ธุรกิจ
ข่าวเด่นในรอบสัปดาห์
Lotus เปิดตัว Flagship Store แห่งใหม่ในประเทศไทย
Lotus Cars Thailand เปิดตัวสโตร์แห่งใหม่ในประเทศไทย ถือเป็น Flagship Store ที่มอบประสบการณ์เหนือระดับตามมาตรฐานสากลของ Lotus Cars ทั่วโลก พร้อมสัมผัสความพิเศษเฉพาะตัวในการเข้าถึงประสบการณ์สุดเอกซ์คลูซีฟ รองรับความทันสมัย และสะดวกสบาย ตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าใจกลางเมือง ณ ศูนย์การค้า Emsphere บริเวณชั้น 2
ธีรพงศ์ รอดลอย ผู้จัดการส่วนภูมิภาค เวิร์นส์ ออโตโมทีฟ ประเทศไทย บริษัทภายใต้ เวิร์นส์ ออโตโมทีฟ กรุ๊ป ซึ่งเป็นผู้นำเข้า และจัดจำหน่ายรถยนต์ Lotus Cars อย่างเป็นทางการ รายเดียวในประเทศไทย กล่าวว่า ทางแบรนด์ต้องการมอบประสบการณ์เหนือระดับตามมาตรฐานสากลของ Lotus Cars ทั่วโลก ด้วยการเปิดตัว Flag ship Store แห่งใหม่นี้บนพื้นที่ 200 ตรม. ด้วยงบลงทุนกว่า 20 ล้าน เพื่อมอบบรรยากาศความลักชัวรีของแบรนด์สปอร์ทคาร์สัญชาติอังกฤษ โดยมีแนวคิดการออกแบบตาม Corporate Identity Design ของทางแบรนด์ ตั้งแต่การออกแบบภายในอย่างเรียบหรูด้วยธีมสีเทาเข้ม-ดำที่เป็นโทนสีของแบรนด์ การตกแต่งด้วยโคมไฟวง กลมขนาดใหญ่อันเป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์ Lotus Cars ทุกแห่งทั่วโลก รวมทั้งโทนสีของแสงไฟในสโตร์ได้ถูกออกแบบมาอย่างเหมาะสม เพื่อให้ประสบการณ์พิเศษการซื้อรถตั้งแต่ที่ลูกค้าได้ก้าวเข้ามาในสโตร์ ให้ลูกค้าได้สัมผัสความพรีเมียมของรถ Lotus Cars Thailand ที่ยังไม่เคยเข้าถึงที่ไหนมาก่อน ถือเป็น Flagship Store แห่งแรกที่สะท้อนเอกลักษณ์ของแบรนด์ที่มีความสปอร์ท ดิบ เท่ สะท้อนกลิ่นอายคาแรคเตอร์ของแบรนด์สายเลือดนักแข่งที่สะสมประสบการณ์ และมีประวัติศาสตร์มาอย่างยาวนานกว่า 76 ปี ซึ่งเป็นแบรนด์รถสปอร์ทที่มีคา แรคเตอร์เฉพาะตัว มีลูกค้าค่อนข้างเฉพาะกลุ่มที่มีความหลงใหลในเสน่ห์การขับขี่อันเป็นเอกลักษณ์ตามสโล แกนของแบรนด์ “For The Drivers” ธีรพงศ์ รอดลอย กล่าวว่า “ในปัจจุบัน ทางเรามุ่งหวังให้แบรนด์ได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในไลฟ์สไตล์ของคนเมืองมากขึ้น โดยเลือกเปิด Flagship Store แห่งใหม่นี้ ที่ศูนย์การค้า Emsphere ซึ่งเป็นแหล่งชอพพิงลักชัวรีแบรนด์เนมระดับโลก และเป็นจุดหมายปลายทางใหม่ของทั้งนักชอพชาวไทย และนักท่องเที่ยวต่างชาติจากทั่วโลก ซึ่งที่นี่ถือเป็น Flagship Store แห่งแรกในกรุงเทพฯ ทั้งนี้เพื่อต้องการขยายตลาดกลุ่มคนรุ่นใหม่ และเปิดโอกาสให้คนทั่วไปได้เข้าถึง และสัมผัสรถ Lotus Cars ได้กว้างขวาง และใกล้ชิดกับลูกค้ามากขึ้น เพื่อรองรับความต้องการใหม่ของลูกค้าที่มากยิ่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง
“สำหรับแผนการเติบโตของธุรกิจเชิงกลยุทธ์ของทาง Lotus Cars Thailand พร้อมที่จะลุยต่อกับโอกาสทางตลาดรถไฟฟ้าที่เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งล่าสุดรถยนต์ของทาง Lotus Cars ได้เข้ามาตอบโจทย์ความต้อง การได้อย่างเต็มที่ด้วยรถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100 % ตอกย้ำยนตรกรรมสปอร์ท ซึ่งปัจจุบันมีทั้งหมด 2 รุ่น ได้แก่ Lotus Emeya ที่ได้เปิดตัวในงานมอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 45 ที่ผ่านมา ในฐานะ Hyper-GT และ Lotus Eletre ในฐานะ Hyper-SUV มาพร้อมสมรรถนะสูงที่ยังคงเสน่ห์การขับขี่ของแบรนด์ไว้เป็นอย่างดี ทำให้เป็นที่ชื่นชอบของลูกค้าที่ต้องการอรรถรสการขับขี่ และสามารถรองรับการใช้ในชีวิตประจำวันได้ ซึ่งได้ผลตอบรับจากลูกค้ามาอย่างดีเยี่ยม”
ภายในพื้นที่ Flagship Store แห่งนี้ ได้ออกแบบ Customer Touchpoints หรือจุดสัมผัสของลูกค้ากับแบรนด์ไว้อย่างดี พร้อมได้จัดแสดงรถยนต์ทั้ง 2 รุ่นเรือธงให้อวดโฉมได้อย่างใกล้ชิด โดดเด่นด้วยรุ่น “Lotus Emeya” สุดยอดขุมพลังแห่งรถสปอร์ทไฟฟ้าซีดานหรู ด้วยที่สุดแห่งสมรรถนะอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ในเวลา 2.78 วินาที และรุ่น “Lotus Eletre” ด้วยอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ในเวลา 2.95 วินาที (สำหรับในรุ่น R) ซึ่งทั้ง 2 รุ่น มาพร้อมพละกำลังสูงสุด 905 แรงม้า แรงบิด 985 นิวตันเมตร การขับเคลื่อน 4 ล้อ AWD ระบบ Double Motor ด้วยความจุแบทเตอรีขนาด 112 กิโลวัตต์ชั่วโมง/ลิเธียม-ไอออน โดยมีให้ข้อมูลรถผ่านหน้าจอ Touch Screen ขนาดใหญ่ด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย และมอบประสบการณ์สุดเอกซ์คลูซีฟภายในพื้นที่รับรองสำหรับ Car Configura tor ที่ให้ความเป็นส่วนตัวเฉพาะบุคคลภายในห้อง Consultation Room เพื่อมุ่งหวังที่จะสร้างประสบการณ์พิเศษให้ตรงใจลูกค้าแต่ละท่านอย่างเฉพาะตัว นำเสนอผ่านการแสดงผลด้วยเทคโนโลยี Unreal Engine เป็นการเรน เดอร์ภาพเสมือนจริงแบบเรียลไทม์ 3D โดยให้รายละเอียดที่มีความแม่นยำ และเที่ยงตรงสูง ทั้งโทนสี ผิวสัมผัสของ Materials ต่างๆ ทั้งภายนอก และภายในรถ ให้ความรู้สึกเสมือนเห็นภาพรถในฝันได้อย่างสมจริง เพื่อให้ การสร้างสรรค์รถเป็นไปได้มากกว่าที่คิด และเพลิดเพลินกับการเลือกสรรได้ตามความชื่นชอบ ด้วยออพชันที่หลากหลาย ครบครัน อีกทั้งได้ชมภาพเสมือนจริงของรถที่แสดงผลบนหน้าจอทันที ทั้งนี้ ด้วยความตั้งใจที่จะสร้างความประทับใจในการมอบประสบการณ์การดูแลเป็นพิเศษโดย Sale Consultant ที่คอยให้คำปรึกษาได้ตรงใจทุกความต้องการ อีกทั้งสามารถเลือกสรร Lotus Merchandise เป็นสินค้าที่ระลึกของทางแบรนด์อีกมาก มาย ส่วนการรองรับสำหรับศูนย์บริการหลังการขาย (After Sale Service) และสำนักงานขายแบบครบวงจรจะอยู่ที่โชว์รูมสาขาแรกของ Lotus Cars Thailand ซึ่งเป็นสำนักงานใหญ่แห่งเดียวในประเทศไทย
BMW ครองแชมพ์ รถพรีเมียมไตรมาสแรก
บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย ประกาศความสำเร็จต่อเนื่อง ท่ามกลางสภาวะตลาดที่ท้าทาย ด้วยการครองตำแหน่งผู้นำตลาดรถยนต์พรีเมียมของประเทศไทยในไตรมาสแรกของปี 2567 จากความมุ่งมั่นในการนำเสนอผลิตภัณฑ์พรีเมียมที่หลากหลาย บริการที่เหนือระดับ และประสบการณ์ที่ดีเยี่ยม ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญนำไปสู่ความสำเร็จด้านการขาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนของยานยนต์พลังงานไฟฟ้า ซึ่งในไตรมาสที่ผ่านมา มียอดจดทะเบียนรถยนต์ไฟฟ้า BMW BEV เพิ่มขึ้นถึง 108 % จาก 6 รุ่น ได้แก่ BMW iX2 BMW iX3 BMW iX BMW i4 BMW i5 และ BMW i7 รวม 487 คัน นอกจากนี้ รถยนต์ไฟฟ้า BMW และ MINI ยังเติบโตอย่างแข็งแกร่งเพิ่มขึ้นถึง 74 % ด้วยจำนวนจดทะเบียนอยู่ที่ 548 คัน ผลสำเร็จครั้งนี้สอดคล้องกับการประกาศของ BMW Group ในการสร้างหมุดหมายครั้งสำคัญด้วยยอดส่งมอบรถยนต์ไฟฟ้าสะสมถึง 1 ล้านคันทั่วโลก เพิ่มขึ้นถึง 40.6 % เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า
อเลกซันเดร์ บาราคา ประธาน และซีอีโอ บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย กล่าวว่า ท่ามกลางความท้าทายต่างๆ ในอุตสาหกรรมยานยนต์ ไม่ว่าจะเป็นการผันผวนของตลาด และพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของผู้บริโภค เรายังคงยึดมั่นในการนำเสนอความเป็นเลิศด้านผลิตภัณฑ์พรีเมียมที่เปี่ยมด้วยนวัตกรรมหลากหลาย บริการ และประสบการณ์ที่ดีเยี่ยม พร้อมมุ่งไปสู่การสร้างสรรค์อนาคตอันยั่งยืน และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญที่ช่วยสร้างความแตกต่างให้กับแบรนด์ของเรา และที่สำคัญ ยังเป็นปัจจัยที่ช่วยนำไปสู่ความสำเร็จของเราในฐานะผู้นำตลาดยานยนต์พรีเมียมได้อย่างต่อเนื่องในช่วงระยะเวลาสี่ปีที่ผ่านมาจนถึงไตรมาสแรกของปี 2567 นี้ การส่งมอบผลิตภัณฑ์ บริการ และประสบการณ์ที่มีคุณภาพสูงให้แก่ลูกค้าของเรา ถือเป็นสิ่งที่มีคุณค่า และเป็นสิ่งที่เราให้ความสำคัญเหนือกว่าการเปลี่ยนแปลงของราคารถยนต์ในตลาด
“นอกจากนี้ ยอดจดทะเบียนในกลุ่มรถยนต์ระดับผู้บริหารทั้งประเภทซีดาน และรถยนต์อเนกประสงค์ของ BMW ก็มีอัตราเติบโตขึ้นถึง 8.6 % เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งจาก BMW iX และ BMW 5 Series ซึ่งนับว่าเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อความสำเร็จของเราในไตรมาสแรกเป็นอย่างมาก ขณะเดียวกัน กลุ่มรถยนต์ไฟฟ้าของเราก็ยังเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ โดยมียอดการเติบโตที่แข็งแกร่งเพิ่มขึ้นถึง 108.1 % จากรถยนต์ไฟฟ้า BMW หลากหลายรุ่น แม้ว่ายอดจดทะเบียนโดยรวมของตลาดยานยนต์ในไทยจะยังต้องเผชิญกับความท้าทายอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในเซกเมนท์พรีเมียมที่มียอดจดทะเบียนโดยรวมลดลงเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า แต่ บีเอมดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย ก็ยังคงรักษาผลงานที่แข็งแกร่งของแบรนด์ BMW ไว้ได้ด้วยยอดจดทะเบียน 3,561 คัน และ MINI 407 คัน ในไตรมาสแรกที่ผ่านมา ความมุ่งมั่นของเราในการนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายครอบคลุมทุกระบบขับเคลื่อนมีส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนการเติบโตของ BMW ในประเทศไทย ผสมผสานการมอบประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยม ควบคู่กับการพัฒนายานยนต์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เราเชื่อว่าปัจจัยเหล่านี้จะช่วยให้เรายังคงเป็นผู้นำในตลาด และตอบสนองความต้องการที่เปลี่ยนแปลงไปของลูกค้าได้อย่างเหมาะสม”
ในระดับโลก BMW Group ได้ส่งมอบยานยนต์ให้แก่ลูกค้าจำนวน 594,671 คัน ในไตรมาสแรกของปี 2567 เติบโตขึ้น 1.1 % จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า สำหรับแบรนด์ BMW มียอดจำหน่ายรวมที่ 531,039 คัน เพิ่มขึ้นถึง 2.5 % เมื่อเทียบกับไตรมาสแรกของปีก่อนหน้า ขณะที่ MINI มียอดขายทั่วโลกที่ 62,107 คัน และ BMW Motorrad ก็สร้างความสำเร็จด้วยยอดขายเดือนมีนาคมที่ดีที่สุดเป็นประวัติการณ์ ทำให้มียอดส่งมอบมอเตอร์ไซค์ และสกูเตอร์ ในไตรมาสแรกรวมอยู่ที่ 46,434 คัน
นอกจากนี้ กลุ่มรถยนต์ไฟฟ้า BMW รายงานผลการเติบโตอย่างแข็งแกร่ง ด้วยจำนวนรถยนต์ที่ส่งมอบให้แก่ลูกค้าทั่วโลก 78,691 คัน เพิ่มขึ้น 40.6 % เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า โดยมี BMW i4 BMW iX3 BMW iX1 BMW iX และ BMW i7 เป็นรุ่นที่เป็นที่ต้องการมากที่สุด นอกจากการเติบโตของกลุ่ม BEV ที่สำคัญแล้ว BMW Group ยังมียอดขายที่เพิ่มขึ้นถึง 21.6 % เมื่อเทียบปีต่อปี สำหรับกลุ่มพรีเมียมไฮเอนด์ในช่วงไตรมาสแรก
บีเอมดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย จะยังคงมุ่งก้าวไปสู่อนาคตที่แข็งแกร่ง และมีความยั่งยืนต่อไปในปี 2567 ทั้งนี้ ยอดจดทะเบียนอันดับหนึ่งในกลุ่มรถยนต์พรีเมียมของไทยเป็นปีที่ 4 ถือเป็นเครื่องพิสูจน์ถึงคุณภาพ นวัตกรรมการออกแบบ และการให้บริการที่ตอบโจทย์ลูกค้าได้ดียิ่งกว่าใครของ บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย รวมทั้งตอกย้ำเป้าหมายในระยะยาวของบริษัทฯ ในการสร้างความยั่งยืนให้แก่สังคม และสิ่งแวดล้อมด้วยการเป็นผู้บุกเบิกในอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า เพื่อส่งมอบสุนทรียะแห่งการขับขี่ เทคโนโลยีอันล้ำสมัย และทางเลือกที่หลากหลายให้แก่ลูกค้าทั้งในปัจจุบัน และอนาคต
BYD ขยายความสำเร็จก่อตั้งโรงงานประกอบรถขนาดใหญ่
กลุ่มธุรกิจ Rever เดินหน้าต่อยอดความแข็งแกร่งทางธุรกิจผ่าน Rever Bus and Truck ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือกับ BYD Commercial Vehicle เตรียมจัดตั้งโรงงานประกอบรถบรรทุก และรถขนส่งโดยสารพลัง งานไฟฟ้าเพื่อการพาณิชย์ภายใต้แบรนด์ BYD นอกประเทศจีนเป็นแห่งแรกในไทย ตอกย้ำความมุ่งมั่นของ Rever ในการขยายขอบเขตธุรกิจให้ครอบคลุมยิ่งขึ้นเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้ประกอบการ และยกระ ดับอุตสาหกรรมการคมนาคมขนส่งของไทยขึ้นไปอีกขั้น ด้วยโซลูชันสำหรับการขนส่ง และลอจิสติคส์ที่มาพร้อมนวัตกรรมพลังงานสะอาด และเทคโนโลยีแห่งอนาคต พร้อมสานต่อภารกิจการขับเคลื่อนประเทศไทยสู่การเป็น NEV Nation อย่างเป็นรูปธรรม
เมื่อการก่อสร้างแล้วเสร็จ โรงงานประกอบรถโดยสาร และรถบรรทุกพลังงานไฟฟ้าสำหรับธุรกิจเชิงพาณิชย์ภายใต้แบรนด์ BYD ของ Rever Bus and Truck จะดำเนินการประกอบชิ้นส่วนอุปกรณ์ภายใน และภายนอกของยานยนต์พลังงานไฟฟ้า รวมถึงยานยนต์พลังงานไฟฟ้าขนาดใหญ่อื่นๆ ได้แก่ รถโดยสาร และรถบรรทุก ที่ขับเคลื่อนด้วยขุมพลังแบทเตอรี และนวัตกรรมเทคโนโลยีเพื่อความปลอดภัยอันล้ำสมัย อาทิ เทคโนโลยี BYD Iron-Phosphate Battery แบทเตอรีสำหรับรถยนต์อุตสาหกรรมสิทธิบัตรเฉพาะของ BYD ที่มีประสิทธิภาพ ปลอดภัย และจ่ายกำลังไฟได้อย่างคุ้มค่า ทำให้มีอายุการใช้งานที่ยาวนาน และนวัตกรรม 6-in-1 Motor Controller ที่สามารถควบคุมระบบไฟฟ้าอย่างมีเสถียรภาพ และอีกมากมาย
หลิว เสวียเลี่ยง ผู้จัดการทั่วไป ฝ่ายขายประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิค บริษัท บีวายดี ออโต้ อินดัสทรี จำกัด กล่าวว่า ตลอดระยะเวลากว่า 2 ปี ที่รถยนต์ไฟฟ้าส่วนบุคคลแบรนด์ BYD ได้เข้ามาทำตลาดในประเทศไทย บริษัท เรเว่ ออโตโมทีฟ จำกัด ภายใต้กลุ่มธุรกิจ Rever ได้แสดงให้เราเห็นถึงศักยภาพอันแข็งแกร่ง และพิสูจน์ความสำเร็จด้วยการก้าวขึ้นเป็นผู้นำในตลาดอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้าของประเทศไทยได้อย่างรวดเร็ว วันนี้ BYD Commercial Vehicle มีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ร่วมเดินหน้าขยายขอบเขตการนำเสนอผลิตภัณฑ์ยนตรกรรมพลังงานไฟฟ้าให้ครอบคลุมความต้องการของภาคธุรกิจในอุตสาหกรรมการคมนาคม และขนส่ง ด้วยรถโดยสาร และรถบรรทุกพลังงานไฟฟ้าที่มาพร้อมเทคโนโลยีอันเป็นเอกลักษณ์ของ BYD เพื่อเป็นอีกทางเลือกสำหรับผู้ประกอบการ ทั้งยังช่วยให้ผู้บริโภคชาวไทยมีโอกาสสัมผัสยานยนต์พลังงานสะอาดได้ง่ายขึ้นอีกด้วย
ประธานวงศ์ พรประภา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจ Rever กล่าวว่า Rever Bus and Truck โดยกลุ่มธุร กิจ Rever รู้สึกเป็นเกียรติเป็นอย่างยิ่งที่ได้รับโอกาสครั้งสำคัญในการก่อตั้งโรงงานประกอบยานยนต์จาก BYD Commercial Vehicle นอกประเทศจีนเป็นครั้งแรกที่ประเทศไทย เราเชื่อว่าโรงงานแห่งนี้นอกจากจะส่งเสริมให้เกิดการจ้างงาน และสร้างเม็ดเงินหมุนเวียนในไทยได้อย่างมหาศาล ยังจะเป็นส่วนหนึ่งในการผลักดันให้เกิดการพลิกโฉมอุตสาหกรรมรถยนต์เชิงพาณิชย์ขนาดใหญ่จากเครื่องยนต์สันดาปไปสู่ระบบขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้า สนับ สนุนให้ภาคธุรกิจลดการปล่อยคาร์บอนในภาคการขนส่ง และทำให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางสำหรับอีวีทุกประ เภทในภูมิภาค ซึ่งสอดคล้องกับมติของการประชุมคณะกรรมการนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติ (บอร์ดอีวี) ครั้งที่ 1/2567 ที่ผ่านมา ทั้งหมดนี้ ถือเป็นอีกบทพิสูจน์ความมุ่งมั่นของกลุ่มธุรกิจ Rever ที่ต้องการสร้างระบบนิเวศยานยนต์ไฟฟ้าครบวงจร และพร้อมขับเคลื่อนประเทศไทยไปสู่ NEV Nation อย่างยั่งยืน
ประธานพร พรประภา รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจ Rever กล่าวว่า นอกเหนือจากการนำเสนอรถโดย สาร และรถบรรทุกพลังงานไฟฟ้า BYD ที่อัดแน่นด้วยเทคโนโลยีอันเหนือชั้น Rever Bus and Truck ยังพร้อมมอบบริการหลังการขายคุณภาพจากทีมงาน และทีมวิศวรกรมากประสบการณ์ในการตรวจสอบ และดูแลผลิต ภัณฑ์อย่างครบวงจร ตลอดจนมีชิ้นส่วนอะไหล่ไว้ให้บริการอย่างครบครัน เป็นทางเลือกที่น่าสนใจให้ผู้ประกอบการธุรกิจด้านคมนาคมขนส่งสามารถลดต้นทุนค่าใช้จ่ายด้านเชื้อเพลิง ทั้งยังจะได้มีบทบาทในการลดปริมาณการปล่อยคาร์บอน และแกสเรือนกระจกในอุตสาหกรรมทั้งระบบ ซึ่งจะเป็นส่วนหนึ่งของการขับเคลื่อนสังคมไร้มล พิษ และสร้างสรรค์การเปลี่ยนแปลงเชิงบวกสู่อนาคตที่ยั่งยืนให้แก่ทุกคนในสังคม
Shell เปิดตัวพแลทฟอร์ม Shell Go+ บน Line OA
เปิดประสบการณ์ใหม่กับ Shell Go+ ด้วยโปรแกรมสะสมแต้มได้โดยตรงบน Shell Line OA ที่เพิ่มความสะดวกสบาย ให้ลูกค้า Shell ได้เพลิดเพลินกับการแลกรีวอร์ดได้อย่างรวดเร็วทุกการใช้จ่ายที่สถานีบริการน้ำมัน Shell ซึ่งรวมถึงสิทธิพิเศษเฉพาะสมาชิก และของพรีเมียมหลายรายการได้ง่ายเพียงปลายนิ้ว เพียงเพิ่มเพื่อน Shell Official Account กดค้นหาได้ที่ @Shell แล้วสมัครใช้งานเชื่อมต่อบัญชี Shell Go+ รับฟรีทันทีสูงสุด* 100 คะ แนน เพื่อใช้เป็นส่วนลดเมื่อเติมน้ำมัน Shell พิเศษ ! สำหรับสมาชิกสมัครใหม่ ตั้งแต่วันนี้-30 มิถุนายน 2567
ปัจจุบันแอพพลิเคชัน Line ได้กลายเป็นพแลทฟอร์มที่ช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของคนไทย ไม่ใช่เพียงแค่ในด้านการสื่อสาร แต่วิวัฒนาการสู่พแลทฟอร์มสำหรับดิจิทอลไลฟ์สไตล์ไปแล้ว ด้วยจำนวนผู้ติดตั้งจากผู้ใช้บริการอินเตอร์เนทในประเทศไทย ถึง 90 % และบัญชี Line Official Account ของ Shell ประเทศไทยก็ได้รับความนิ ยมจากผู้ติดตามรวมกว่า 10 ล้านบัญชี
ทั้งนี้ เพื่อเพิ่มความสะดวกสบาย และตอบรับกับไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคมากยิ่งขึ้น ซึ่งไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็สามารถรับสิทธิพิเศษได้ง่ายๆ จาก “Shell Go+” ด้วยบริการล่าสุดในอีกช่องทาง ที่ช่วยเพิ่มประสบการณ์การเชื่อมต่อแบบไร้ขีดจำกัด ให้ผู้ใช้งานสามารถเข้าถึง Shell Go+ บน Line Official Account ของ Shell ได้รวดเร็วยิ่งขึ้นแล้ววันนี้ พร้อมรับสิทธิประโยชน์มากมาย ซึ่งมีเฉพาะที่สถานีบริการน้ำมันเชลล์เท่านั้น (Only at Shell, Only for You)
โอมาร์ เชค กรรมการบริหาร ธุรกิจโมบิลิที บริษัท เชลล์แห่งประเทศไทย จำกัด กล่าวว่า เรามุ่งมั่นในการสร้างประสบการณ์ที่พิเศษสำหรับลูกค้า Shell อยู่เสมอ และพบว่าผู้บริโภคชาวไทยส่วนใหญ่เลือกใช้งานแอพพลิเค ชัน Line ในการติดต่อสื่อสาร และมีความคุ้นเคยกับการใช้งานฟังค์ชันต่างๆ ของ Line เป็นอย่างดี Shell จึงเพิ่มช่องทางในการสื่อสารกับผู้บริโภค โดยการนำ Shell Go+ ซึ่งเป็นระบบสมาชิกแบบดิจิทอลเต็มรูปแบบเข้าไปรวมไว้ใน Line OA ของ Shell เพื่อตอบโจทย์การใช้งานของผู้บริโภค นอกเหนือจากการใช้งานในแอพพลิเคชัน Shell Go+ และเวบไซท์ ในการรับสะสมคะแนน และรับสิทธิประโยชน์ที่หลากหลาย เมื่อใช้บริการต่างๆ ที่สถานีบริการน้ำมัน Shell ซึ่งทุกการใช้จ่ายเพื่อเติมเต็มไลฟ์สไตล์ที่แตกต่าง จะสามารถเปลี่ยนเป็นคะแนนสะสมได้จากทุกบริการในสถานีบริการ Shell ไม่ว่าจะเป็นการเติมน้ำมัน การเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องที่ศูนย์ Shell Helix+ การซื้อเครื่องดื่ม และพรีเมียมเบเกอรีจาก Shell Cafe รวมถึงการจับจ่ายระหว่างการเดินทางที่ร้านสะดวกซื้อ Shell Select ให้ทุกการใช้จ่ายที่สถานีบริการ Shell มีความคุ้มค่าสูงสุดแก่ลูกค้า Shell ทุกคน
พิเศษสุดสำหรับสมาชิกใหม่เมื่อสมัคร Shell Go+ บน Line OA ตั้งแต่วันนี้-30 มิถุนายน 2567 รับทันที 100 คะ แนน ซึ่งสามารถใช้เป็นส่วนลด 20 บาท เมื่อเติมน้ำมันเชลล์มูลค่า 900 บาท/ใบเสร็จ โดยส่วนลดนี้สามารถใช้ได้ภายใน 7 วันหลังสมัครใช้งาน Shell Go+ บน Line OA และยังประหยัดได้สูงสุด 40 สตางค์/ลิตร* เมื่อเติมน้ำ มัน Shell ในทุกๆ ครั้ง นอกจากนี้ ยังเอาใจลูกค้าสายคาเฟให้เลือกรับเครื่องดื่มเติมเต็มความสดชื่นฟรี 1 เมนูจาก Shell Cafe เมื่อสะสมแสตมป์ครบ 12 ดวง
สุดคุ้มยิ่งกว่าเมื่อใช้คะแนนแลกคูปองส่วนลดสินค้า หรือบริการต่างๆ จากแคทาลอกของ Shell ที่ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์จาก Shell Go+ และพันธมิตร โดยสามารถแลกผ่าน Shell Go+ ใน Line OA ได้ทันที รวมถึงข้อเสนอสุดพิเศษรับฟรี 100 คะแนน สำหรับสมาชิกในวันเกิด และสายรักรถยังหมดห่วง เพราะ Shell Go+ มีบริการให้ความช่วยเหลือฉุกเฉินบนท้องถนนฟรี 24 ชม. ให้อุ่นใจตลอดทุกการเดินทาง อีกทั้งมอบบริการตรวจเชครถยนต์ฟรี 10 รายการ (มูลค่า 150 บาท) ที่ศูนย์ Shell Helix+ อีกด้วย
“Shell Go+ บน Line OA จะช่วยให้ลูกค้า Shell สามารถสะสมคะแนนได้ง่ายขึ้นโดยไม่ต้องพกบัตร หรือโหลดแอพพลิเคชันเพิ่มเติม ไม่พลาดข่าวสาร และสิทธิประโยชน์ต่างๆ ที่มีการอัพเดทอย่างต่อเนื่อง สามารถเชค และอัพเดทข้อมูลสมาชิก ตลอดจนรับสิทธิพิเศษต่างๆ ได้ด้วยตนเองผ่าน Shell Go+ บน Line OA เป็นการสนับ สนุนแนวคิด Make Life’s Journeys Better ที่ Shell มุ่งมั่นที่จะเติมความสุขให้แก่ลูกค้าทุกท่าน ด้วยบริการที่ง่าย ทันสมัย สะดวกสบาย และปลอดภัยยิ่งขึ้น ตอกย้ำการดำเนินธุรกิจภายใต้ Powering Progress ที่ไม่เพียงมุ่งพัฒนา และส่งมอบพลังงานเชื้อเพลิงประสิทธิภาพสูงยิ่งขึ้น แต่ยังผลักดันธุรกิจให้เติบโตโดยมีลูกค้าเป็นศูนย์ กลาง เคียงข้างสังคม และผู้มีส่วนเกี่ยวข้องอย่างยั่งยืน”
EVAT กฟผ. มหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี จัดงานแข่งขันรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าดัดแปลง
สมาคมยานยนต์ไฟฟ้าไทย จับมือการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย และมหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี จัดงานแข่งขันรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าดัดแปลงเพื่อธุรกิจแห่งอนาคต ครั้งที่ 3 พร้อมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือทางวิชาการ เพื่อการผลิต และพัฒนาสมรรถนะกำลังคน ด้านยานยนต์ไฟฟ้า และการพัฒนาเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับยานยนต์ไฟฟ้า ระหว่างสมาคมยานยนต์ไฟฟ้าไทย และมหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี
ชัยวุฒิ หลักเมือง ผู้ช่วยผู้ว่าการบริหารจัดการความยั่งยืน การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) กล่าวว่า การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย มีความรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง ที่ได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการจัดแข่งขันรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าดัดแปลงเพื่อธุรกิจแห่งอนาคต ร่วมกับทาง สมาคมยานยนต์ไฟฟ้าไทย และมหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี โดยในปีนี้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ได้สนับสนุนมาเป็นปีที่ 3 แล้ว ซึ่งการจัดเเข่งขันรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าดัดเเปลงเเห่งอนาคตในครั้งนี้ เล็งเห็นว่าเป็นโอกาสที่จะช่วยสร้างบุคลากรที่มีความรู้ ความเชี่ยวชาญด้านยานยนต์ไฟฟ้าให้ได้แสดงออกถึงศักยภาพการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าดัดแปลง ที่สามารถต่อยอดในการพัฒนาเทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้าในอนาคต เพื่อผลักดันเข้าสู่อุตสาหกรรมยานยนต์ เพื่อสอดรับกับภารกิจมุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอนตามนโยบายภาครัฐ
อาจารย์สมมาตร ทองคำ คณบดีคณะวิศวกรรมศาสตร์ ซึ่งได้รับมอบหมายจาก ศ.ดร.บังอร เบ็ญจาธิกุล อธิการบดี มหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี ให้เป็นผู้แทนในการแถลงข่าวในครั้งนี้ เผยว่า มหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี มีความยินดีเป็นอย่างยิ่ง ที่ได้มีโอกาสร่วมมือกับทางสมาคมยานยนต์ไฟฟ้าไทย ทั้งในเรื่องความร่วมมือการจัดงานการแข่งขันรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าดัดแปลงเพื่อธุรกิจแห่งอนาคต ครั้งที่ 3 ทางมหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรียินดีสนับสนุนให้ใช้พื้นที่ของมหาวิทยาลัยเป็นสถานที่จัดงานการแข่งขัน และเรื่องความร่วมมือทางวิชาการของคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี กับสมาคมยานยนต์ไฟฟ้าไทย ซึ่งคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี มีศักยภาพ และพร้อมตอบรับการเปลี่ยนผ่านเทคโนโลยีในโลกปัจจุบันที่ได้มีการพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว และจะมีส่วนช่วยในการผลักดันการพัฒนาเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับยานยนต์ไฟฟ้า เพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืนในอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทยให้เติบโตอย่างมั่นคง และแข็งแรง อีกทั้งยังเป็นการตอบรับนโยบายกระทรวง อว. เพื่ออุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า (อว. For EV) มหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรีได้ส่งเสริมการใช้รถ EV ในพื้นที่มหาวิทยาลัย คณะวิศวกรรมศาสตร์ได้เตรียมเปิดหลักสูตรเพื่อผลิต และพัฒนาสมรรถนะกำลังคนด้าน EV รวมถึงการส่งเสริมการวิจัยพัฒนานวัตกรรมด้าน EV ซึ่งมหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรีมุ่งมั่นที่จะเป็นเครือข่ายที่สำคัญในการขับเคลื่อนนโยบายด้าน EV ของประเทศ
กฤษฎา อุตตโมทย์ นายกสมาคมยานยนต์ไฟฟ้าไทย (EVAT) กล่าวว่า สมาคมยานยนต์ไฟฟ้าไทย ในปีนี้รู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้รับความร่วมมือกับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตเเห่งประเทศไทย และมหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี ซึ่งในวันนี้เราได้มีการลงนามบันทึกข้อตกลง ด้านความร่วมมือทางวิชาการ เพื่อการผลิต และพัฒนาสมรรถนะกำลังคนด้านยานยนต์ไฟฟ้า กับคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี ภายใต้การสนับสนุนบุคลากร หรือผู้เชี่ยวชาญ ที่จะมาร่วมแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ วางรากฐาน และแนวทางในการพัฒนาเทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้าในมหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี นอกจากนี้ ทางสมาคมฯ ยังได้รับความร่วมมือจากทั้ง 2 ฝ่าย ในการจัดงานการแข่งขันรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าดัดแปลงเพื่อธุรกิจแห่งอนาคต ที่ทางสมาคมฯ ได้ดำเนินการจัดการแข่งขันขึ้นเป็น ครั้งที่ 3 เเล้ว โดยจะใช้พื้นที่ของมหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี เป็นสถานที่จัดงานการแข่งขันรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าดัดแปลง ซึ่งในปีนี้ได้รับความสนใจจากหลายทีมสมัครเข้าร่วมการเเข่งขัน โดยจะมีขึ้นในวันที่ 26-27 เมษายน นี้ ณ มหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี ซึ่งการจัดงานแข่งขันรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าดัดเเปลงเเห่งอนาคตในครั้งนี้ ทางสมาคมฯ มีความมุ่งหวังเป็นอย่างยิ่งที่จะผลักดันการปลูกฝังและผลิตบุคลากรที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญที่เกี่ยวข้องกับยานยนต์ไฟฟ้า ป้อนเข้าสู่อุตสาหกรรมยานยนต์ที่กำลังมีการเปลี่ยนผ่านสู่เทคโนโลยีสมัยใหม่ สอดรับกับเป้าหมายของรัฐบาลไทยที่ต้องการให้ประเทศเป็นศูนย์กลางการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าป้อนสู่ตลาดโลก
บันทึกข้อตกลงดังกล่าวเป็นการลงนามระหว่าง 2 ฝ่าย ได้เเก่ สมาคมยานยนต์ไฟฟ้าไทย ร่วมกับมหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี ซึ่งเป็นการลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือทางวิชาการเพื่อการผลิต และพัฒนาสมรรถนะกำลังคนด้านยานยนต์ไฟฟ้า ภายใต้วัตถุประสงค์
1. เพื่อการร่วมมือกันในการร่างหลักสูตรวิศวกรรมศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาวิศวกรรมยานยนต์ไฟฟ้า ที่ตอบสนองความต้องการของภาคอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า
2. เพื่อร่วมมือกันพัฒนาหลักสูตรฝึกอบรมที่เกี่ยวข้องกับยานยนต์ไฟฟ้า เพื่อพัฒนาสมรรถนะ กำลังคนให้ตอบสนองความต้องการของภาคอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า
3. เพื่อการร่วมมือกันแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ วางรากฐาน และแนวทางในการพัฒนาเทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้า
4. เพื่อการร่วมมือกันวิจัย พัฒนา นวัตกรรมยานยนต์ไฟฟ้า และเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับยานยนต์ไฟฟ้า
5. เพื่อการร่วมมือกันด้านการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรของทั้งสองฝ่าย ทั้งด้านเครื่องมือ อุปกรณ์ สถานที่ บุคลากร และปัจจัยอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อสนับสนุนในด้านการวิจัย พัฒนา นวัตกรรม การพัฒนา บุคลากร การฝึกอบรม และด้านการจัดกิจกรรม/โครงการต่างๆ ที่ทั้งสองฝ่ายเห็นชอบร่วมกัน
ส่วนกรอบระยะเวลาดำเนินการนั้น ตามกรอบบันทึกข้อตกลงความร่วมมือทางวิชาการดังกล่าวนี้ มีระยะเวลา 3 ปี มีผล นับตั้งแต่วันลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือทางวิชาการนี้
Toyota เตรียมระเบิดศึกการแข่งขัน Gazoo Racing Thailand 2024
โนริอากิ ยามาชิตะ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด เปิดเผยว่า Toyota Motorsport คือ รากฐานในการสร้างยนตรกรรมที่ดียิ่งกว่า เราตระหนักว่า สภาพแวดล้อมที่สุดขีดของมอเตอร์สปอร์ท คือสนามที่ “รถลงวิ่ง เกิดปัญหา และมีการแก้ไขปรับปรุง จนเป็นรถที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าเดิม” และการเข้าร่วมการแข่งขัน จะช่วยพัฒนาเทคโนโลยีให้ดียิ่งขึ้น ซึ่งจะสะท้อนมายังไลน์อัพของผลิตภัณฑ์ที่จำหน่ายให้แก่ลูกค้าของเรานั่นเอง
“ในประเทศไทย ปีนี้เป็นปีที่ Toyota Motorsport ดำเนินกิจกรรมเป็นปีที่ 38 เรามุ่งสร้างรอยยิ้ม และความสุขให้แก่คนไทย ผ่านความมุ่งมั่น เพื่อสร้างสรรค์ยนตรกรรมที่ดียิ่งกว่า ปัจจุบัน เราร่วมมือกับ Toyota Motor Corporation (TMC) ที่ประเทศญี่ปุ่น และ Toyota Motor Asia (TMA) เพื่อพัฒนายนตรกรรม ภายใต้สนามแข่งมอเตอร์สปอร์ทในประเทศไทย”
นอกจากนี้ ยังเปิดตัวรถ 3 คัน ที่ล้วนใช้เชื้อเพลิงที่มีความเป็นกลางทางคาร์บอน เพื่อมุ่งสู่เป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน ภายใต้กลยุทธ์ความหลากหลายด้านทางเลือก เริ่มจาก Yaris e-fuel และ Ativ e-fuel ที่จะเข้าร่วมรายการ Yaris One Make Race และยังมี Yaris e-fuel ที่จะร่วมรายการ Thailand Super Series รวมถึง Altis e-fuel จะร่วมรายการ Idemitsu Super Endurance
ศุภกร รัตนวราหะ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ กล่าวถึงการแข่งขันในปีนี้ว่า Toyota ยกระดับกิจกรรมมอเตอร์สปอร์ทไปอีกขั้น ผ่านความร่วมมือระหว่างวิศวกรชาวไทย จาก Toyota Motor Asia (TMA) และทีมแข่ง Toyota Gazoo Racing Thailand ร่วมกันศึกษา และพัฒนาสมรรถนะรถในสนามแข่งจริง เราได้เตรียมรถทั้งหมด 4 รุ่น New Hilux Champ, New Hilux Revo GR Sport Wide Tread, Corolla Altis e-fuel, Yaris e-fuel เพื่อเข้าแข่งขันในรายการต่างๆ อาทิ Thailand Super Series, Asia Cross Country Rally และ Idemitsu Super Endurance โดยผลการศึกษาวิจัยรถ ภายใต้สภาวะแบบสุดขีดจากสนามแข่งจะถูกนำไปใช้ในการพัฒนารถยนต์ Toyota ในอนาคต เพื่อตอบโจทย์การใช้งานของลูกค้าคนไทยได้อย่างดีที่สุด
“ในส่วนของกิจกรรม Toyota Gazoo Racing Thailand 2024 เรายินดีที่จะมอบความสนุกสนานให้แก่บผู้ที่ชื่นชอบรถ และกีฬามอเตอร์สปอร์ท โดยจะจัดกิจกรรมในรูปแบบเฟสติวัล ซึ่งจะมีทั้งการแข่งขันรถยนต์ทางเรียบ One Make Race และกิจกรรม Entertainment มากมาย เริ่มจากการแข่งขัน One Make Race มีรถที่จะลงพิสูจน์สมรรถนะทั้งหมด 4 รุ่น ได้แก่ Yaris Ativ Lady One Make Race, Yaris One Make Race, New Hilux Revo One Make Race และ Corolla Altis GR Sport One Make Race เรายังคงมุ่งมั่นส่งเสริม ความเป็นกลางทางคาร์บอน ในกีฬามอเตอร์สปอร์ท โดยมีการเพิ่มรถแข่ง Yaris Ativ ที่ใช้น้ำมัน e-fuel ซึ่งจะขับโดย “น้องพิชชา มิย่า ทองเจือ” และยังมีนักแข่ง Toyota Gazoo Racing Star Team คนใหม่ “น้องป๊ายปาย โอริโอ้” Influencer ชื่อดังที่จะใช้รถ Yaris e-fuel ร่วมแข่งขันในรายการ Yaris OMR
ศุภกร กล่าวถึงกิจกรรมความบันเทิงในปีนี้ว่า นอกจากความเข้มข้นในสนามแข่งแล้ว แฟนๆ มอเตอร์สปอร์ทจะได้พบกับกิจกรรม GR Performance Show นำทีมโดยนักขับมืออาชีพระดับเอเชีย มาโชว์สมรรถนะของรถ ในรูปแบบ Drift และ Gymkhana และกิจกรรมไลฟ์สไตล์ใหม่ๆ อาทิ GR Night Festival ตลอดจนเหล่า influencer ชื่อดังมาช่วยสร้างสีสันในการแข่งขัน ณ สนามบางแสน ภูเก็ต และเชียงใหม่
นอกจากนี้ ขอเชิญชวนเยาวชนที่สนใจในกีฬามอเตอร์สปอร์ท ได้มีส่วนร่วม “เรายังร่วมกับ Toyota Motor Corporation สนับสนุนกีฬา e-Motorsports จัดการแข่งขันชิงแชมพ์ Toyota Gazoo Racing GT Cup 2024 ผ่านเกมแข่งรถชื่อดัง Gran Turismo 7 เฟ้นหาสุดยอดเยาวชนนักแข่งจากประเทศไทย ไปร่วมประลองฝีมือในเวทีระดับโลก เพื่อส่งเสริมการมีส่วนร่วมในกีฬามอเตอร์สปอร์ท ในโอกาสนี้ ผมขอเชิญชวนเหล่าเกมเมอร์สมัครเข้าร่วมแข่งขันได้ที่ Website: toyotagazooracing.com ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป และขอให้ทุกท่านร่วมกันเชียร์ นักกีฬา e-Motorsport ชาวไทยเพื่อเป็นตัวแทนในระดับเอเชียแปซิฟิค และระดับโลก
ExonMobil เผยทิศทางตลาด ปี 2567
บริษัท เอ็กซอนโมบิล มาร์เก็ตติ้ง (ประเทศไทย) จำกัด กางแผนธุรกิจปี 2567 รุกตลาดเมืองไทย ภายใต้แนวคิด “มั่นใจคุณภาพ มั่นใจทุกการเดินทาง” เสริมความแข็งแกร่งของผลิตภัณฑ์น้ำมันหล่อลื่น Mobil ที่คุณภาพสำคัญเหนือทุกสิ่ง หรือ Quality Wins ด้วย Mobil 1 และ Mobil Super รองรับความต้องการอันหลากหลายของผู้บริโภคในอุตสาหกรรมยานยนต์ ตั้งเป้าโต 10 % ในกลุ่มผลิตภัณฑ์เรือธง Mobil
มาโนช มั่นจิตจันทรา กรรมการ บริษัท เอ็กซอนโมบิล มาร์เก็ตติ้ง (ประเทศไทย) จำกัด และผู้จัดการฝ่ายขายผลิตภัณฑ์น้ำมันหล่อลื่น กล่าวว่า ในปัจจุบันมีรถยนต์ส่วนบุคคลที่วิ่งอยู่บนท้องถนนในประเทศไทยราว 20 ล้านคัน ภายใต้ความหลากหลายของยานพาหนะเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นรถยนต์นั่งส่วนบุคคล หรือรถกระบะขนส่งสินค้าที่ใช้งานหนัก และต้องพร้อมใช้งานอยู่ตลอดเวลา น้ำมันเครื่องเป็นหัวใจสำคัญที่จะทำให้เครื่องยนต์ของรถทำงานได้ต่อเนื่อง น้ำมันเครื่องที่ดีจึงต้องมีประสิทธิภาพในการปกป้องเครื่องยนต์ในทุกสภาวะการใช้งาน เสริมสมรรถนะเครื่องยนต์ ยืดอายุการใช้งาน และเพิ่มอัตราการประหยัดน้ำมันอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ยานพาหนะทำงานได้อย่างราบรื่น
สำหรับผลิตภัณฑ์น้ำมันหล่อลื่น Mobil อยู่คู่กับคนไทยมานานกว่า 90 ปี คำว่าคุณภาพไม่ได้เป็นเพียงมาตรฐาน แต่คือหลักการทำงานของเรา ความทุ่มเทในการมุ่งสู่ความเป็นเลิศ เป็นที่ประจักษ์ในทุกผลิตภัณฑ์ที่เราส่งมอบสู่ลูกค้า ตอกย้ำความเชื่อเรื่อง “คุณภาพสำคัญเหนือทุกสิ่ง” โดยในปีนี้เราตั้งเป้าดำเนินการภายใต้แนวคิด “มั่นใจคุณภาพ มั่นใจทุกการเดินทาง” เราอยากเป็นแบรนด์ที่ครองใจลูกค้าในเรื่องของคุณภาพ และนวัตกรรม ลูกค้าสามารถมั่นใจในผลิตภัณฑ์ของเราที่พิสูจน์ความสำเร็จมาอย่างยาวนาน”
“ด้วยคำมั่นสัญญาในคุณภาพ และนวัตกรรม เราใช้เทคโนโลยีของผลิตภัณฑ์ Mobil 1 ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ Mobil Super โดย Mobil 1™ ตอบโจทย์ผู้ขับขี่ที่มีรถเครื่องยนต์สมรรถนะสูง ส่วน Mobil Super ตอบโจทย์ผู้ขับขี่ที่ต้องการการปกป้องเครื่องยนต์ จากสภาพการขับขี่ที่ใช้งานหนัก เช่น รถพิคอัพ และรถเอสยูวี ทั้งนี้การรุกตลาดเพื่อขยายฐานลูกค้า ในปี 2567 เราวางแผนจะนำจุดเด่นของผลิตภัณฑ์ทั้งสองมาขยายฐานลูกค้า
มาโนช กล่าวเพิ่มเติมว่า บริษัทฯ ตั้งเป้าเติบโต 10 % ในส่วนของผลิตภัณฑ์เรือธง โดยเพิ่มยอดขายของ Mobil 1 และ Mobil Super ผ่านเครือข่ายพันธมิตรในการจำหน่ายผลิตภัณฑ์กว่า 700 แห่ง และศูนย์บริการบำรุงรักษารถยนต์มากกว่า 1,400 แห่ง ซึ่งรวมถึงเครือข่ายการดูแลรถยนต์ภายใต้แบรนด์ Mobil™ ศูนย์บริการบี-ควิก และ ออโต้วัน พร้อมตั้งเป้าเพิ่มจุดบริการ 30-50 แห่งในปีนี้ เพื่อการเข้าถึงที่มากขึ้นของลูกค้า
ตลอด 50 ปี Mobil 1 เป็นน้ำมันเครื่องสังเคราะห์แท้เจ้าแรกของโลก นับตั้งแต่เปิดตัวในปี 2517 ก็เป็นที่รู้จักในฐานะผู้นำในการสร้างความสำเร็จบนหน้าประวัติศาสตร์ของอุตสาหกรรมน้ำมันเครื่องอย่างต่อเนื่อง พิสูจน์ได้ผ่านความไว้วางใจจากทีมแข่งรถชั้นนำ เช่น Oracle Red Bull Racing, Porsche Racing, Red Bull KTM Factory Racing และทีมอื่นๆ อีกมากมาย นอกจากนี้ ยังได้รับความไว้วางใจจากพันธมิตรผู้ผลิตรถยนต์ชั้นนำให้ใช้กับรถยนต์สมรรถนะสูง เช่น Porsche
แบรนด์ Mobil ยังคงมุ่งมั่นพัฒนาผลิตภัณฑ์แห่งอนาคตเพื่อเทคโนโลยีเครื่องยนต์ยุคใหม่ และรถยนต์ไฟฟ้า เติบโตไปพร้อมกับอุตสาหกรรมยานยนต์ เพื่อตอบโจทย์การใช้งานใหม่ๆ ของทั้งผู้ขับขี่ เครื่องยนต์ยุคใหม่ และอุตสาหกรรมยานยนต์
“ตลอด 50 ปีที่ผ่านมา เราเชื่อว่าคำว่าคุณภาพสำคัญเหนือทุกสิ่ง และคำว่าคุณภาพ คือ พลังขับเคลื่อนสำคัญที่ทำให้เราพัฒนาน้ำมันทุกหยดให้ดีที่สุดเพื่อผู้ขับขี่ทุกคน และเรายังคงมาตรฐานคุณภาพของผลิตภัณฑ์ และพัฒนาต่อไป”