ธุรกิจ
Great Wall Motor เปิดเวทีเสวนา
Great Wall Motor เดินหน้าจัดงานเสวนา “EV & Beyond by GWM” ต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 ในหัวข้อ “Be Ready for The Future of EV จับตาอนาคต EV ไทย…มีหวังแค่ไหน” ร่วมกับ The Standard Wealth ฉายภาพแนวโน้มการเติบโตของตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย ตอกย้ำความพร้อมเดินหน้าไปสู่เป้าหมายเพื่อขับเคลื่อนประเทศไทยสู่สังคมยานยนต์ไฟฟ้าอย่างเต็มรูปแบบ พร้อมแลกเปลี่ยนความเห็นในการรับมือความท้าทาย และเสนอกลยุทธ์เพื่อยกระดับอุตสาหกรรมยานยนต์ และเติมเต็มระบบนิเวศยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทยให้เติบโตไปพร้อมๆ กัน ตอกย้ำความมุ่งมั่นในการก้าวขึ้นเป็นผู้นำด้านยานยนต์ไฟฟ้าของประเทศไทยในระดับภูมิภาค และระดับโลก โดยภายในงาน ได้รับเกียรติจากผู้นำในแวดวงอุตสาหกรรมยานยนต์ ทั้งจากทางภาครัฐ และเอกชน รวมถึงหน่วยงานกลางที่เกี่ยวข้อง
กิจกรรมเสวนา EV & Beyond by GWM ปีนี้จัดขึ้น ณ GWM Experience Center ไอคอนสยาม พร้อมถ่าย ทอดสดผ่านระบบออนไลน์ทาง Facebook และ YouTube ของ GWM Thailand, ORA Thailand, The Stan dard และ The Standard Wealth โดยมี ณรงค์ สีตลายน กรรมการผู้จัดการ Great Wall Motor (ประเทศไทย), กฤษฎา อุตตโมทย์ นายกสมาคมยานยนต์ไฟฟ้าไทย (EVAT), วฤต รัตนชื่น ผู้ช่วยผู้ว่าการวิจัย นวัตกรรม และพัฒนาธุรกิจ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (EGAT) และดวงดาว ขาวเจริญ ผู้อำนวยการกองนโยบายอุต สาหกรรมรายสาขา (สศอ.) มาร่วมแลกเปลี่ยนมุมมอง และข้อมูลเชิงลึกที่น่าสนใจ โดยมี ดร. วิทย์ สิทธิเวคิน พิธี กรชื่อดังเป็นผู้ดำเนินรายการ โดยภายในงานมีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น และนำเสนอมุมมองที่น่าสนใจมาก มาย ในหัวข้อดังต่อไปนี้
ภาพรวมการเติบโตของยานยนต์ไฟฟ้า
จากข้อมูลการเติบโตของรถยนต์ไฟฟ้าในตลาดโลกเมื่อเปรียบเทียบกับรถยนต์สันดาปภายในช่วงระหว่างปี 2560 และ 2565 ในกลุ่มรถยนต์นั่งส่วนบุคคล จะเห็นได้ว่า ในปี 2560 มีรถยนต์ไฟฟ้า 1.2 ล้านคัน และรถยนต์สันดาปภายใน 85.09 ล้านคัน หรือคิดเป็นสัดส่วนในจำนวนรถยนต์นั่งส่วนบุคคล 70 คัน จะมีรถยนต์ไฟฟ้า 1 คัน แต่ในปี 2565 พบว่า มีการขายรถยนต์สันดาปภายในลดลงเหลือเพียง 63.2 ล้านคัน ในขณะที่รถยนต์ไฟฟ้ามียอดขายสูงถึง 10.6 ล้านคัน ซึ่งถือเป็นปีแรกที่มียอดขายเกินกว่า 10 ล้านคัน คิดเป็นสัดส่วน 1:7 ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการเติบ โตที่ก้าวกระโดดในระยะเวลาเพียง 5 ปี โดยประเทศที่น่าจับตามองมากที่สุด คือ ประเทศจีนที่มีสัดส่วนการเติบ โตของยานยนต์ไฟฟ้าที่ค่อนข้างหนาแน่น คือ 1:4 หรือทุกๆ รถยนต์นั่งส่วนบุคคล 4 คันจะมีรถยนต์ไฟฟ้า 1 คัน นอกจากนี้ปัจจุบันยังมีสัดส่วนของรถยนต์ไฟฟ้าทั้งโลกประมาณ 18 % ซึ่งคาดว่าในปี 2573 จะมีสัดส่วนมากถึง 60-85 %
เมื่อมองถึงวิวัฒนาการเติบโตของรถยนต์ไฟฟ้าในไทย ตั้งแต่เดือนมกราคม-กันยายนของปีนี้ ประเทศไทยได้มีการจดทะเบียนยานยนต์ไฟฟ้าแบทเตอรีทุกประเภทไปแล้วมากถึง 67,933 คัน เป็นรถยนต์ไฟฟ้านั่งส่วนบุคคลสูงถึง 50,344 คัน รวมถึงเมื่อเทียบกับช่วงครึ่งปีแรกของปี 2565 พบว่าในไทยมีการยอดจดทะเบียนรถยนต์ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นถึง 400 %
ถอดบทเรียนความสำเร็จจากประเทศจีน
จากภาพรวมการเติบโตของยานยนต์ไฟฟ้าทั่วโลก ประเทศจีนถือเป็นประเทศหลักของการใช้รถยนต์ไฟฟ้าในโลก โดยสามารถถอดบทเรียนความสำเร็จของประเทศจีน ผ่านกลยุทธ์ Push และ Pull พบว่ามี 3 ปัจจัยด้วยกันที่ผลักดันให้อัตราการใช้รถยนต์ไฟฟ้าขยายตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง ประกอบด้วย 1) การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่รองรับการใช้งาน รวมถึงการวางแผนเครือข่ายสถานีชาร์จไฟฟ้าที่ครอบคลุม 2) การออกนโยบายส่งเสริมที่แข็ง แกร่งของภาครัฐจากระดับท้องถิ่นสู่ระดับประเทศ และความพร้อมในการสนับสนุนจากภาคเอกชน และการวาง Roadmap ที่ชัดเจนเพื่อสนับสนุนการใช้รถยนต์ไฟฟ้า 3) การสนับสนุนการยกระดับเทคโนโลยี และนวัตกรรมเพื่อขับเคลื่อนระบบนิเวศยานยนต์ไฟฟ้า โดยเฉพาะการพัฒนาเทคโนโลยีแบทเตอรี
สำหรับนโยบายของภาครัฐ จีนมีแผนการพัฒนาชาติอย่างชัดเจน โดยกำหนดให้ภายในปี 2030 รถยนต์ที่ขายจะต้องมีสัดส่วนของรถยนต์พลังงานไฟฟ้า 40 % และมีการออกนโยบายทั้งแบบ Tax และ Non-Tax ไม่ว่าจะเป็น การลดค่าจดทะเบียนรถยนต์ใหม่ การให้เงินสนับสนุนในการซื้อรถยนต์ไฟฟ้า การให้สิทธิพิเศษแก่รถยนต์ไฟฟ้าด้านการกำหนดวัน และเวลาของการวิ่ง เรื่องที่จอดพิเศษ ฯลฯ นอกจากนี้ รัฐบาลจีนยังเปิดให้ผู้เล่นต่างประเทศที่มีความเชี่ยวชาญ และความสามารถอย่าง Tesla เข้ามาลงทุนในประเทศ ซึ่งสร้างความตื่นตัวให้แก่ผู้เล่นในตลาด เกิดเป็นการแข่งขันอย่างสร้างสรรค์นำไปสู่การพัฒนาผลิตภัณฑ์ และนวัตกรรมยานยนต์
โครงสร้างพื้นฐานด้านการเติบโตของสถานีชาร์จไฟฟ้าในไทย
ปัจจุบันประเทศไทยมีหัวจ่ายสาธารณะสำหรับรถยนต์ไฟฟ้ารวมการชาร์จทั้งแบบ DC และ AC มากกว่า 4,000 หัวจ่าย จากทั้งหมดกว่า 1,400 สถานีทั่วประเทศ โดยเมื่อเทียบเป็นสัดส่วนกับของโลกจะเห็นได้ว่า ปริมาณหัวจ่าย DC สาธารณะตามค่าเฉลี่ยทั่วโลกนั้นอยู่ที่ 15-16 คัน/1 หัวจ่ายสาธารณะ ในขณะที่ประเทศไทยอยู่ที่ 20 คัน/1 หัวจ่ายสาธารณะ แสดงให้เห็นว่าการเติบโตของรถยนต์ไฟฟ้าในไทยเติบโตรวดเร็วกว่าสถานีชาร์จ โดยเมื่อเทียบกับตลาดสำคัญอย่างประเทศจีนพบว่า อยู่ที่ 7 คัน/1 หัวจ่าย ดังนั้น การสนับสนุนการขยายโครงสร้างพื้นฐานการชาร์จไฟฟ้าจากภาครัฐ และภาคส่วนที่เกี่ยวข้องต่างๆ เพื่อให้มีการขยายสถานีเครือข่ายที่ครอบคลุมการใช้งานจึงมีความสำคัญ
Great Wall Motor ได้เดินหน้าตามแผนการขยายสถานีชาร์จให้เพียงพอต่อความต้องการใช้รถยนต์ไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นในไทย โดยมีสถานีอัดประจุไฟฟ้า G-Charge Supercharging Station ใจกลางเมืองย่านสยามสแควร์ที่ชาร์จเร็วด้วยกำลังไฟฟ้าสูงสุดถึง 160 กิโลวัตต์ชั่วโมง ซึ่ง G-Charge Supercharging Station แห่งนี้ ถือเป็นสถานีอัดประจุไฟฟ้าขนาดใหญ่แห่งแรกในประเทศไทยของ Great Wall Motor นอกจากนี้ ยังได้เปิดตัวสถานีอัดประจุไฟฟ้าที่ GWM Partner Store ไปแล้ว 22 แห่ง ซึ่งเป็นสถานีอัดประจุไฟฟ้าแบบเร็ว (DC Fast Charge) และในปีนี้ GWM วางแผนขยายสถานี DC Fast Charge เป็นทั้งสิ้น 55 แห่งครอบคลุมในทุกภูมิภาคของไทย พร้อมให้บริการผู้ใช้รถยนต์ไฟฟ้าทุกแบรนด์ เพื่อยกระดับระบบนิเวศยานยนต์ไฟฟ้าในไทยให้มีความพร้อม และตอบสนองการใช้งานของผู้บริโภคในอนาคต
วิวัฒนาการของนโยบายเพื่อการสนับสนุนการใช้รถยนต์ไฟฟ้า
ปฏิเสธไม่ได้ว่าปัจจัยสำคัญที่ก่อให้เกิดการขับเคลื่อนการใช้รถยนต์พลังงานใหม่เกิดจากสถานการณ์สภาวะโลกร้อนในปัจจุบัน ซึ่งได้เดินหน้าสู่ “ภาวะโลกเดือด” หรือ “Global Boiling” ก่อให้เกิดการร่วมมือกันของหลายๆ ประ เทศเพื่อลดการปล่อยแกสเรือนกระจก และตั้งเป้าหมายสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน โดยหลายๆ ประเทศทั้งในยุโรป และประเทศจีนมีการห้ามหรือจำกัดการจำหน่ายรถที่ใช้เครื่องยนต์สันดาป รวมถึงการที่ผู้ประกอบการหลายแบรนด์มุ่งพัฒนานวัตกรรม และเทคโนโลยีในการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าเพื่อให้สามารถเข้าถึงผู้ใช้ได้อย่างแพร่หลายมากยิ่งขึ้น ประเทศไทยในฐานะหนึ่งในผู้นำการผลิต และส่งออกยานยนต์หลักของโลก ก็ต้องมีการปรับตัวให้สอดรับกับการเปลี่ยนแปลงเพื่อไม่ให้สูญเสียความสามารถในการแข่งขัน ซึ่งภาครัฐเองได้เล็งเห็นถึงความสำคัญและมีการออกนโยบายส่งเสริมยานยนต์ไฟฟ้ามาตั้งแต่ปี 2561 และไม่เคยหยุดการพัฒนาอันนำมาสู่การตั้ง คณะกรรมการยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติ หรือบอร์ด EV รวมถึงการออกนโยบายที่เข้มข้น และต่อเนื่องอย่างนโยบาย 30 @30 และยังคงเผื่อเวลาให้แก่รถยนต์ไฟฟ้าสันดาปได้เตรียมตัวเพื่อเดินหน้าสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านประเทศ ไทยสู่การใช้รถยนต์ไฟฟ้าอย่างเต็มรูปแบบ
โดยนโยบาย 30@30 หรือแนวทางการส่งเสริมยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ได้มีการออกมาตรการสนับสนุนรถยนต์ไฟ ฟ้าที่เข้มข้นอย่างต่อเนื่อง แบ่งออกเป็น 3 ด้านหลักๆ ได้แก่
ด้านการผลิต ส่งเสริมการลงทุนทั้งในด้านการผลิต และชิ้นส่วน เพื่อดึงดูดนักลงทุนเข้าสู่ตลาดไทย
การส่งเสริมการใช้รถยนต์ไฟฟ้าทั้งในด้านภาษี และไม่ใช่ภาษี อาทิ การลดภาษีสรรพสามิตรถยนต์จาก 8 % เป็น 2 % และการเปิดให้นำเข้ารถยนต์มาทดลองตลาด ภายใน 2 ปี โดยมีเงื่อนไขว่าจะต้องผลิตชดเชยภายในประ เทศ รวมไปถึงการกำหนดให้ใช้ชิ้นส่วนสำคัญภายในประเทศเพื่อกระตุ้นการสร้างซัพพลายเชนของอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าให้เติบโตมากขึ้น การส่งเสริมด้านการตลาดในประเทศ สนับสนุนภาครัฐให้มีการจัดซื้อจัดจ้างรถ ยนต์ไฟฟ้า อาทิ รถที่ใช้ในงานราชการรถประจำตำแหน่ง รวมไปถึงการวางแผนปรับเปลี่ยนรถสาธารณะสู่พลัง งานไฟฟ้า
ความท้าทายของไทยในการไปสู่สังคมยานยนต์ไฟฟ้า
หนึ่งในความท้าทายของตลาดยานยนต์ไฟฟ้าคือ การที่นโยบาย และโครงสร้างพื้นฐานจะต้องเติบโตตามทันความต้องการที่เพิ่มมากขึ้นของรถยนต์ไฟฟ้า เพื่อปรับใช้ และรองรับให้เหมาะสมกับการใช้งานที่ครอบคลุม ทั้งมาตรการส่งเสริมการใช้ มาตราการส่งเสริมการผลิต และมาตรการการขยายสถานีชาร์จ เพื่อให้พัฒนาไปพร้อมๆ กัน
จากมุมมองผู้ผลิต Great Wall Motor เชื่อมั่นว่าประเทศไทยยังมีโอกาสเติบโตสู่สังคมยานยนต์ไฟฟ้า แต่ยังคงมีความท้าทายอยู่ โดยแบ่งออกเป็น 3 ประเด็นหลักๆ ดังนี้
ด้าน Localization การผลิตภายใต้นโยบายการส่งเสริมการลงทุนนั้น ต้องใช้วัตถุดิบภายในประเทศ (Local Con tent) อย่างต่ำ 40 % ซึ่งปัจจุบันซัพพลายเชนในประเทศยังเป็นการผลิตรถยนต์สันดาปภายในอยู่ ซึ่งทำให้การหาซัพพลายเออร์และชิ้นส่วนให้ได้ 40 % นั้นถือเป็นความท้าทายอย่างหนึ่ง โดยเฉพาะแบทเตอรี ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญของรถไฟฟ้า Great Wall Motor จึงได้นำ Svolt เข้ามาเปิดโรงงานผลิตในประเทศไทยเพื่อเพิ่มสายพานการผลิตแบทเตอรีให้แก่การผลิตของกลุ่มผลิตภัณฑ์ ORA รองรับความต้องการยานยนต์ไฟฟ้าที่เพิ่มมากขึ้นอย่างก้าวกระโดด
ความท้าทายของจำนวนการผลิตและการขาย โดย OEM ที่เข้านโยบายการส่งเสริมรถยนต์ไฟฟ้าของภาครัฐจะต้องผลิตรถยนต์ให้ได้ 1.5, 2, และ 3 เท่าของจำนวน CBU ที่ได้ขายไป ซึ่งในปัจจุบันได้เริ่มเห็นการทำสงครามราคาแล้ว รวมถึงยังมีค่ายใหม่ๆ ที่จะมีเข้ามาอีกในปีหน้า ซึ่งถือเป็นความท้าทายในการบริหารเรื่องการขาย และ สตอคในการผลิต ยิ่งไปกว่านั้น จะสามารถทำให้ความต้องการรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย และในภูมิภาคเติบโตอย่างต่อเนื่องเพื่อให้สัมพันธ์กับอุปทานในการผลิตได้อย่างไร
ด้านนโยบายของภาครัฐในการสนับสนุนการผลิต และการใช้รถยนต์ไฟฟ้า ซึ่งต้องมีความต่อเนื่อง ชัดเจน และเป็นรูปธรรมเพื่อกระตุ้นให้เกิดอุปสงค์การใช้รถยนต์ไฟฟ้าที่เติบโตขึ้นเรื่อยๆ รวมถึงมาตรการการส่งเสริมการลง ทุนที่ต้องดึงดูดใจ และช่วยเหลือในระยะยาว
ด้าน ณรงค์ สีตลายน กรรมการผู้จัดการ Great Wall Motor (ประเทศไทย) ได้เผยมุมมองของ Great Wall Mo tor ต่ออนาคตยานยนต์ไฟฟ้าของประเทศไทย กล่าวว่า Great Wall Motor เล็งเห็นถึงศักยภาพของตลาดยานยนต์ในประเทศไทยนั่นเป็นหนึ่งในเหตุผลที่ทำให้เราเข้ามาสู่ตลาดแห่งนี้ตั้งแต่ปี 2564 โดยเรามุ่งหน้าดำเนินงานด้วย 3 กลยุทธ์หลัก ได้แก่ Mission 9 in 3 การเปิดตัวยานยนต์คุณภาพภายใน 3 ปี การรับฟังเสียงของผู้บริโภค รวมถึงการมุ่งหน้าส่งมอบสร้างประสบการณ์ใหม่ให้แก่ลูกค้า Great Wall Motor มีความเชื่อมั่นต่อการพัฒนา และการเติบโตของตลาดยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย และพร้อมที่จะนำเสนอผลิตภัณฑ์ยานยนต์ไฟฟ้าที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นไฮบริด พลัก-อิน ไฮบริด และรถยนต์ไฟฟ้าแบบแบทเตอรี ในช่วงการเปลี่ยนผ่านจากรถยนต์สันดาปภายในไปสู่สังคมยานยนต์ไฟฟ้า เรามั่นใจว่าประเทศไทยจะก้าวขึ้นมาเป็นศูนย์กลางการผลิตรถยนต์ไฟ ฟ้าในภูมิภาคอาเซียน และระดับโลกได้อย่างแน่นอน และเราจะยังคงเดินหน้าเติมเต็มระบบนิเวศยานยนต์ไฟฟ้าในไทย รวมถึงเริ่มการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า ORA Good Cat ในประเทศไทย นอกจากนี้เรายังมองไปถึงโอกาสทางธุรกิจที่จะเป็นประโยชน์ต่อคนไทยและเศรษฐกิจไทย ทั้ง ซอฟแวร์ เอไอ และธุรกิจเกี่ยวเนื่องอื่นๆ อีกมาก เป็นส่วนประกอบในการสร้าง S Curve ที่แข็งแรงให้แก่เศรษฐกิจไทย โดยมี Great Wall Motor ยืนหยัดเป็นส่วนหนึ่งในการผลักดันยานยนต์พลังงานไฟฟ้าให้เติบโตอย่างยั่งยืนในประเทศไทย