 18 B มาพร้อมกับประสบการณ์เครื่องเสียงคุณภาพ โดยพัฒนาร่วมกับผู้ผลิตเครื่องเสียงสัญชาติอังกฤษอย่าง Marshall และลำโพงแบบ two-way (แยกซับวูเฟอร์) ที่ติดตั้งบนหน้าปัดของฝาครอบไฟหน้ารถ พร้อมด้วยหน้ากากลำโพงสีดำที่แต่งด้วยตัวอักษร Marshall สีขาว เสริมลุคคลาสสิคให้แก่มอเตอร์ไซค์ โดย BMW R 18 B มาพร้อมกับระบบเครื่องเสียง Marshall Gold Series Stage 1 ซึ่งประกอบด้วยลำโพง 2 ตัว และซับวูเฟอร์ 2 ตัว ในขณะที่ BMW R 18 Transcontinental ติดตั้งระบบเครื่องเสียง Marshall Gold Series Stage 2 มาพร้อมลำโพง 4 ตัว และซับวูเฟอร์ 2 ตัว ด้วยกำลัง 280 วัตต์
BMW R 18 Transcontinental มาพร้อมกับสีตัวถังใหม่ ดำ Black Storm Metallic และขาว Option 719 Mineral White Metallic ในขณะที่ BMW R 18 B โดดเด่นด้วยตัวถัง ดำ Black Storm Metallic เทาด้าน Manhattan Metallic Matte สีฟ้า Gravity Blue Metallic ขาว Option 719 Mineral White Metallic และม่วงเหลือบฟ้า Option 719 Galaxy Dust Metallic
BMW R 18 B สี Black Storm Metallic ราคาจำหน่าย 1,475,000 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม)
BMW R 18 B สี Gravity Blue Metallic ราคาจำหน่าย 1,500,000 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม)
BMW R 18 B สี Manhattan Metallic Matte ราคาจำหน่าย 1,500,000 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม)
BMW R 18 B สี Option 719 Mineral White Metallic ราคาจำหน่าย 1,575,000 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม)
BMW R 18 B สี Option 719 Galaxy Dust Metallic ราคาจำหน่าย 1,595,000 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม)
BMW R 18 Transcontinental สี Black Storm Metallic ราคาจำหน่าย 1,615,000 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม)
BMW R 18 Transcontinental สี Option 719 Mineral White Metallic ราคาจำหน่าย 1,715,000 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม)
ข้อเสนอพิเศษจาก BMW
*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทฯกำหนด
ข้อเสนอพิเศษจาก MINI
*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทฯ กำหนด
ข้อเสนอพิเศษจาก BMW Motorrad
*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทฯ กำหนด
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่เวบไซท์ www.bmw.co.th, www.mini.co.th, www.bmw-motorrad.co.th เฟศบุคแฟนเพจ BMW Thailand, MINI Thailand และ BMW Motorrad Thailand หรือติดต่อผู้จำหน่ายอย่างเป็นทางการทั่วประเทศ
รุ่น | ข้อเสนอ | เงื่อนไข |
BMW 220i Gran Coupe M Sport |
|
|
BMW 520d M Sport BMW 530e Elite BMW 530e Luxury BMW 530e M Sport BMW 630i GT M Sport BMW X3 xDrive20d M Sport BMW X3 xDrive30e M Sport BMW X4 xDrive20d M Sport BMW X5 xDrive30d M Sport BMW X5 xDrive45e M Sport |
|
|
BMW X1 (รุ่นก่อนปรับโฉม) |
|
|
BMW 320d M Sport BMW 330e M Sport BMW M340i xDrive |
|
|
รถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100 %
|
|
|
รุ่น | ข้อเสนอ | เงื่อนไข |
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
รุ่น | ข้อเสนอ |
BMW F 900 R BMW F 900 XR |
|
BMW R nineT Pure BMW R 18 (First Edition) BMW R 18 Classic (First Edition) BMW R 18 B (First Edition) BMW R 18 Transcontinental (First Edition) BMW C 400 GT |
|
BMW R 1250 GS / GS Adventure |
|
BMW F 850 GS |
|
ABOUT THE AUTHOR
Thanasan Saowamol
ลุงหนึ่ง ฟอร์มูลา ศึกษาวิชาตำรารถมานานกว่า 30 ปี ผ่านร้อนหนาว ตั้งแต่ ยุคเครื่องยนต์ มาถึงยุคมอเตอร์ จะว่าเวอร์ ก็เจอมาหมด
ภาพโดย : BMWคอลัมน์ Online : Advertorial
คำค้นหา