ธุรกิจ
ข่าวเด่นในรอบสัปดาห์
Great Wall Motor จับมือ EVme เปิดขายรถยนต์ไฟฟ้ารูปแบบใหม่
Great Wall Motor เดินหน้าเติมเต็มระบบนิเวศยานยนต์ไฟฟ้าในสังคมไทยอย่างต่อเนื่อง ด้วยการลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) ร่วมกับ บริษัท อีวี มี พลัส จำกัด หรือ EVme พแลทฟอร์มผู้ให้บริการยานยนต์ไฟฟ้า (EV) แบบครบวงจรชั้นนำของประเทศไทย เปิด Virtual Platform ขยายช่องทางการจัดจำหน่าย และการปล่อยเช่ารถยนต์พลังงานไฟฟ้าของ Great Wall Motor ให้ชาวไทยทั่วประเทศได้สัมผัสรถยนต์พลังงานไฟฟ้าที่เต็มเปี่ยมไปด้วยคุณภาพ และประสิทธิภาพได้มากยิ่งขึ้น ชูความแข็งแกร่งของ Great Wall Motor ในฐานะแบรนด์ที่เชื่อมต่อประสบการณ์ผู้บริโภคแบบ O2O (Online-to-Offline) ได้อย่างเป็นรูปธรรม ตอกย้ำเจตจำนงในการยืนหยัดส่งมอบรถยนต์พลังงานใหม่ ภายใต้ "นโยบายราคาเดียว" หรือ "One Price Policy" เพื่อให้มั่นใจได้ว่าลูกค้าทั่วไทยจะได้รับรถยนต์พลังงานใหม่จาก Great Wall Motor ที่คุ้มค่าคุ้มราคาในทุกช่วงเวลา สะท้อนการมีส่วนร่วมในการผลักดันประเทศไทยให้ก้าวสู่การเป็นผู้นำด้านยานยนต์ไฟฟ้าอย่างเต็มรูปแบบ ตอกย้ำการก้าวขึ้นสู่การเป็น 1 ใน 3 ของแบรนด์ผู้นำด้านยานยนต์พลังงานไฟฟ้า หรือ XEV Leader ในประเทศไทย ภายในระยะเวลา 3 ปี หรือ Top 3 in 3
ณรงค์ สีตลายน กรรมการผู้จัดการ Great Wall Motor (ประเทศไทย) กล่าวว่า การร่วมมือกันระหว่าง Great Wall Motor และ EVme นับว่าเป็นอีกก้าวสำคัญของ Great Wall Motor ในการต่อยอดการดำเนินธุรกิจรูปแบบใหม่ เพื่อให้ลูกค้าสามารถเข้าถึงรถยนต์ไฟฟ้าของเราได้มากยิ่งขึ้น โดยการผนึกกำลังของทั้ง 2 บริษัทฯ นับว่าเป็นการนำความแข็งแกร่งของการเป็นผู้นำด้านยานยนต์ไฟฟ้าของ Great Wall Motor และพแลทฟอร์มผู้ให้บริการยานยนต์ไฟฟ้าแบบครบวงจรชั้นนำของประเทศไทยของ EVme เข้าไว้ด้วยกัน เพื่อร่วมกันส่งมอบรถยนต์พลังงานไฟฟ้าที่มีคุณภาพสู่มือแฟนๆ ชาวไทยได้สะดวกมากยิ่งขึ้น ซึ่งความร่วมมือในครั้งนี้จะมีพแลทฟอร์มของ EVme และแอพพลิเคชันของ GWM เป็นหัวใจหลักในการเชื่อมต่อประสบการณ์ จากแนวคิดของ Great Wall Motor ในการสร้างรูปแบบการดำเนินธุรกิจแบบใหม่เข้ามาสู่ประเทศไทยเชื่อมต่อประสบการณ์ผู้บริโภคแบบ O2O (Online-to-Offline) ประกอบกับจุดเด่นของ EVme ที่นับว่าเป็นพันธมิตรทางธุรกิจด้านยานยนต์ไฟฟ้าที่แข็งแกร่ง ทำให้วันนี้เราภูมิใจที่จะเพิ่มช่องทางการจัดจำหน่ายในรูปแบบ Virtual Platform ที่มีศักยภาพสูง และมีความใกล้ชิดกับลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย เราเชื่อมั่นว่า EVme และ Great Wall Motor จะร่วมสร้างความสำเร็จ และการเติบโตให้แก่ ORA ผลิตภัณฑ์รถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100 % ของเราได้อย่างแน่นอน ยิ่งไปกว่านั้น Great Wall Motor ยังคงยึดมั่นในการใช้ "นโยบายราคาเดียว" ในทุกช่องทางการจัดจำหน่าย เพื่อส่งมอบรถยนต์พลังงานไฟฟ้าที่มีคุณภาพพร้อมราคาที่มีความคุ้มค่า และสมเหตุสมผลให้แก่ลูกค้าทั่วประเทศอีกด้วย ในอนาคต Great Wall Motor จะยังคงมุ่งสร้างประสบการณ์ใหม่ๆ ให้แก่ลูกค้าอย่างต่อเนื่อง ผ่านการดำเนินธุรกิจในรูปแบบต่างๆ ที่หลากหลาย เพื่อตอกย้ำความพร้อมในการขึ้นสู่การเป็นผู้นำด้านยานยนต์ไฟฟ้า (XEV Leader) ในไทยอย่างมั่นคง และเป็นรูปธรรม
สุวิชชา สุดใจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการ บริษัท อีวี มี พลัส จำกัด กล่าวว่า เรามีความยินดีอย่างยิ่งที่ได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนสังคมไทย และเติมเต็มระบบนิเวศยานยนต์ไฟฟ้าอย่างเต็มรูปแบบร่วมกับ Great Wall Motor เราพร้อมที่จะเป็นอีกหนึ่งช่องทางในการให้ความรู้ แนะนำ และสร้างยอดขายรถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100 % ของ Great Wall Motor ผ่านกลยุทธ์ต่างๆ ของเรา เช่น การทำโฆษณาออนไลน์ผ่านช่องทางโซเชียลมีเดียของ EVme เพื่อนำเสนอจุดเด่นของรถยนต์พลังงานไฟฟ้าแต่ละรุ่นของ Great Wall Motor ควบคู่ไปกับการจัดทำคอนเทนท์แบบสร้างสรรค์เพื่อนำเสนอโปรโมชัน และแคมเปญที่น่าสนใจผ่านช่องทางต่างๆ ของ EVme
นอกจากนี้ เรายังมีบริการเช่ารถยนต์บนแอพพลิเคชัน Evme เพื่อเข้าถึงกลุ่มลูกค้าที่มีความสนใจในเทคโนโลยีของรถยนต์พลังงานไฟฟ้าในวงกว้างมากยิ่งขึ้นแล้ว ปัจจุบันเราได้เปิดช่องทางการขายรถยนต์โดยลูกค้าสามารถซื้อรถยนต์ไฟฟ้าของ Great Wall Motor ได้สะดวกมากขึ้น ผ่าน Virtual Platform ของเราที่ครบวงจร เรามั่นใจเป็นอย่างยิ่งว่าด้วยคุณภาพของรถยนต์ไฟฟ้าจาก Great Wall Motor ประกอบกับจุดเด่นของ EVme จะสามารถเปลี่ยนผู้ใช้บริการเช่าให้กลายเป็นผู้ซื้อหลังจากที่มีการเช่ารถยนต์พลังงานไฟฟ้าได้ โดยจากการดำเนินธุรกิจที่ผ่านมาเราพบว่า ลูกค้ามากกว่า 50 % ที่มาเช่ารถยนต์ไฟฟ้ากับเรา จะซื้อรถยนต์ไฟฟ้าไปใช้จริงในชีวิตประจำวัน นับว่าเป็นอีกจุดแข็งของที่จะทำให้มั่นใจได้ว่าพแลทฟอร์ม และบริการของเราจะสามารถส่งมอบประสบการณ์ที่ดีให้แก่ลูก ค้าชาวไทยได้อย่างแน่นอน
ภายใต้ความร่วมมือกับ EVme ในครั้งนี้ จะครอบคลุมรถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100 % ของ Great Wall Motor ทั้งสิ้น 4 รุ่น ได้แก่ ORA Good Cat, ORA Good Cat GT, ORA 07 รุ่น Performance และ ORA 07 รุ่น Long Range โดยผู้บริโภคชาวไทยสามารถทำการจองรถยนต์ทั้ง 4 รุ่นผ่านพแลทฟอร์มของ EVme โดยมี GWM Partner Store เป็นผู้ทำการส่งมอบรถยนต์ให้แก่ลูกค้าตามสาขาที่ลูกค้าสะดวก ผ่านบริการอันหลากหลายที่มีความยืดหยุ่นสูงของ EVme ภายใต้ข้อเสนอ และราคาเดียวกันทั่วประเทศอีกด้วย
Ford ชวนลูกค้า พิชิตเส้นทางในต่างแดน
Ford ประเทศไทย จัดกิจกรรม "Ford Ranger Raptor-King of Tough" พิสูจน์สมรรถนะความ "แกร่งจริงทุกคัน ดุดันทุกสถานการณ์" กับรถกระบะออฟโรดสมรรถนะสูง พร้อมเชิญชวนชาว Ford Ranger Raptor และผองเพื่อน ร่วมสนุกกับกิจกรรม King of Tough Challenge บนสนามออฟโร้ดสุดท้าทาย เฟ้นหา 6 ตัวแทนที่จะไปสัมผัสประสบการณ์ขับรถแบบครบทุกโหมดการขับขี่บนเส้นทางที่น่าประทับใจในต่างแดน เริ่มต้นสร้างตำนานความดุดันสุดเร้าใจที่สนามแรกแล้ว ณ จังหวัดชลบุรี เมื่อวันที่ 25-26 พฤษภาคมที่ผ่านมา
Ford พร้อมตอกย้ำการเป็นผู้นำตลาดรถกระบะออฟโรดสมรรถนะสูง ต่อยอดตำนานความดุดันสำหรับผู้ที่สนใจเข้าร่วมกิจกรรมสนามต่อไป ณ จังหวัดเชียงใหม่ วันที่ 6-7 กรกฎาคม 2567 และสุราษฏร์ธานี วันที่ 31 สิงหาคม-1 กันยายน 2567 ลงทะเบียนร่วมกิจกรรม และติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.rangerraptorkingoftough.com
ผู้เข้าร่วมกิจกรรม "Ford Ranger Raptor-King of Tough" จะได้ทดสอบสมรรถนะของรถยนต์ Ford Ranger Raptor สุดยอดรถกระบะสมรรถนะสูงสำหรับคอออฟโรดตัวจริงบนเส้นทางออฟโรดที่จำ ลองขึ้นโดยเฉพาะ เพื่อให้ผู้ขับขี่สัมผัสได้ถึงความสนุก ความตื่นเต้นเร้าใจ สมรรถนะอันทรงพลัง และความชาญฉลาดของเทคโนโลยีในรถ Ford Ranger Raptor ที่มาพร้อมเครื่องยนต์เบนซิน 3.0 ลิตร
เส้นทางการทดสอบ เริ่มจากการขับด้วยเกียร์ต่ำแบบขับเคลื่อน 4 ล้อ (4L) พร้อมใช้กล้องรอบคัน 360 องศา รวมถึงหน้าจอแสดงสถานะออฟโรด เพื่อช่วยให้มองเห็นอุปสรรครอบคันได้อย่างชัดเจน ก่อนเพิ่มความเร้าใจกับสถานีการขับขี่ขึ้นลงเนินชัน เกือบ 40 องศา พร้อมด้วยการทดลองใช้ ระบบควบคุมความเร็วสำหรับการขับขี่ออฟโรด หรือ Trail Control ซึ่งเป็นฟีเจอร์ที่มีใน Ford Ranger Raptor เพียงรุ่นเดียวในตลาดรถกระบะ โดยระบบจะช่วยควบคุมความเร็วขณะขับขี่บนเส้นทางออฟโรด ผู้ขับขี่เพียงควบคุมพวงมาลัยเท่านั้น ทำให้ผ่านเส้นทางอันท้าทายทั้งในระหว่างขึ้น และลงเนินชันไปได้อย่างง่ายดาย
นอกจากการทดสอบสมรรถนะของรถยนต์ Ford Ranger Raptor แล้ว พิเศษสำหรับเจ้าของรถ Ford Ranger Raptor พร้อมคู่หู ยังมีโอกาสร่วมสนุกกับกิจกรรม King of Tough Challenge ทดลองขับในโหมดบาฮา โหมดการขับขี่อันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของ Ford Ranger Raptor ร่วมทำสถิติลุ้นเป็นตัวแทนเดินทางไปตะลุยเส้นทางสุดพิเศษ สัมผัสประสบการณ์ความแกร่ง และดุดันกับ Ford Ranger Raptor ในต่างแดนในช่วงปลายปีนี้อีกด้วย
EVme เปิดตัว EVme Mobility Studio แห่งแรก
บริษัท อีวี มี พลัส จำกัด (EVme) ผู้ให้บริการยานยนต์ไฟฟ้า (EV) บนพแลทฟอร์มดิจิทอลแบบครบวงจรรายใหญ่ที่สุดในประเทศไทย เปิดตัว EVme Mobility Studio ณ อาคารรัชดาวัน ถนนรัชดาภิ เษก หนึ่งในเขตธุรกิจ และไลฟ์สไตล์ที่คึกคักที่สุดของกรุงเทพฯ เพื่อให้ลูกค้า และผู้ที่สนใจได้เข้ามาสัมผัสประสบการณ์การใช้งานยานยนต์ไฟฟ้า รับคำแนะนำจากทีมงานผู้เชี่ยวชาญของ EVme ได้อย่างสะดวกสบายยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นบริการเช่า รับ และส่งคืนรถยนต์ไฟฟ้า การซื้อรถยนต์ไฟฟ้าบริการใหม่ที่เปิดตัวไม่นาน มีให้เลือกครบทุกยี่ห้อชั้นนำ กิจกรรมทดลองขับรถยนต์ไฟฟ้า และกิจ กรรมพิเศษต่างๆ ที่จะจัดขึ้นในอนาคต สำหรับการเปิด EVme Mobility Studio นี้ ไม่เพียงจะเพิ่มความมั่นใจในบริการให้แก่ลูกค้าบนพแลทฟอร์ม EVme ที่มีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องเท่านั้น แต่ยังช่วยสนับสนุนให้คนไทยสามารถเข้าถึงรถยนต์ไฟฟ้าได้ง่ายขึ้น ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนมาใช้งานรถยนต์ไฟฟ้ากันมากขึ้น พร้อมขับเคลื่อนให้ประเทศไทยเข้าสู่สังคมยานยนต์ไฟฟ้าได้อย่างเต็มรูปแบบ
บริษัท อีวี มี พลัส จำกัด ริเริ่มให้บริการยานยนต์ไฟฟ้าผ่านทางแอพพลิเคชัน EVme ตั้งแต่ปี พศ. 2564 ด้วยความมุ่งมั่นที่จะส่งเสริมการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าอย่างแพร่หลายในประเทศไทย และด้วยความตั้งใจที่จะก้าวขึ้นเป็น "พแลทฟอร์มเพื่อการเดินทาง และการขนส่งอย่างยั่งยืนอันดับ 1 ของอาเซียน" จวบจนปัจจุบัน บริษัทฯ ได้รับความไว้วางใจ และการสนับสนุนอย่างท่วมท้นด้วยจำนวนฐานลูกค้าที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องทั้งแบบบุคคลทั่วไป และแบบองค์กร การเปิด EVme Mobility Studio ครั้งนี้ จึงเป็นอีกก้าวสำคัญในการต่อยอดการบริการเพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดียิ่งขึ้นให้กับลูกค้าของบริษัทฯ ทั้งยังเป็นอีกช่องทางใหม่เพื่อให้ผู้สนใจใช้งานยานยนต์ไฟฟ้าสามารถเข้ามาขอคำปรึกษา และเลือกดูรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นต่างๆ จากหลากหลายแบรนด์ได้ภายในคราวเดียว พร้อมทั้งช่วยเติมเต็มระบบนิเวศยานยนต์ไฟฟ้า (EV Ecosystem) ในประเทศให้สมบูรณ์มากยิ่งขึ้น สอดรับกับเป้าหมายของประเทศไทยในการเปลี่ยนผ่านสู่สังคมยานยนต์ไฟฟ้า
EVme Mobility Studio ตั้งอยู่ ณ อาคารรัชดาวัน ครอบคลุมพื้นที่กว่า 252 ตรม. ภายในตกแต่งด้วยโทนสีขาว เขียว และน้ำเงิน ดูสบายตา ให้ความรู้สึกเรียบง่าย และสะท้อนภาพลักษณ์ความเป็นมิตร และเข้าถึงง่ายของ EVme พร้อมรองรับการบริการลูกค้าแบบครบวงจรทั้งบริการเช่าและขาย ลูกค้า และผู้ที่สนใจสามารถเข้ามาเลือกชมรถยนต์ไฟฟ้า และจักรยานยนต์ไฟฟ้าหลากหลายรุ่นจากแบรนด์ต่างๆ พร้อมรับคำแนะนำเพิ่มเติมจากผู้เชี่ยวชาญทางด้านเทคนิคในการเลือกแบรนด์ และรุ่นรถให้ตรงตามไลฟ์สไตล์ และความต้องการเฉพาะด้านของผู้ขับขี่ รวมถึงวิธีการชาร์จที่ถูกต้อง และข้อมูลด้านเทคนิคเชิงลึกอื่นๆ ตลอดจนโปรโมชัน และกิจกรรมพิเศษต่างๆ นอกจากนี้ ยังสามารถลงทะเบียนเข้ารับประสบการณ์การขับรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นต่างๆ ที่ศูนย์ฯ แห่งนี้ได้อีกด้วย
EVme Mobility Studio เปิดให้บริการทุกวันตั้งแต่เวลา 9.00-18.00 น. ลูกค้าสามารถเข้ามาทดลองขับยานยนต์ไฟฟ้ารุ่นต่างๆ จากหลากหลายแบรนด์ได้ภายในที่เดียว พร้อมมอบข้อเสนอสุดพิเศษ ด้วยราคาดาวน์ต่ำ เริ่มต้นเพียง 5 % และอัตราดอกเบี้ยเริ่มต้นที่ 1.88 % หรือผ่อนชำระนานสูงสุด 84 เดือน พร้อมบริการช่วยเหลือฉุกเฉินตลอด 24 ชม. นาน 8 ปี ยิ่งไปกว่านั้น ผู้ใช้บริการเช่ารถที่ตัด สินใจซื้อรถยนต์ไฟฟ้ากับ EVme ยังสามารถนำค่าเช่ารถ (ระยะเวลาสูงสุด 7วัน) มาหักจากราคารถที่จะซื้อกับ EVme ได้อีกด้วย
ROYAL ENFIELD แนะนำสีใหม่ Hunter 350 และ Meteor 350
Hunter 350 มาพร้อมสีสันใหม่ 2 เฉดสี คือ Dapper Orange และ Dapper Green เพิ่มความมีสไตล์ และความสนุกสนานให้แก่ซีรีส์ Dapper ด้วยแรงบันดาลใจจากเฉดสีท้องฟ้า Meteor 350 ครูเซอร์โฉมใหม่ มาพร้อมสีสันสุดเท่ในรุ่น Aurora ประกอบด้วยสีดำ น้ำเงิน และเขียว รุ่น Aurora มาพร้อมดีไซจ์นใหม่สุดหรูหรา เพิ่มความคลาสสิคมากยิ่งขึ้น ด้วยล้อซี่ลวด โดดเด่นด้วยชิ้นส่วนโคร เมียม พร้อมสวิทช์คิวบ์อลูมิเนียมแบบใหม่ และระบบนำทาง Tripper
Royal Enfield ผู้นำระดับโลกในกลุ่มรถมอเตอร์ไซค์ขนาดกลาง (250-750cc) มอบความสนุกให้แก่เหล่าไรเดอร์ชาวไทยด้วยสีสันใหม่สุดโดดเด่นสำหรับ Hunter 350 และ Meteor 350 โดย Hunter 350 มาพร้อมสีสันใหม่ 2 เฉดสีสุดจี๊ด Dapper Orange และ Dapper Green เพิ่มความสดใสให้กับผู้ขับขี่ สำหรับ Meteor 350 มาพร้อมกับรุ่นใหม่ล่าสุด Aurora ซึ่งแบ่งเป็นเฉดสีดำ น้ำเงิน และเขียว ที่เพิ่มเติมจากรุ่น Fireball, Stellar และ Supernova ที่มีอยู่เดิม โดย Meteor 350 รุ่น Aurora มีราคาเริ่มต้นที่ 172,900 บาท ส่วน Hunter 350 สีใหม่ ราคาเริ่มต้นที่ 133,900 บาท
Meteor 350 รุ่นใหม่ที่ได้รับการปรับโฉมนี้ เหมาะสำหรับผู้ที่ชื่นชอบการเดินทางไกลนอกเมือง เพื่อสัมผัสบรรยากาศของธรรมชาติ รุ่น Aurora ใหม่นี้จะอยู่เหนือรุ่น Supernova ขึ้นไป โดดเด่นด้วยเฉดสีใหม่สุดเท่ ได้แก่ Aurora Blue, Aurora Green และ Aurora Black สะท้อนถึงธรรมชาติ และคาแรคเตอร์ของรถครูเซอร์ที่เน้นการขับขี่ง่าย รุ่น Aurora ใหม่นี้ มาพร้อมการผสมผสานที่ลงตัวขององค์ประกอบของความคลาสสิคเต็มรูปแบบ เช่น ล้อซี่ลวด ชิ้นส่วนโครเมียม อาทิ เครื่องยนต์ ท่อไอเสีย และอุปกรณ์ต่างๆ เบาะนั่งแบบ Touring สุดหรู ระบบนำทาง Tripper และมาพร้อมกับไฟหน้าใหม่แบบ LED และแผงสวิทช์แบบใหม่หรูหราขึ้น การมาของ Meteor 350 รุ่นใหม่นี้ เพื่อดึงดูดลูกค้าที่มองหารถครูเซอร์เซอร์สไตล์คลาสสิค เรทโร ที่เน้น ขับง่าย โดยเฉพาะจาก Royal Enfield
สำหรับ Hunter 350 ของ Royal Enfield มอบการผสมผสานที่ลงตัวของสไตล์ สมรรถนะ และความอเนกประสงค์ กลายเป็นรถมอเตอร์ไซค์ยอดนิยมในกลุ่มขนาดกลางทั่วโลก Hunter 350 ขึ้นชื่อเรื่องรูปทรงการขับขี่ที่กระชับคล่องแคล่ว เหมาะสำหรับผู้ขับขี่รุ่นใหม่ กลุ่มคนรักมอเตอร์ไซค์ต่างให้การตอบรับอย่างดีงาม เนื่องจากเป็นสัญลักษณ์ที่แสดงออกถึงตัวตนของผู้ขับขี่แห่งโลกมอเตอร์ ไซค์
อนุจ ดัว หัวหน้าฝ่ายธุรกิจ Royal Enfield ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิค (Head of Business, Royal Enfield-APAC) กล่าวว่า เมื่อเราพิจารณาถึงความสำเร็จอันของ Hunter 350 และ Meteor 350 ทั่วโลก สิ่งที่ชัดเจน คือ รถมอเตอร์ไซค์นี้ได้รับความนิยมอย่างมากในกลุ่มนักบิด และผู้หลงใหลมอเตอร์ไซค์ ทั้ง 2 รุ่นนี้ตอบโจทย์ความต้องการของผู้ขับขี่ชาวไทยได้อย่างลงตัว รถมอเตอร์ไซค์ของเรายังได้กลายเป็นเพื่อนคู่ใจให้แก่นักเดินทาง และเป็นสื่อกลางเชื่อมโยงชุมชนคนขี่รถมอเตอร์ไซค์ และกลายเป็นพันธมิตรของเรา นับตั้งแต่เข้าสู่ตลาดนี้ เรามุ่งมั่นที่จะมอบประสบการณ์การขับขี่รถมอ เตอร์ไซค์ที่ดีที่สุดให้แก่เหล่าไบเคอร์ในประเทศไทย ด้วยความนิยมรถมอเตอร์ไซค์สไตล์เรทโรที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง สีสัน และฟังค์ชันใหม่เหล่านี้ จะยกระดับประสบการณ์การขับขี่รถมอเตอร์ไซค์ให้แก่ลูกค้าเดิม และลูกค้ากลุ่มใหม่ของเราอย่างแน่นอน
รุ่น Meteor 350 ของ Royal Enfield ครองใจนักขี่รถมอเตอร์ไซค์ทั่วโลกด้วยการมอบประสบการณ์การขับขี่ที่เหนือชั้น รถครูเซอร์รุ่นนี้มอบความรู้สึกนุ่มนวล ควบคุมง่าย เหมาะสำหรับการเดินทางทั้งในเมืองที่ ไปจนถึงการออกทริพไกลๆ สัมผัสบรรยากาศธรรมชาติ นอกจากนี้ Meteor 350 ยกระดับมาตรฐานรถมอเตอร์ไซค์ในกลุ่มขนาดกลางของ Royal Enfield สร้างปรากฏการณ์ยอดขายทะลุ 300,000 คันทั่วโลก ด้วยคุณสมบัติที่ตอบโจทย์การใช้งาน ไม่ว่าจะเป็นการขับขี่ในชีวิตประจำวัน หรือการเดินทางท่องเที่ยว ได้รับการยกย่องจากเหล่าผู้เชี่ยวชาญด้านรถมอเตอร์ไซค์ ให้เป็นรถครูเซอร์พันธุ์แท้ วางจำหน่ายในกว่า 60 ประเทศ และกวาดรางวัลมากมายระดับโลก
Hunter 350 รถมอเตอร์ไซค์สไตล์เรทโรสุดเท่ จาก Royal Enfield ประสบความสำเร็จเหนือเป้าหมาย ด้วยยอดขายทะลุ 200,000 คัน ทั่วโลก ภายในระยะเวลาเพียง 1 ปีเท่านั้น ความนิยมของ Hunter 350 ไม่เพียงสร้างยอดขายที่แข็งแกร่ง แต่ยังดึงดูดกลุ่มลูกค้าหน้าใหม่ๆ เข้าสู่แบรนด์ Royal Enfield ช่วยกระจายกลุ่มชุมชนคนรักรถมอเตอร์ไซค์ให้กว้างขวางยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการตะลุยเส้นทางซอกแซกในเมืองใหญ่ การพักชิลตามย่านสุดฮิพ หรือการขับขี่บนถนนโล่ง Hunter 350 คือ ตัวเลือกที่ตอบโจทย์ ด้วยความคล่องตัวสูง ควบคุมง่าย มอบความมั่นใจในทุกการขับขี่ จึงไม่น่าแปลกใจที่ Hunter 350 ได้รับรางวัลระดับนานาชาติกว่า 20 รางวัล รวมถึงรางวัลอันทรงเกียรติอย่าง Indian Motorcycle of the Year 2023 และรางวัล Best Modern Classic Lightweight Motorcycle ของประเทศไทยอีกด้วย
Continental จัดกิจกรรม Continental CSR Skill Driving 2024
Continental ชูวิสัยทัศน์ Vision Zero ร่วมลดโอกาสเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนน ดึงวิทยากรแถวหน้าจัดอบรมให้ความรู้เรื่องการขับขี่อย่างปลอดภัยแก่ประชาชน รายได้จากการจัดกิจกรรมจะถูกมอบให้แก่มูลนิธินโยบายถนนปลอดภัย เพื่อการวิจัย และพัฒนาเรื่องความปลอดภัยบนท้องถนนต่อไป
คอนติเนนทอล ออโตโมทีฟ แบงคอก และคอนติเนนทอล ไทร์ส (ประเทศไทย) ผู้นำด้านนวัตกรรมเทคโนโลยียานยนต์ และยางรถยนต์ระดับโลกจากเยอรมนี ผนึกกำลังจัดกิจกรรมตอบแทนสังคม “Continental CSR Skill Driving 2024 ขับขี่ปลอดภัยมั่นใจทุกสถานการณ์” ปีที่ 2 โดยปีนี้ได้ร่วมมือกับ 3 พันธมิตรแบรนด์รถยนต์ชั้นนำ ได้แก่ Mercedes-Benz, Mitsubishi และ BYD เพื่อตอกย้ำวิสัยทัศน์ Vision Zero ที่มีเป้าหมายเพื่อส่งเสริมนโยบายผู้เสียชีวิต ผู้บาดเจ็บ และการเกิดอุบัติเหตุทางถนนให้เป็นศูนย์ ภายในงานได้มีการจัดอบรมหลักสูตรทักษะขับขี่ขั้นสูงทั้งภาคทฤษฎี และปฏิบัติ โดยผู้เชี่ยวชาญแนวหน้าของประเทศไทยให้แก่ประชาชนผู้สนใจ ณ สนามปทุมธานี สปีดเวย์ จังหวัดปทุมธานี เมื่อเร็วๆ นี้ ซึ่งรายได้โดยไม่หักค่าใช้จ่ายจากการลงทะเบียนเข้าร่วมงานจะถูกนำไปมอบให้แก่มูลนิธินโยบายถนนปลอดภัย สำหรับการศึกษาวิจัยด้านถนนปลอดภัย เพื่อยกระดับคุณภาพความปลอดภัยบนถนนของคนไทยต่อไป
Peter Rankl ประธานฝ่ายบริหารภูมิภาคอาเซียน คอนติเนนทอล ออโตโมทีฟ แบงคอก กล่าวว่า ในนามของ Continental เรามีความมุ่งมั่นในการจัดงาน Continental CSR Skill Driving 2024 ขับขี่ปลอดภัยมั่นใจทุกสถานการณ์ ในปีที่ 2 นี้ เพื่อเป็นการตอกย้ำวิสัยทัศน์เรื่อง Vision Zero โดยเป็นโครงการที่มีเป้าหมายเพื่อลดอุบัติเหตุทางถนนให้เป็นศูนย์ ซึ่งความปลอดภัยเป็นสิ่งที่ Continental ยึดถือมาตลอดการก่อตั้งบริษัทกว่า 150 ปี และยังถือเป็นการต่อยอดความสำเร็จจากการจัดงานเมื่อปีที่แล้ว อีกหนึ่งจุดประสงค์ของการจัดกิจกรรมนี้เพื่อส่งเสริมให้ประชาชนชาวไทยมีองค์ความรู้ และทักษะการขับขี่ที่ปลอดภัยมากยิ่งขึ้น เพื่อลดโอกาสการเกิดอุบัติเหตุในขณะขับขี่รถยนต์บนท้องถนน
ภายในงานได้มีการจัดกิจกรรมส่งเสริม และยกระดับความรู้ด้านการขับขี่ปลอดภัยทั้งด้านทฤษฎี และการปฏิบัติจริง โดย 3 วิทยากรผู้เชี่ยวชาญแถวหน้าของประเทศไทย ได้แก่ วุฒินันท์ สภาวสุ, ปริตร แม้นเมฆ และสิรคุปต์ เมทะนี ซึ่งหลักสูตรจะครอบคลุมตั้งแต่เรื่องทฤษฎีพื้นฐาน เช่น การปรับเบาะนั่งที่เหมาะสม วิธีการจับพวงมาลัยที่ถูกต้อง การเบรคในสถานการณ์คับขันต่างๆ ไปจนถึงระบบความปลอดภัยภายในรถ และความสำคัญของคุณภาพยาง จากนั้นผู้เข้าอบรมจะได้ปฏิบัติจริงโดยการขับรถยนต์ด้วยตนเอง โดยแบ่งออกเป็นการปฏิบัติตามฐาน ได้แก่ การเบรคกะทันหัน การหักหลบแบบต่อเนื่อง การควบคุมรถเสียหลัก การหักหลบฉุกเฉิน โดยวิทยากรผู้เชี่ยวชาญด้านการขับขี่ นอกจากทักษะการขับขี่ การมีความรู้ความเข้าใจเรื่องอุปกรณ์ความปลอดภัยภายในรถ และการใช้ยางที่มีมาตรฐานก็สำคัญมากเช่นกัน ซึ่งปีนี้ Continental ยังได้รับความร่วมมือจาก 3 พันธมิตรแบรนด์รถยนต์ชั้นนำระดับโลกทั้ง Mercedes-Benz, Mitsubishi และ BYD ในการสนับสนุนรถยนต์จำนวนกว่า 9 คัน ครอบคลุมประเภทรถที่หลากหลาย ได้แก่ Mercedes-AMG CLS 53 4MATIC+ Coupe, Mitsubishi Triton Athlete และ BYD Seal เป็นต้น เพื่อให้ผู้เข้าร่วมงานได้เลือกทดลองขับในกิจกรรมครั้งนี้
นอกจากนี้ ยังได้รับความร่วมมือจาก Heineken® 0.0 แบรนด์เครื่องดื่มมอลต์ไม่มีแอลกอฮอล ในการสนับสนุนบูธ Heineken 0.0 ภายในงาน พร้อมส่งเสริมการสร้างจิตสำนึก และผลักดันนโยบายเมาไม่ขับ โดยการนำเสนอเครื่องดื่มมอลต์ไม่มีแอลกอฮอล เพื่อเป็นอีกหนึ่งทางเลือกของการช่วยแก้ไขปัญหาหากต้องการสังสรรค์ และมีความจำเป็นต้องขับรถ และลดอัตราการเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนนในประเทศไทย
Karel Kucera กรรมการผู้จัดการ คอนติเนนทอล ไทร์ส (ประเทศไทย) กล่าวว่า ยาง Continental ระดับพรีเมียมของเราได้รับความมั่นใจจากผู้ขับขี่รถยนต์ชาวไทยมาเป็นเวลากว่า 15 ปี ด้วยสมรรถนะอันโดดเด่น และเทคโนโลยีความปลอดภัยอย่าง ContiSeal ที่สามารถอุดรอยรั่วบนดอกยางได้ทันทีในกรณีที่ยางได้รับความเสียหายจากวัตถุแปลกปลอม หรือของมีคมบนท้องถนน ช่วยทำให้ยังสามารถขับขี่ต่อไปได้ และช่วยลดโอกาสเกิดอุบัติเหตุ ภายในงานครั้งนี้เรายังมีการจัดแสดงยางรถยนต์ที่ได้รับการออกแบบพิเศษสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าโดยเฉพาะ ซึ่งเป็นยางที่เกิดจากความเชี่ยวชาญในด้านเทคโนโลยีการผลิตยางเพื่อรถยนต์ไฟฟ้าของเรา ในการผนึกกำลังกับพันธมิตรในการจัดกิจกรรมครั้งนี้ Continental มองว่าเป็นโอกาสที่ดีที่จะช่วยส่งเสริมองค์ความรู้ด้านทักษะการขับขี่รถยนต์อย่างปลอดภัยสู่ประชาชนเพื่อนำไปปรับใช้ในชีวิตประจำวันได้ต่อไป สอดคล้องกับเป้าหมายที่ต้องการลดการเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนนของ Continental ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของวิสัยทัศน์ Vision Zero ของเรา
สำหรับการจัดกิจกรรม “Continental CSR Skill Driving 2024 ขับขี่ปลอดภัยมั่นใจทุกสถานการณ์“ ครั้งที่ 2 นี้ Continental ยังคงต่อยอดความมุ่งมั่นในการส่งเสริมการขับขี่อย่างปลอดภัยอย่างยั่งยืนด้วยการส่งมอบรายได้จากการจัดกิจกรรมนี้ทั้งหมดโดยไม่หักค่าใช้จ่ายให้แก่มูลนิธินโยบายถนนปลอดภัย เพื่อเป็นทุนสนับสนุนการวิจัยด้านถนนปลอดภัย ซึ่งปีนี้ได้ส่งมอบเงินจำนวนทั้งสิ้น 101,400 บาท โดยมี นายแพทย์ธนะพงศ์ จินวงษ์ เลขาธิการมูลนิธินโยบายถนนปลอดภัย เป็นผู้รับมอบ
“ในนามของ Continental เรามีความภาคภูมิใจเป็นอย่างยิ่งที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของการส่งเสริมองค์ความรู้ และถ่ายทอดทักษะการขับขี่เพื่อความปลอดภัยให้แก่ประชาชนชาวไทย เพื่อเป้าหมายสำคัญอย่างการลดจำนวนการเกิดอุบัติเหตุในประเทศไทยลงได้อย่างยั่งยืน“ Peter กล่าวทิ้งท้าย
EV Station PluZ ตั้งเป้าขยายหัวจ่าย โชว์ประสิทธิภาพหัวจ่าย DC
EV Station PluZ ชาร์จความมั่นใจ มุ่งสู่สังคมคาร์บอนต่ำ สนับสนุนพลังงานทางเลือก ผ่านการพัฒนาสถานีชาร์จ EV ทั่วประเทศ ล่าสุด ร่วมโชว์ประสิทธิภาพหัวจ่าย DC ด้วยเครื่องชาร์จรูปแบบ Quick Charge กำลังไฟสูงสุด 160 กิโลวัตต์ ในงาน AAS Driving Experience 2024 ณ PTT Station บจ.ปิโตรเลียม (ถ.347) จังหวัดปทุมธานี สนับสนุนการใช้งานของรถยนต์ไฟฟ้าทุกรูปแบบ ทุกรุ่น รวมไปถึงรถยนต์หรูจาก เอเอเอส ออโต้ เซอร์วิส (AAS) ผู้นำเข้า และตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ Porsche อย่างเป็นทางการแต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทย
ธีระ วีระวงศ์ ผู้จัดการฝ่าย EV Ecosystem บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR เปิดเผยว่า EV Station PluZ มุ่งมั่นพัฒนาธุรกิจพลังงานสะอาด สนับสนุนการใช้งานพลัง งานทางเลือกหลากหลายรูปแบบ โดยมุ่งสู่สังคมคาร์บอนต่ำตามนโยบายของ OR พร้อมพัฒนาสถานีชาร์จ EV Station PluZ ทั่วประเทศ เพื่อรองรับการใช้งานที่มีเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งเสริมการใช้พลังงานสะอาด ซึ่ง EV Station PluZ ได้สนับสนุนการจัดกิจกรรมของ AAS มาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2021
สำหรับ งาน AAS Driving Experience 2024 จัดขึ้นโดย บริษัท เอเอเอส ออโต้ เซอร์วิส จำกัด (AAS) ผู้นำเข้า และตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ Porsche อย่างเป็นทางการแต่เพียงผู้เดียวในประเทศ ไทย โดยงานจัดขึ้น ณ สนามแข่งรถปทุมธานี สปีดเวย์ ติดกับ PTT Station บจ.ปิโตรเลียม (ถ.347) จังหวัดปทุมธานี ระหว่างวันที่ 22-26 พฤษภาคม 2567 เพื่อให้ลูกค้า และผู้ที่สนใจได้ทดสอบสมรรถนะของรถยนต์ Porsche โดยรถยนต์ไฟฟ้าที่นำมาทดลองขับนั้นมีทั้งรูปแบบ BEV และ PHEV ได้แก่ Porsche Taycan ซึ่งเป็นรถยนต์ไฟฟ้า 100 % (Battery Electric Vehicle :BEV) ความจุแบทเตอรี 93.4 กิโลวัตต์ Porsche Cayenne และ Panamera ซึ่งเป็นรถยนต์ที่ใช้ได้ทั้งพลังงานไฟฟ้า และน้ำมัน (Plug-in Hybrid Electric Vehicle :PHEV) ความจุแบทเตอรี 17.9 กิโลวัตต์
EV Station PluZ ณ PTT Station บจ.ปิโตรเลียม (ถ.347) จังหวัดปทุมธานี เป็นสถานีชาร์จรูปแบบ Quick Charge กำลังไฟสูงสุด 160 กิโลวัตต์ จำนวน 2 เครื่อง ประกอบด้วยเครื่องละ 3 หัวชาร์จ (หัวชาร์จ DC-CCS2 จำนวน 2 หัว และหัวชาร์จ AC-Type2 จำนวน 1 หัว 22 กิโลวัตต์) ความเร็วในการชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า หัว DC ถึง 80 % เพียง 40 นาที
ปัจจุบัน EV Station PluZ มีให้บริการใน PTT Station แล้วกว่า 873 แห่ง (ณ เดือนเมษายน 2567) ครอบคลุม 77 จังหวัดทั่วประเทศ โดยสามารถจองเพื่อเข้าชาร์จ เริ่ม-หยุดการชาร์จ ชำระเงิน และตรวจสอบประวัติการใช้งานได้ด้วย EV Station PluZ แอพพลิเคชัน โมบายล์แอพพลิเคชันเดียว รองรับการใช้งานบนระบบปฏิบัติการ IOS, Android และเวบแอพพลิเคชัน อีกทั้งยังมีฟังค์ชันที่ช่วยในการวางแผนเดินทาง ผ่านระบบนำทางไปยัง EV Station PluZ ที่เปิดให้บริการอยู่ตามเส้นทางถนน ทั้งนี้เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้ใช้รถ EV ในทุกมิติ รวมไปถึงการขยาย EV Station PluZ ในรูปแบบ Quick Charge เพื่อตอบโจทย์นักเดินทางที่เน้นด้านเวลาเป็นหลัก ตอบโจทย์การใช้ชีวิตในเมือง และการเดินทางท่องเที่ยว โดยจะใช้เวลาชาร์จประมาณ 30-40 นาที เพื่อเติมความจุได้ถึง 80 % ของความจุแบเตอรี โดยตั้งเป้าขยายสถานีชาร์จ 7,000 หัวชาร์จแบบ DC ภายในปี 2030