ธุรกิจ
ข่าวเด่นในรอบสัปดาห์
Mitsubishi Motors-กลุ่ม ปตท. ร่วมศึกษาธุรกิจยานยนต์ไฟฟ้า
Mitsubishi Motors Corporation (Mitsubishi Motors) และมิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย)ฯ (MMTH) ประกาศความร่วมมือกับ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (ปตท.) และบริษัท อรุณพลัส จำกัด (Arun Plus) แกนนำธุรกิจยานยนต์ไฟฟ้าของ ปตท. ร่วมกันศึกษาธุรกิจยานยนต์ไฟฟ้า XEV ตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ ทั้งการผลิตในประเทศไทย การขายภายในประเทศ และการส่งออกสู่ตลาดต่างประเทศ รวมถึงบริการที่เกี่ยวข้อง โดยมีเป้าหมายเพื่อสนับสนุนให้เกิดความเป็นกลางทางคาร์บอนในประเทศไทย
ด้วยประสบการณ์ และความชำนาญของ ปตท. ในฐานะผู้นำด้านธุรกิจ และอุตสาหกรรมพลังงานของประเทศไทย รวมถึงแนวคิดในการพัฒนาระบบนิเวศสำหรับยานยนต์ไฟฟ้า ประกอบกับการที่ Mitsubishi Motors มีแผนยุทธศาสตร์มุ่งส่งเสริมยานยนต์ไฟฟ้า Mitsubishi Motors จึงมองเห็นโอกาสที่จะริเริ่มความร่วมมือระหว่างกลุ่มบริษัท ซึ่งรวมไปถึงการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า XEV และธุรกิจบริการอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง
ทาคาโอะ คาโตะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Mitsubishi Motors Corporation ให้ความเห็นเกี่ยวกับความร่วมมือดังกล่าวว่า ประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่สำคัญที่สุดสำหรับยุทธศาสตร์การดำเนินงานในต่างประเทศของ Mitsubishi Motors โดยกว่า 60 ปีของการดำเนินธุรกิจในประเทศไทย เราได้มีส่วนร่วมในการพัฒนาเศรษฐกิจไทย ทั้งด้านการผลิตรถยนต์ การจำหน่ายในประเทศ และการส่งออก โดยหวังว่าความร่วมมือนี้จะผลิดอกออกผลเป็นความสำเร็จที่เราร่วมสร้างไปด้วยกัน เพื่อส่งเสริมประสบการณ์ที่ดี ด้วยการบริหารจัดการทรัพยากรที่ทั้ง 4 บริษัทนั้นมีพร้อมอยู่แล้ว ให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อความเจริญรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจของประเทศไทย และสอดคล้องกับนโยบายความเป็นกลางทางคาร์บอน
MG ศูนย์กลางผลิต และส่งออกยานยนต์ไฟฟ้าทั่วภูมิภาคอาเซียน
บริษัท เอสเอไอซี มอเตอร์-ซีพี จำกัด และบริษัท เอ็มจี เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิต และผู้จำหน่ายรถยนต์ MG ในประเทศไทย เผยความพร้อมในทศวรรษที่ 2 กับการเป็นศูนย์กลางการผลิตรถยนต์เพื่อจำหน่ายภายในประเทศ และส่งออกไปยังประเทศชั้นนำทั่วภูมิภาคอาเซียน ด้วยไลน์การผลิตที่ครบทุกรูปแบบการขับเคลื่อน กำลังการผลิตสูงสุด 100,000 คัน/ปี ด้วยงบลงทุนแล้วกว่า 30,000 ล้านบาท โดยสามารถผลิตได้ทั้งรถยนต์สันดาปภายใน รถยนต์พลังงานทางเลือก และล่าสุดด้วยการเพิ่มไลน์การผลิตรถอีวีนำร่องด้วย New MG4 Electric รุ่นประกอบในประเทศ พร้อมโรงงานแบทเตอรีอีวี รองรับการเติบโตอย่างรวดเร็วของการใช้รถอีวีในประเทศ และแถบภูมิภาคอาเซียน พร้อมเผยความคืบหน้าการพัฒนาพื้นที่ New Energy Industrial Park โดยพื้นที่ทั้งหมดได้เปิดใช้งานอย่างเต็มรูปแบบแล้ว และมีพาร์ทเนอร์บริษัทชั้นนำร่วมเข้ามาอยู่ในพื้นที่สำหรับพัฒนาชิ้นส่วนรถยนต์ MG สามารถกระจายรายได้สู่ภาคประชาชนด้วยการจ้างงานคนไทยคิดเป็นสัดส่วนกว่า 98 %
สุโรจน์ แสงสนิท รองประธานกรรมการบริหาร บริษัท เอสเอไอซี มอเตอร์-ซีพี จำกัด กล่าวว่า ประเทศไทยถือเป็นประเทศยุทธศาสตร์ที่ MG มุ่งมั่นเข้ามาดำเนินธุรกิจ และทำการตลาดในระยะยาว ด้วยความมั่นใจในศักยภาพของประเทศไทย ทั้งในแง่ของอัตราการเติบโต และการใช้งานรถภายในประเทศ ผนวกกับทำเลที่ตั้งที่มีโอกาส และความเป็นไปได้ในการส่งออกไปยังภูมิภาคอาเซียน MG จึงได้สร้างโรงงานผลิตรถยนต์แบบครบวงจร ตั้งอยู่ที่นิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเออีสเทิร์นซีบอร์ด 2 (WHA ESIE 2) จังหวัดชลบุรี ครอบคลุมพื้นที่ทั้งหมด 437.5 ไร่ โดยพื้นที่กว่า 300 ไร่ ใช้เป็นส่วนของโรงประกอบตัวถัง (Body Shop) โรงพ่นสีรถยนต์ (Paint Shop) โรงประกอบรถ (General Assembly Shop) อีกทั้งยังครอบคลุมในส่วนของคลังจัดเก็บอะไหล่เพื่อรองรับรถยนต์ของ MG ทุกรุ่น และล่าสุด เมื่อปี 2566 ที่ผ่านมา MG ได้ลงทุนครั้งใหญ่ในการพัฒนาพื้นที่ในส่วนที่เหลืออีกกว่า 137.5 ไร่ ให้เป็นส่วนของ New Energy Industrial Park เพื่อรองรับการเติบโตของรถอีวี และเติมเต็มระบบนิเวศยานยนต์ไฟฟ้าให้สมบูรณ์ตั้งแต่ต้นน้ำสู่ปลายน้ำ ซึ่งในส่วนที่พัฒนาใหม่นี้ ประกอบด้วย โรงประกอบแบทเตอรีอีวี และส่วนของพื้นที่สำหรับพัฒนาชิ้นส่วนเพื่อการประกอบรถยนต์ MG ร่วมกับพาร์ทเนอร์บริษัทชั้นนำ จึงทำให้ MG เป็นแบรนด์ที่สามารถผลิต และประกอบรถยนต์ได้ครบทุกรูปแบบการขับเคลื่อนจากฐานการผลิตภายในประเทศ กับกำลังการผลิตสูงสุด 100,000 คัน/ปี
“โรงงานการผลิต และประกอบรถยนต์ MG เป็นโรงงานที่มีการใช้นวัตกรรม และเทคโนโลยี อาทิ นวัตกรรมระบบอัตโนมัติ (Automations) หุ่นยนต์อัจฉริยะ (Intelligent Robotics) เพื่อช่วยอำนวยความสะดวกเพิ่มประสิทธิภาพ และความแม่นยำในไลน์การผลิต ผนวกกับทักษะความเชี่ยวชาญ และความชำนาญของบุคลากรในกระบวนการผลิต ซึ่งทำให้มีข้อได้เปรียบในกระบวนการการผลิตที่สามารถรองรับการผลิตรถยนต์ทุกรูปแบบการขับเคลื่อน ทั้งนี้ ในปีที่ผ่านมา MG ได้ลงทุนเพิ่ม และเริ่มเดินสายการผลิตรถอีวีภายในประเทศ โดยเป็นไปตามแผนงานการลงทุนของบริษัทแม่อย่าง SAIC Motor Corporation และสอดรับกับนโยบายอีวีของภาครัฐ ประเดิมการผลิตรถอีวีรุ่นแรกด้วย New MG4 Electric ซึ่งเป็นโกลบอลอีวีรุ่นยอดนิยมที่มียอดขายสะสมทั่วโลก ณ ปัจจุบัน มากกว่า 180,000 คัน
สายการผลิตที่ประเทศไทยจะประกอบด้วย New MG4 Electric รุ่น Standard Range และรุ่น Long Range ซึ่งได้เริ่มเดินสายการผลิตตั้งแต่เดือนมีนาคมที่ผ่านมา และได้ส่งมอบสู่ลูกค้าในช่วงเมษายนที่ผ่านมาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ในฐานะแบรนด์ ผู้บุกเบิกตลาดอีวี MG ไม่ได้ให้ความสำคัญแต่เพียงตัวรถอย่างเดียวเท่านั้น หากแต่เรายังขยายความแข็งแกร่งของระบบนิเวศยานยนต์ไฟฟ้าเพื่อรองรับการใช้งานรถอีวีในทุกมิติ เราจึงได้ลงทุนในส่วนของโรงงานแบทเตอรีอีวี ภายใต้ชื่อ HASCO-CP Battery Shop ซึ่งถือเป็นโรงงานแห่งแรกในภูมิภาคอาเซียน โดยแบ่งพื้นที่เป็น 2 ส่วนใหญ่ๆ ได้แก่ ส่วนการประกอบแบทเตอรี ประกอบด้วยสายการผลิตอัตโนมัติที่ทันสมัยอย่างการนำหุ่นยนต์ (Robotic) เข้ามาช่วยในการผลิตเพื่อให้ได้มาตรฐานที่แม่นยำ เทคโนโลยี AGV (Automated Guided Vehicle) ที่ใช้ในการกำหนดการเคลื่อนที่ของชิ้นงานตามเส้นทาง รวมถึงระยะเวลาการทำงาน และคุณภาพการผลิตที่แม่นยำ การเชื่อมโดยเลเซอร์ (Laser Welding) เพื่อให้ได้คุณภาพของการเชื่อมที่ดี การตรวจสอบด้วย CCD (Charge Coupled Device) เพื่อความแม่นยำในการตรวจสอบเทียบกับต้นแบบในทุกขั้นตอนก่อนนำไปประกอบใส่ในตัวรถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100 % และส่วนที่ 2 คือ ส่วนการทดสอบมาตรฐานของแบทเตอรีกว่า 60 ขั้นตอน ซึ่งได้รับรองคุณภาพ และการตรวจสอบภายใต้มาตรฐานยุโรป และเป็นไปตามมาตรฐานเดียวกันกับสายการผลิตระดับโลก โดยโรงงานแห่งนี้ สามารถประกอบแบทเตอรี Cell-To-Pack ได้สูงสุดมากกว่า 50,000 แพค/ปี และนำแบทเตอรีมาใช้ในการประกอบรถ New MG4 Electric เป็นที่เรียบร้อย”
สุโรจน์ กล่าวต่อว่า MG มีส่วนสำคัญในการพัฒนาบุคลากรเชิงเศรษฐกิจ โดยเฉพาะการจ้างงานภายในประเทศ มีอัตราการจ้างงานบุคลากรในหลายๆ ส่วน คิดเป็นสัดส่วนบุคลากรคนไทยในบริษัทฯ มากกว่า 98 % โดยมีบุคลากรทั้งสิ้นมากกว่า 1,000 คน ทั้งนี้ การพัฒนาพื้นที่ New Energy Industrial Park ซึ่ง MG ได้พัฒนาโครงการดังกล่าวขึ้นมาเพื่อรองรับการขยายตัวของอุตสาหกรรมยานยนต์ในไทย โดยเฉพาะการเติบโตของรถอีวีในอนาคต ภายในพื้นที่แห่งนี้ ยังมีส่วนของพื้นที่สำหรับพัฒนาชิ้นส่วนในการประกอบรถยนต์ MG ร่วมกับพาร์ทเนอร์บริษัทชั้นนำ เพื่อจะเติมเต็มความครบวงจร และความสมบูรณ์แบบของกระบวนการผลิต ซึ่งล่าสุดได้ดำเนินการก่อสร้างแล้วเสร็จ และเปิดใช้พื้นที่ทั้งหมดอย่างเต็มรูปแบบแล้ว
ทั้งหมดนี้ สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่น และความตั้งใจอย่างแท้จริงของ MG ในการดำเนินธุรกิจในประเทศไทย ด้วยเป้าหมายใหญ่เชิงมหภาคในการลงทุนระยะยาว เพื่อร่วมเดินหน้าผลักดันอุตสาหกรรมยานยนต์ ซึ่งเป็นหนึ่งอุตสาหกรรมหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ และบรรลุเป้าหมายของการเป็น “ศูนย์กลาง” การผลิตรถยนต์ และรถอีวีพวงมาลัยขวา เพื่อจัดจำหน่ายในประเทศ และส่งออกไปยังภูมิภาคอาเซียน และประเทศชั้นนำทั่วโลก
Porsche เผยยอดขายไตรมาสแรกพุ่ง 23 %
Porsche ประเทศไทย โดยเอเอเอส กรุ๊ป ผู้นำเข้า และตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ Porsche อย่างเป็นทางการแต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทย ประกาศผลประกอบการไตรมาสแรกปี 2567 ประสบความสำเร็จอย่างมาก โดยมียอดขายเพิ่มขึ้น 23 % เมื่อเปรียบเทียบจากยอดขายไตรมาสแรกในปีที่แล้ว สะท้อนให้เห็นถึงความมั่นใจ และความเชื่อมั่นที่ลูกค้ามีต่อ เอเอเอส กรุ๊ป
Peter Rohwer กรรมการผู้จัดการ Porsche ประเทศไทย โดย เอเอเอส กรุ๊ป กล่าวว่า ไตรมาสแรกของปี 2567 Porsche ทั่วโลกมียอดตัวเลขการส่งมอบอยู่ในระดับที่ดีอย่างต่อเนื่อง ซึ่งในตลาดต่างประเทศ และตลาดเกิดใหม่ (Overseas and Emerging Markets) มีการส่งมอบรถยนต์ให้แก่ลูกค้าจำนวน 14,895 คัน ซึ่งเพิ่มขึ้น 14 % และตลาดทั่วโลก Porsche Cayenne มียอดส่งมอบสูงสุดในไตรมาสแรก ถึง 28,025 คัน หรือเพิ่มขึ้น 20 % จากตัวเลขการเติบโตของตลาด Porsche ทั่วโลก พิสูจน์ได้ว่า รถยนต์ Porsche ได้ความนิยมจากผู้ใช้รถทั่วโลก รวมไปถึงตลาดในประเทศไทย Porsche ประเทศไทย เล็งเห็นถึงการเติบโตของตลาดรถยนต์ Porsche ที่ขยายอย่างต่อเนื่อง ทำให้บริษัท วางแผนที่จะขยายเพิ่มศูนย์บริการอีก 3 แห่ง ได้แก่ ศูนย์ Porsche กัลปพฤกษ์, ศูนย์ Porsche บางนา และศูนย์ Porsche พัทยา เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าของ Porsche ประเทศไทย พร้อมยืนหยัดมุ่งมั่นที่จะพัฒนาระบบการทำงาน และเทคโนโลยีที่ทันสมัย เพื่อให้ลูกค้าทุกท่านที่เลือกเราได้รับบริการที่รวดเร็ว มีประสิทธิภาพ และประทับใจ
"เรารู้สึกขอบคุณลูกค้าทุกท่านที่มอบความไว้วางใจให้แก่ Porsche ประเทศไทย มาโดยตลอด เราสัญญาว่าจะมุ่งมั่นพัฒนาสินค้า และบริการของเราให้ดียิ่งขึ้นอยู่เสมอ เพื่อมอบประสบการณ์การขับขี่ที่เหนือระดับแก่ลูกค้า ทั้งนี้บริษัทรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ประกาศผลประกอบการไตรมาสแรกของปี 2567 ซึ่งประสบความสำเร็จอย่างมาก"
ธนบดี กุลทล ผู้อำนวยการฝ่ายขาย Porsche ประเทศไทย โดย เอเอเอส กรุ๊ป กล่าวเพิ่มเติมว่า เรารู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งกับยอดขายที่เติบโตขึ้นอย่างมากตั้งแต่ปีที่แล้วต่อเนื่องมาถึงไตรมาสแรกของปีนี้ สะท้อนให้เห็นถึงความมั่นใจ และความเชื่อมั่นที่ลูกค้ามีต่อแบรนด์ Porsche ทั้งนี้ Porsche ประเทศไทย มุ่งมั่นที่จะมอบประสบการณ์การบริการที่ดีที่สุดแก่ลูกค้าของเรา ดังนั้น เราจึงตัดสินใจที่จะขยายศูนย์บริการเพิ่มเติมเพื่อรองรับความต้องการที่เพิ่มสูงขึ้น
เตรียมขยายศูนย์บริการเพิ่ม
Porsche ประเทศไทย มีแผนที่จะเปิดศูนย์บริการใหม่ 3 แห่ง ตั้งแต่ปี 2567 ได้แก่ ศูนย์ Porsche กัลปพฤกษ์, ศูนย์ Porsche บางนา และศูนย์ Porsche พัทยา ศูนย์บริการเหล่านี้จะช่วยให้ลูกค้าสามารถเข้าถึงบริการหลังการขายของ Porsche ได้สะดวก และรวดเร็วขึ้น “เรามั่นใจว่าการขยายศูนย์บริการครั้งนี้จะช่วยให้เราสามารถมอบบริการที่ดีที่สุดแก่ลูกค้าของเรา และในปีนี้ยังมีรถอีกหลากหลายรุ่นของ Porsche ที่เตรียมรอวางขาย ได้แก่ Macan BEV, Taycan, Panamera และ The New 911 เรามุ่งมั่นที่จะเป็นผู้นำด้านยานยนต์ และบริการครบวงจรในประเทศไทย และเราเชื่อมั่นว่า การขยายศูนย์บริการครั้งนี้จะเป็นอีกก้าวสำคัญสู่เป้าหมายของเรา
เป้าหมายปี 2567 Porsche ประเทศไทย จะขับเคลื่อนธุรกิจด้วยกลยุทธ์ที่ยั่งยืนโดยมีเป้าหมายหลัก 3 ประการ ได้แก่ การนำเสนอผลิตภัณฑ์ และบริการที่หลากหลาย ตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ ควบคู่ไปกับการดำเนินธุรกิจอย่างมีความรับผิดชอบต่อสังคม และสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้ บริษัทฯ มุ่งมั่นเป็นผู้นำด้านยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ในภูมิภาค รวมไปถึงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่รองรับการใช้งาน EV เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าในยุคปัจจุบัน
ปัจจุบัน Porsche ประเทศไทย มีตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ Porsche อย่างเป็นทางการ ทั้งหมด 4 แห่ง ได้แก่ Porsche Centre Bangkok และ Porsche Centre Pattankarn, Porsche Studio Siam Paragon และ Porsche Studio Bangkok Iconsiam ในเขตพื้นที่กรุงเทพฯ ซึ่งศูนย์บริการที่จะเปิดใหม่อีก 3 แห่ง ได้แก่ ศูนย์ Porsche กัลปพฤกษ์, ศูนย์ Porsche บางนา และศูนย์ Porsche พัทยา การขยายศูนย์บริการครั้งนี้ สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของ Porsche ประเทศไทย ในการนำเสนอผลิตภัณฑ์ และบริการที่เหนือระดับ ตอบสนองความต้องการของลูกค้า Porsche ทุกท่าน อย่างไรก็ตาม ศูนย์ Porsche บางนาจะพร้อมต้อนรับลูกค้าให้เข้ามาใช้บริการในช่วงปลายปีนี้
Mazda ประกาศผลการแข่งขันกอล์ฟสนามแรก
การแข่งขันกอล์ฟเยาวชนทัวร์นาเมนท์ระดับโลก Mazda AJGA Thailand Junior Championship 2024 เดินทางมาถึงวันสุดท้ายของการแข่งขัน เยาวชนทุกคนต่างมุ่งมั่นตั้งใจทำผลงานให้ออกมาดีที่สุด ผลัดกันขึ้นนำตั้งแต่วันแรกต้องลุ้นกันตลอด 3 วันของการแข่งขัน ประเภทเยาวชนหญิง และชายต่างขับเคี่ยวกันสุดมัน ท้ายที่สุดสาวน้อยจากไทยแลนด์ได้สร้างประวัติศาสตร์ด้วยผลงานอันยอดเยี่ยม วันสุดท้ายตีเข้ามาเพิ่ม 2 อันเดอร์พาร์ คว้าแชมพ์ประเภทเยาวชนหญิงไปครองสุดยิ่งใหญ่ ส่วนประเภทชาย หนุ่มน้อยจากเมืองเซี่ยงไฮ้ ประเทศจีน ตีวันสุดท้ายเข้ามาเพิ่ม 4 อันเดอร์พาร์ สกอร์รวม 10 อันเดอร์พาร์ ซิวแชมพ์ไปครอง คว้าตั๋วไปทัวร์ฯ ที่สหรัฐอเมริกา
ผลการแข่งขันกอล์ฟ Mazda AJGA Thailand Junior Championship 2024 จัดขึ้นระหว่างวันที่ 3-5 พฤษภาคม 2567 ณ สนามกอล์ฟ Lotus Valley Golf Resort จังหวัดฉะเชิงเทรา มีเยาวชนที่เดินทางมาจากทั่วโลกเข้าร่วมดวลวงสวิงในครั้งนี้ 135 คน โดยแชมพ์ประเภทเยาวชนหญิงตกเป็นของสาวน้อยจากกรุงเทพฯ กัลยรักษ์ พงศ์พิธานนท์ นักกอล์ฟจากประเทศไทย ทำสกอร์รวม 2 อันเดอร์พาร์ ส่วนแชมพ์ประเภทเยาวชนชาย นักกอล์ฟจากเมืองเซี่ยงไฮ้ ประเทศจีน Kaichen Xia ที่ทำสกอร์รวมดีที่สุด 10 อันเดอร์พาร์ เบียดเอาชนะหนุ่มน้อยจากเกาหลีที่ขึ้นนำในวันแรก 4 อันเดอร์พาร์ ซึ่งในจำนวนทอพ 5 ทั้ง 2 ประเภท รวมจำนวน 10 คน มีนักกอล์ฟเยาวชนจากประเทศไทยขึ้นโพเดียมถึง 7 คน แสดงให้เห็นถึงขีดความสามารถของเยาวชนไทยที่ฝากผลงานเป็นที่ประจักษ์ พร้อมก้าวสู่เส้นทางนักกอล์ฟมืออาชีพในอนาคต
ผลการแข่งขันประเภทเยาวชนชาย
1. Kaichen Xia จีน ทำสกอร์รวม -10 อันเดอร์พาร์
2. Ajalawich Anantasetthakul ไทย ทำสกอร์รวม -4 อันเดอร์พาร์
3. Sivawong Aukrawat ไทย ทำสกอร์รวม -4 อันเดอร์พาร์
4. Jae Min Park เกาหลีใต้ ทำสกอร์รวม -4 อันเดอร์พาร์
5. Teerawut Boonseeor ไทย ทำสกอร์รวม -2 อันเดอร์พาร์
ผลการแข่งขันประเภทเยาวชนหญิง
1. Kanyarak Pongpitthanon ไทย ทำสกอร์รวม -2 อันเดอร์พาร์
2. Kritchanya Kaopattanakul ไทย ทำสกอร์รวม -1 อันเดอร์พาร์
3. Parat Sukanant ไทย ทำสกอร์รวม E อีเวนพาร์
4. Teemapat Pateetin ไทย ทำสกอร์รวม +1 โอเว่อร์พาร์
5. An Le Chuc เวียดนาม ทำสกอร์รวม +1 โอเวอร์พาร์
ธีร์ เพิ่มพงศ์พันธ์ รองประธานบริหารอาวุโส บริษัท มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า การแข่งขันในสนามแรกประสบความสำเร็จอย่างงดงามได้รับความสนใจจากเยาวชน และผู้ปกครองจากทั่วโลก เพื่อต้องการสมัครเข้าร่วมการแข่งขันในครั้งนี้อย่างล้นหลาม Mazda ขอแสดงความยินดีกับนักกอล์ฟเยาวชนไทย และเยาวชนจีนทั้ง 2 คน ที่พิชิตแชมพ์การแข่งขันในครั้งนี้ และคว้าสิทธิ์เดินทางไปเล่นทัวร์นาเมนท์ที่สหรัฐอเมริกา และขอขอบคุณเยาวชนทุกคนที่เข้าร่วมการแข่งขัน แม้จะยังไม่ประสบความสำเร็จตามที่ตั้งใจ อย่างน้อยที่สุดทุกคนได้ประสบการณ์จากการลงเล่นในทัวร์นาเมนท์ใหญ่ระดับนานาชาติ และขอให้ทุกคนมุ่งมั่นไม่ย่อท้อต่ออุปสรรคเฉกเดียวกับชาว Mazda ขอให้มุ่งมั่นตั้งใจฝึกซ้อม เพื่อโอกาสในการคว้าแชมพ์ในสนามหน้าที่กำลังจะจัดขึ้นในเดือนพฤศจิกายน 2567 นี้ ทั้งนี้ทางผู้จัดการแข่งขันเตรียมเปิดรับสมัครในเร็วๆ นี้
Suzuki จัดกิจกรรม “Suzuki Carry X TheNailBakery On The Road”
วัลลภ ตรีฤกษ์งาม รองประธานกรรมการบริหาร บริษัท ซูซูกิ มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า Suzuki Carry รถกระบะบรรทุกอเนกประสงค์เพื่อการพาณิชย์ขนาดย่อม จะถูกจดจำในฐานะ “Food Truck” มายาวนานมากกว่า 10 ปี ธุรกิจติดล้อที่ใช้การตลาดเชิงรุกในการเข้าหาผู้บริโภคจนกลายเป็นขวัญใจผู้ประกอบการที่ต้องการอิสระในการเดินตามความฝันและต้องการมีธุรกิจเป็นของตัวเอง ด้วยแนวคิด “Carry Your Dream เคียงข้างทุกเส้นทางฝัน” ยังคงเป็นดีเอนเอที่ชัดเจนของ Suzuki Carry เพราะไม่ว่าความฝันของคุณจะเป็นอย่างไร หรืออยู่ท่ามกลางวิกฤตการณ์แบบไหน Suzuki Carry พร้อมจะเป็นยานพาหนะที่อยู่เคียงข้างร่วมฝ่าวิกฤตในทุกสถานการณ์
Suzuki Carry รถกระบะบรรทุกอเนกประสงค์ นับตั้งแต่เปิดตัวเป็นครั้งแรกในประเทศไทยเมื่อปี 2006 ก่อนจะแนะนำ Suzuki Carry เจเนอเรชันที่ 2 ออกมาเมื่อปี 2019 ยังคงได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี สามารถสร้างยอดขายรวมล่าสุด จนถึงปัจจุบัน ไปได้มากถึง 61,380 คัน
ด้วยความอเนกประสงค์ของ Suzuki Carry ที่สามารถนำไปดัดแปลง และตกแต่งเพื่อใช้งานได้อย่างหลากหลาย จึงทำให้กลายเป็นสัญลักษณ์สำคัญของกลุ่มธุรกิจ SME โดยล่าสุด Suzuki ได้นำเสนอแนวคิดธุรกิจ “ร้านทำเล็บเคลื่อนที่” โดยได้จับมือกับร้าน TheNailBakery เนรมิตรถยนต์ Suzuki Carry ให้เป็นร้านทำเล็บที่สามารถต่อยอดธุรกิจ หรือเป็นไอเดียให้แก่คนที่ต้องการมีอาชีพ และทำธุรกิจเป็นของตัวเอง ซึ่งหลังจากนำรุ่นต้นแบบมาจัดแสดงมีกลุ่มลูกค้าที่สนใจอย่างต่อเนื่อง
ด้วยความร่วมมือจากร้าน TheNailBakery จึงเกิดไอเดียในการตกแต่งที่คำนึงถึงงานบริการลูกค้าเป็นสำคัญ มุ่งเน้นการมอบประสบการณ์การทำเล็บที่สะดวกสบาย และมีคุณภาพ ด้วยการจัดแบ่งโซนพื้นที่ใช้สอยอย่างเต็มประสิทธิภาพ ด้วยการจัดพื้นที่เป็นโซนทำเล็บ สามารถรองรับลูกค้าพร้อมกันได้ 2 ท่าน ออกแบบโซฟา และโต๊ะทำเล็บแบบ customization สามารถเคลื่อนย้าย เพื่อปรับเปลี่ยนตามการจัดวาง อีกโซน คือ การทำเคาน์เตอร์ และส่วนจัดเก็บอุปกรณ์ของใช้ในร้านไว้อย่างลงตัว โดยสามารถใช้งานได้จริงในทุกพื้นที่
สำหรับภายนอกตัวรถออกแบบในสไตล์ Homey friendly นอกจากการเลือกสีสันให้มีความน่ารักสดใส ยังออกแบบ และติดตั้งผ้าใบกันร้อนที่สามารถยืด และขยายได้ เพื่อให้ลูกค้ารู้สึกถึงความสะดวกสบายเวลาเข้ามาใช้บริการ ทั้งยังเลือกใช้วัสดุที่เน้นการดูแลรักษาง่าย และราคาไม่แพงในการตกแต่ง เน้นความคุ้มค่า และควบคุมต้นทุนให้ไม่สูงเกินไปสำหรับการทำธุรกิจ
เหตุผลที่ผู้ประกอบการร้าน TheNailBakery เลือกใช้ Suzuki Carry เป็นพาร์ทเนอร์ในการทำธุรกิจร้านทำเล็บเคลื่อนที่ ด้วยดีไซจ์นที่ออกแบบกระบะบรรทุกแบบเรียบสามารถดัดแปลง และปรับใช้ได้ตรงตามความต้องการได้อย่างลงตัว รวมถึงขนาดตัวรถยนต์ Suzuki Carry มีความกะทัดรัด ทำให้มีความคล่องตัวในการขับขี่ สามารถนำไปจอดให้บริการลูกค้าในพื้นที่ที่มีเงื่อนไขจำกัดได้เป็นอย่างดี อีกทั้ง Suzuki Carry ในรุ่นมาตรฐานยังมีราคาที่เหมาะสม และคุ้มค่า ไม่ต้องเติมแต่งอะไรเพิ่มเติม ก็สามารถใช้ขนย้ายสินค้าได้อย่างคล่องแคล่วว่องไว และรองรับน้ำหนักได้มาก จึงประหยัดทั้งเวลา และค่าใช้จ่ายในการขนส่ง ทำให้ควบคุมต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ทั้งนี้ เพื่อสานต่อไอเดียธุรกิจดังกล่าวสำหรับผู้ที่สนใจ Suzuki เดินหน้าร่วมมือกับร้าน TheNailBakery จัดกิจกรรมพิเศษ “Suzuki Carry X TheNailBakery On The Road” โดยเตรียมนำรถทำเล็บเคลื่อนที่คันที่จัดแสดงภายในงาน ออกไปให้บริการแก่ลูกค้าที่สนใจ โดยจะมีสถานที่ และช่วงเวลาในการให้บริการ 2 แห่ง คือ
1. วันที่ 11 พฤษภาคม-6 มิถุนายน 2567
ร้านกาแฟ F.I.X. Pradiphat ถนนประดิพัทธ์ ซอย 17
แผนที่ https://maps.app.goo.gl/7NtDLzBYiE6pkJyy7
2.วันที่ 9-30 มินายน 2567
ร้านกาแฟ F.I.X. Bangna - Brunch & Play ซอยเมืองแก้ว 2 ถนนบางนา-ตราด
แผนที่ https://maps.app.goo.gl/9c55suGeiQD8P8Kx5 จะนำรถทำเล็บเคลื่อนที่ไปให้บริการในช่วง
วัลลภ กล่าวเพิ่มเติมว่า กิจกรรมที่จัดขึ้นในครั้งนี้ ต้องการเป็นส่วนหนึ่งในการนำเสนอไอเดียธุรกิจที่คุณสามารถเป็นเจ้าของเองได้ทั้งรูปแบบส่วนตัว หรือจะนำไปพัฒนาต่อยอดขยายเป็นฟแรนไชส์ ด้วยแนวคิด “Carry Your Dream เคียงข้างทุกเส้นทางฝัน” ยังคงเป็นดีเอนเอที่ชัดเจนของ Suzuki Carry เพราะไม่ว่าความฝันของคุณจะเป็นอย่างไร หรืออยู่ท่ามกลางวิกฤตการณ์แบบไหน Suzuki Carry ก็พร้อมจะเป็นยานพาหนะที่อยู่เคียงข้างร่วมฝ่าวิกฤตในทุกสถานการณ์ พร้อมเป็น Goods Truck ที่เสมือนพาร์ทเนอร์คนสำคัญในการสนับสนุน และร่วมขับเคลื่อนอยู่เคียงข้างผู้ใช้ด้วยความจริงใจ เดินหน้าไปสู่จุดหมาย และประสบความสำเร็จไปด้วยกัน ซึ่งสอดคล้องกับปรัชญาการดำเนินธุรกิจภายใต้แนวคิด “Suzuki Cause We Care-เหนือกว่าความใส่ใจ คือ ความเข้าใจทุกความต้องการ” ซึ่งเป็นโครงการที่ Suzuki ต้องการที่จะสื่อสารกับลูกค้าทั้งด้านสินค้า และงานบริการในยุคที่การสื่อสาร และการรับรู้ข้อมูลข่าวสารรวดเร็ว และไร้ขีดจำกัด ทั้งนี้ก็เพื่ออำนวยความสะดวกได้อย่างทันท่วงที และมอบบริการที่ดีที่สุดให้แก่ลูกค้าทุกท่าน รวมถึงส่งมอบประสบการณ์ที่ดีในสินค้า และบริการของ Suzuki สู่ลูกค้าต่อไป อีกทั้งเราหวังเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยเหลือสังคมพร้อมกับการพัฒนาธุรกิจควบคู่ไปกับการอยู่คู่เคียงข้างชุมชน และสังคมไทยอย่างยั่งยืนอีกด้วย
สำหรับลูกค้าที่สนใจ Suzuki Carry ด้วยราคาจำหน่ายเพียง 395,000 บาท (ราคารุ่นมาตรฐานไม่รวมอุปกรณ์ตกแต่ง) เรายังได้จัดแคมเปญพิเศษ ด้วยข้อเสนอส่วนลดอุปกรณ์ตกแต่งมูลค่ารวมสูงสุด 20,000 บาท หรือเลือกรับดอกเบี้ยพิเศษเริ่ม 1.99 % นานสูงสุด 60 เดือน หรือรับข้อเสนอผ่อนเริ่มต้นวันละ 222 บาท พร้อมฟรี ประกันภัยชั้นหนึ่งปีแรก สามารถติดต่อสอบถามรายละเอียดแคมเปญพิเศษได้ที่โชว์รูมรถยนต์ Suzuki 103 แห่งทั่วประเทศ เรามีที่ปรึกษาการขายพร้อมบริการให้คำปรึกษาเกี่ยวกับการออกแบบ และตกแต่ง Suzuki Carry นอกจากนั้น Suzuki ยังได้ร่วมมือกับสถาบันการเงินชั้นนำเข้ามาร่วมเป็น Suzuki Exclusive Leasing พร้อมทีมงานให้คำปรึกษาทางด้านสินเชื่อ เพื่ออำนวยความสะดวกในการดูแลเรื่องภาระค่าใช้จ่ายให้สามารถเป็นเจ้าของรถรุ่นนี้ได้โดยง่ายอีกด้วย
OR เผยผลประกอบการไตรมาสแรก 2567
OR เผยผลการดำเนินงานไตรมาส 1 ปี 2567 มี EBITDA จำนวน 6,173 ล้านบาท เพิ่มขึ้นกว่า 100 % จากไตรมาสก่อน โดยเพิ่มขึ้นจากทุกกลุ่มธุรกิจ และมีกำไรสุทธิ 3,723 ล้านบาท เพิ่มขึ้นกว่า 100 % จากไตรมาสก่อน คิดเป็นกำไรต่อหุ้น 0.31 บาท พร้อมเดินหน้าสู่การเป็น Data-Driven Organization ด้วยระบบ SAP S/4HANA เทคโนโลยี และนวัตกรรมใหม่ล่าสุดที่รวมฟังค์ชันในการบริหารจัดการธุรกิจพลังงาน และค้าปลีกไว้ด้วยกันเข้ามาใช้เป็นที่แรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ดิษทัต ปันยารชุน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานของ OR ในไตรมาสแรกของปี 2567 มีกำไรสุทธิ จำนวน 3,723 ล้านบาท ปรับตัวดีขึ้นจากไตรมาสก่อนกว่า 100 % โดยคิดเป็นกำไรต่อหุ้น 0.31 บาท สำหรับ EBITDA ในไตรมาส 1 อยู่ที่ 6,173 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3,650 ล้านบาท หรือกว่า 100 % เมื่อเทียบกับไตรมาส 4 ปี 2566 โดยเพิ่มขึ้นจากทุกกลุ่มธุรกิจ ซึ่งกลุ่มธุรกิจ Mobility จากภาพรวมกำไรขั้นต้นเฉลี่ยต่อลิตรที่ดีขึ้น เช่นเดียวกับกลุ่มธุรกิจ Global ที่กำไรขั้นต้นเฉลี่ยต่อลิตรฟื้นตัวในประเทศฟิลิปปินส์ สำหรับกลุ่มธุรกิจ Lifestyle เพิ่มขึ้นทั้งธุรกิจค้าปลีกอาหาร และเครื่องดื่ม และกลุ่มธุรกิจค้าปลีกอื่น และภาพรวมของค่าใช้จ่ายดำเนินงานสุทธิลดลง
ทั้งนี้ ในไตรมาส 1 ที่ผ่านมา OR เสริมความแข็งแกร่งของธุรกิจไลฟ์สไตล์อย่างต่อเนื่อง เดินหน้ารุกธุรกิจสุขภาพ และความงาม (Health & Beauty) โดยร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจทั้งใน และต่างประเทศ ทั้งจากประเทศญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ และจะเปิดตัวร้านสาขาแรกในเร็วๆ นี้ นอกจากนี้ OR ยังมุ่งมั่นในการปรับทิศทางการดำเนินธุรกิจสู่การเปลี่ยนผ่านสู่สังคมคาร์บอนต่ำผ่านทางพแลทฟอร์มต่างๆ ของ OR ซึ่งครอบคลุมทั้งในกลุ่มธุรกิจ Mobility และกลุ่มธุรกิจ Lifestyle เพื่อมุ่งสู่เป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอนในปี 2030 และ Net Zero ปี 2050 ไม่ว่าจะเป็นการบุกเบิกด้านพลังงานแห่งอนาคตเพื่อตอบโจทย์การเปลี่ยนผ่านของการใช้พลังงาน การพัฒนา Platform แห่งอนาคต เพื่อรองรับการเปลี่ยนผ่านทางพลังงาน และการใช้ชีวิตที่หลากหลาย และการผลักดันให้ห่วงโซ่คุณค่าของธุรกิจสู่ความเป็น Green ตลอดทั้งระบบนิเวศของ OR
นอกจากนี้ OR ยังได้รับการจัดอันดับเครดิทองค์กรที่ระดับ “AA+” จาก Tris Rating (TRIS) ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิทคงที่ (Stable) ต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 สะท้อนความสำเร็จด้วยผลการดำเนินงานที่โดดเด่น และฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่งอีกด้วย และในปีนี้ บริษัท ปลูกผักเพราะรักแม่ จำกัด (มหาชน) หรือ OKJ ซึ่ง OR เป็นผู้ถือหุ้น 20 % ได้ยื่นแบบแสดงรายการข้อมูล และร่างหนังสือขี้ชวน (Filing) ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (สำนักงาน กลต.) เพื่อเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนต่อประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการเติบโต และความสำเร็จของพันธมิตรทางธุรกิจของ OR โดยใช้ศักยภาพที่ OR มีร่วมกับพันธมิตรที่มีศักยภาพในการสร้างโอกาสทางธุรกิจร่วมกัน สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของ OR “เติมเต็มโอกาส เพื่อทุกการเติบโต ร่วมกัน” “Empowering All toward Inclusive Growth”
ล่าสุด OR ได้นำระบบ SAP S/4HANA เข้ามาส่งเสริมศักยภาพการทำงานทั้งภายในองค์กร และพันธมิตรทางธุรกิจ เพื่อเติบโตร่วมกันอย่างยั่งยืน และได้เริ่มใช้งานอย่างเป็นทางการไปเมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 2567 ที่ผ่านมา นับเป็นก้าวสำคัญสำหรับ Digital Transformation Journey ของ OR ที่ช่วยขับเคลื่อนการทำธุรกิจขององค์กรด้วยข้อมูล (Data-Driven Organization) ถือเป็นสร้างประวัติศาสตร์ในการนำนวัตกรรมใหม่ล่าสุดของ SAP ที่รวมฟังค์ชันในการบริหารจัดการธุรกิจพลังงาน และค้าปลีกไว้ด้วยกันเข้ามาใช้เป็นประเทศแรกในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพิ่มความสามารถทางการแข่งขัน รองรับการเติบโตทางธุรกิจในอนาคตอย่างยั่งยืน
กรมการขนส่งทางบก ย้ำเตือนผู้ใช้รถใช้ถนนเพิ่มความระมัดระวังในการขับขี่ในช่วงหน้าฝน
เสกสม อัครพันธุ์ รองอธิบดีกรมการขนส่งทางบก และโฆษกกรมการขนส่งทางบก เปิดเผยว่า ช่วงเดือนพฤษภาคมของทุกปีประเทศไทยจะเข้าสู่ช่วงฤดูฝน ส่งผลทำให้มีฝนตกหนัก และอาจเกิดน้ำท่วมสูงในหลายพื้นที่ การขับรถในสภาพถนนที่เปียกลื่น หรือมีน้ำท่วมขัง ทำให้ประสิทธิภาพในการทรงตัว และยึดเกาะถนนของรถลดลง รวมถึงทัศนวิสัยในการมองเห็นเส้นทางไม่ชัดเจน กรมการขนส่งทางบก ย้ำ !!! ผู้ใช้รถใช้ถนนให้เพิ่มความระมัดระวังในการขับขี่ในช่วงหน้าฝน โดยมีข้อแนะนำ ดังนี้ ผู้ขับขี่ต้องใช้ความเร็วให้เหมาะสมกับทัศนวิสัยการมองเห็น และตามสภาพถนน และต้องหมั่นสังเกตสภาพถนนให้มากขึ้น เพราะเมื่อฝนตกหนักนอกจากถนนเปียกลื่นแล้วยังอาจมีน้ำขังบนพื้นผิวจราจร หากขับรถด้วยความเร็วสูง เมื่อยางวิ่งบนน้ำที่ขังบนพื้นผิวจราจร อาจทำให้รถเกิดอาการเหินน้ำ จนไม่สามารถควบคุมรถ ซึ่งเป็นสาเหตุให้เกิดอุบัติเหตุที่รุนแรงได้ เปิดที่ปัดน้ำฝน โดยปรับระดับความเร็วตามปริมาณของฝนที่ตกลงมา เว้นระยะห่างจากรถคันหน้ามากกว่าปกติ เพื่อให้มีระยะเบรคมากขึ้น เปิดไฟหน้ารถทันทีเมื่อฝนตกหนัก เพื่อให้รถคันอื่นมองเห็นได้ชัดเจน หากมีความจำเป็นต้องขับขี่บริเวณที่น้ำท่วมขังให้สังเกตระดับความลึกจากรถคันหน้า หรือขอบทางเท้า สำหรับรถจักรยานยนต์ หากฝนตกหนักควรหาที่จอดรถที่เหมาะสม และปลอดภัย และรอจนฝนเบาลงก่อนจึงเดินทางต่อ กรณีที่เกิดเหตุฉุกเฉินรถเสีย ประสบอุบัติเหตุ จำเป็นต้องจอดข้างทาง พยายามเคลื่อนรถให้พ้นทางเดินรถ ถ้าจำเป็นต้องจอดในทางเดินรถ ควรจอดในลักษณะที่ไม่กีดขวางการจราจร จอดรถให้ชิดไหล่ทางมากที่สุด เปิดสัญญาณไฟฉุกเฉิน หรือเปิดไฟเหลืองกะพริบ เพื่อเตือนให้ผู้ขับขี่รถคันอื่นมองเห็นได้ชัดเจน
แนะนำให้ผู้ขับขี่หมั่นตรวจสอบความพร้อมของรถอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะที่ปัดน้ำฝน สภาพยางปัดน้ำฝนต้องสามารถรีดน้ำบนกระจกได้ดี เพื่อทัศนวิสัยในการมองเห็นที่ชัดเจนขณะขับรถในช่วงฝนตก สภาพยางรถต้องมีสภาพดี ไม่มีรอยฉีกขาด บวม ดอกยางต้องไม่สึกหรอ หรือแข็งกระด้าง มีความลึกพอที่จะสามารถยึดเกาะถนน และรีดน้ำได้เป็นอย่างดี รวมทั้งตรวจเชคระบบเบรคซึ่งต้องสามารถหยุดรถได้ในระยะทางที่ปลอดภัย หากมีเสียงดังขณะเหยียบเบรค รถมีอาการปัด เหยียบแป้นเบรคไม่ลง หรือมีสัญลักษณ์ไฟระบบเบรคค้างบนหน้าปัด ควรนำรถเข้าตรวจเชคสภาพโดยให้ช่างตรวจสอบระบบเบรคเพื่อความปลอดภัย และเชคระบบไฟรถยนต์ โดยต้องมีแสงไฟส่องสว่างทุกดวง และสามารถให้แสงสัญญาณได้ซึ่งจะช่วยเพิ่มความปลอดภัยในการเดินทาง และลดความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุทางถนนในช่วงฝนตก
CUB House เปิดตัว Honda Dax125 สีน้ำเงินใหม่
CUB House by Honda เปิดตัว Honda Dax125 สีน้ำเงินใหม่ Pearl Glittering Blue มาพร้อมคอนเซพท์ ON Dax WAY ฉีกจัดในแบบ Dax สะท้อนความเท่ที่ไม่ซ้ำใครในเฉดสีน้ำเงินกลิทเตอร์สุด Iconic โดดเด่นสะดุดตา เสริมความพรีเมียมด้วย ST125 Soft Emblem สัญลักษณ์รูปน้องหมาดัชชุนที่เป็นเอกลักษณ์ และโลโก Honda สีแดงสุดคลาสสิค ฉีกสไตล์ไม่ซ้ำใคร พร้อมวางจำหน่ายแล้ววันนี้
Honda Dax125 คงความเป็นเอกลักษณ์รถมีนีไบค์ปี 1960 ด้วยรูปทรง T-Bone และเบาะตอนเดียวแบบ 2 ที่นั่ง สไตล์วินเทจ ควบคู่ไปกับไฟหน้าทรงกลมที่มาพร้อมเทคโนโลยีไฟแบบ Full LED รอบคัน พร้อมกับท่อไอเสียแบบยกสูงคงความคลาสสิคแบบคูล
Honda Dax125 บิดสนุกเร้าใจด้วยเครื่องยนต์ 125 ซีซี ระบบเกียร์วน 4 จังหวะ ให้การขับขี่ที่ง่าย และสนุก มั่นใจด้วยดิสค์เบรคหน้า-หลัง และระบบเบรคแบบ ABS ป้องกันการลอคของล้อหน้า ชอคอับด้านหน้าสีเงินแบบหัวกลับ และชอคอับด้านหลังแบบสปริงคู่ รองรับน้ำหนัก และซับแรงกระแทกได้เป็นอย่างดี พร้อมออกไปฉีกในทุกเส้นทาง
Honda Dax125 สีน้ำเงินใหม่ (Pearl Glittering Blue) วางจำหน่ายพร้อมกับสีเทา (Pearl Cadet Gray) ในราคาแนะนำที่ 84,900 บาท ที่ CUB House Flagship Store 15 สาขาทั่วประเทศ