ธุรกิจ
ข่าวเด่นในรอบสัปดาห์
Toyota เปิดตัว Hilux โครงการ IMV
Toyota เปิดตัว Toyota Hilux ครั้งแรกของโลก รถกระบะที่อยู่เคียงข้างคนไทยมายาวนาน ภายใต้ชื่อใหม่ Toyota Hilux Travo และ Hilux Travo-e กับคอนเซพท์ "Greater Together…สู่ความยิ่งใหญ่ไปด้วยกัน”
ประเทศไทย รถกระบะสะท้อนความผูกพันอันลึกซึ้ง เสมือนเพื่อนร่วมเดินทาง ที่อยู่เคียงข้างกันมาอย่างยาวนาน จนถึงปัจจุบันเราจะเห็นรถกระบะในทุกมิติของชีวิต ไม่ว่าจะใช้ในการประกอบอาชีพ ขนส่งสินค้า เดินทางในชีวิตประจำวัน หรือเติมเต็มไลฟ์สไตล์ที่หลากหลาย จึงกล่าวได้ว่า สำหรับคนไทย รถกระบะไม่ใช่แค่พาหนะ แต่เป็นเหมือนเพื่อนคู่ใจ และเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต
จุดเริ่มต้นของก้าวสำคัญที่ Toyota และคนไทยได้ร่วมกันสร้างขึ้น คือ โครงการ IMV (Innovative International Multi-Purpose Vehicle) เมื่อปี 2547 โดย IMV คือ โครงการผลิตรถกระบะขนาด 1 ตัน ภายใต้ชื่อรถกระบะ Hilux (รุ่นที่ 7) รถยนต์อเนกประสงค์ Fortuner (และรถมีนีแวน Innova ในต่างประเทศ) รวมถึงเครื่องยนต์ และชิ้นส่วนอะไหล่ เพื่อจำหน่ายภายในประเทศ และส่งออก ด้วยมูลค่าการลงทุน ณ ขณะนั้น 30,000 ล้านบาท ภายใต้วัตถุประสงค์ที่จะผลิตรถยนต์ที่มีคุณภาพสูง สามารถตอบสนองความต้องการที่หลากหลายของผู้บริโภค โดยรถยนต์ในโครงการดังกล่าวได้ผ่านการทุ่มเท วิจัย และพัฒนา เพื่อให้ได้รถที่ตอบสนองความต้องการที่หลากหลายของลูกค้าในทุกภูมิภาคทั่วโลก
โครงการ IMV ได้ทำให้ โตโยต้า มอเตอร์ (ประเทศไทย)ฯ เปลี่ยนบทบาทจากฐานการผลิตที่เน้นตลาดภายในประเทศ สู่การเป็นศูนย์กลางการผลิต และส่งออกรถกระบะ ในปัจจุบัน Hilux ที่ผลิตในไทยได้ถูกส่งออกไปยัง 133 ประเทศทั่วโลก มียอดส่งออกสะสมกว่า 4.6 ล้านคัน มีการใช้ชิ้นส่วนภายในประเทศด้วยสัดส่วนสูงสุดถึง 95 % ก่อให้เกิดการสร้างงาน สร้างอาชีพ สร้างรายได้ให้แก่คนไทย ผ่านการจ้างงานกว่า 275,000 คน ทั้งพนักงานในเครือ พนักงานของผู้แทนจำหน่ายฯ 153 แห่ง และผู้ผลิตชิ้นส่วนกว่า 290 แห่งทั่วประเทศ ส่งผลให้ Hilux มีส่วนสำคัญในการเสริมสร้างอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย คิดเป็นกว่า 30 % ของอุตสาหกรรมยานยนต์ทั้งหมด และมีส่วนช่วยสร้าง GDP ให้ประเทศไทยมากถึง 3 %/ปี สะท้อนถึงมูลค่าทางเศรษฐกิจอันมหาศาลตลอดห่วงโซ่อุปทานที่เกิดขึ้น
ทั้งหมดนี้ คือ บทพิสูจน์ว่า Hilux ไม่ได้เป็นเพียงรถกระบะ แต่คือ “รถกระบะมหาชน” ที่มีบทบาทสำคัญต่อการขับเคลื่อนอุตสาหกรรม และเศรษฐกิจของประเทศอย่างแท้จริง
Toyota Hilux Travo เจเนอเรชันที่ 9
บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย นำเสนอรถกระบะ Hilux รุ่นใหม่ เจเนอเรชันที่ 9 ครั้งแรกของโลก (World Premiere) ภายใต้ชื่อ “Toyota Hilux Travo” ด้วยการนำทีมของวิศวกรชาวไทย Hilux Travo ได้รับการพัฒนาผ่านการรับฟังเสียงของผู้ใช้ชาวไทยอย่างใกล้ชิดในทุกมิติ พร้อมนำข้อมูลมาปรับปรุง และต่อยอดการพัฒนา เพื่อตอบโจทย์การใช้งาน และไลฟ์สไตล์ของคนไทยได้อย่างดีที่สุด
ด้วยดีไซจ์นใหม่ ทั้งการออกแบบภายนอก และภายใน ภายใต้ดีไซจ์นคอนเซพท์ “Tough & Agile” ที่ผสาน "ความแข็งแกร่ง เข้ากับความคล่องตัว" มาพร้อมกับการออกแบบด้านหน้าด้วยแนวคิด “Cyber Sumo” ที่เป็นท่าเตรียมพร้อมในการต่อสู้ Shikiri Pose เพื่อแสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่ง (Stable) แข็งแรง (Strong) และมั่นคง (Steady) การออกแบบภายในใช้แนวคิด “Robust Simplicity” ที่เน้นความเรียบง่ายแต่ทรงพลัง ทุกฟังค์ชันใช้งานได้จริง พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน และทันสมัยที่มาพร้อมกับเทคโนโลยีความปลอดภัย Toyota Safety Sense เวอร์ชันล่าสุด และอุปกรณ์เสริมความปลอดภัยอีกมากมาย
Hilux Travo ได้ให้ความสำคัญกับการบังคับควบคุม และความนุ่มนวลในการขับขี่เป็นพิเศษ จึงได้แนะนำเทคโนโลยี "Dynamic Cloud" ในการพัฒนาองค์ประกอบต่างๆ ที่ส่งผลต่อการขับขี่ เพื่อมอบการขับขี่ที่นุ่มนวล บังคับควบคุมแม่นยำ และทรงตัวเยี่ยม
และ Hilux Travo ทุกรุ่นจะมาพร้อมกับขุมพลัง GD Super Power ขนาด 2.8 ลิตร ที่ให้กำลังสูง และมีการปรับปรุงความประหยัดน้ำมันให้ดียิ่งขึ้น โดยประหยัดน้ำมันมากกว่าเครื่องยนต์ 2.4 ลิตร สูงสุดถึง 5.8 % และมากกว่าเครื่อง 2.8 ลิตร รุ่นเดิมถึง 7.5 %
นอกจากรุ่นเครื่องยนต์ดีเซล Toyota นำเสนออีกหนึ่งทางเลือกตามหลักคิด Multi-Pathway กับรถกระบะไฟฟ้า “Hilux Travo-e” ซึ่งเป็นการแนะนำรถไฟฟ้าแบบ Body-on-Frame รุ่นแรกของ Toyota ที่มีการวางจำหน่ายจริง พัฒนาขึ้นโดยยึดถือหลักการ QDR (Quality-Durability-Reliability) อันเป็นหัวใจของ Toyota และยังคงสมรรถนะ ความทนทานตามมาตรฐานรถกระบะ Hilux และเสริมด้วยเทคโนโลยี "Diamond Guard" ช่วยปกป้องแบทเตอรี และชุดขับเคลื่อนไฟฟ้า ช่วยให้คุณใช้งาน Travo-e ได้อย่างมั่นใจในความปลอดภัย ทั้งการใช้งานส่วนบุคคล การบรรทุก และการขับขี่แบบออฟโรด
ดร.ธนกร วังบุญคงชนะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่า ตลอดระยะเวลากว่า 60 ปีที่ผ่านมา Toyota ได้มีบทบาทสำคัญยิ่งในการพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์ของประเทศไทย ไม่เพียงแต่ในฐานะผู้ผลิต และจำหน่ายรถยนต์รายใหญ่เท่านั้น แต่ยังเป็นพันธมิตรที่ร่วมพัฒนาบุคลากรไทย ถ่ายทอดเทคโนโลยี และสนับสนุนการเติบโตของผู้ประกอบการชิ้นส่วนยานยนต์ในประเทศอย่างต่อเนื่อง ทำให้ประเทศไทยก้าวขึ้นมาเป็น ฐานการผลิตรถยนต์ที่สำคัญระดับโลก
การเปิดตัว Hilux รุ่นใหม่ ในวันนี้ เป็นเครื่องพิสูจน์ถึงศักยภาพด้านการวิจัยและพัฒนา (R&D) ของ Toyota ในประเทศไทย ที่สามารถออกแบบ พัฒนา และผลิตยานยนต์ที่ตอบโจทย์ทั้งความต้องการของผู้บริโภค และความท้าทายด้านสิ่งแวดล้อมในยุคปัจจุบัน โดยเฉพาะการพัฒนาเทคโนโลยีเครื่องยนต์ที่มีประสิทธิภาพสูง ปล่อยมลพิษต่ำ และรองรับเชื้อเพลิงสะอาด ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลไทยในการขับเคลื่อนประเทศ สู่อุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ (Next-Generation Automotive Industry)
กระทรวงอุตสาหกรรมให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับการส่งเสริมการเปลี่ยนผ่านสู่ยานยนต์พลังงานสะอาด (Green Mobility) และการลดการปล่อยแกสเรือนกระจกจากภาคอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์หลักตามเป้าหมาย “Carbon Neutrality 2050” ของประเทศไทย การที่ Toyota เดินหน้าพัฒนาเทคโนโลยีในทิศทางเดียวกัน จึงเป็นการสะท้อนถึงความร่วมมือระหว่างภาครัฐ และภาคเอกชนในการสร้างอนาคตที่ยั่งยืนให้แก่ประเทศ ทั้งให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับการเสริมสร้างความเข้มแข็งของ Supply Chain อุตสาหกรรมยานยนต์ในประเทศ เพื่อรองรับการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคยานยนต์สมัยใหม่อย่างยั่งยืน (Next-Generation Automotive Industry) ทั้งในด้านการผลิตชิ้นส่วน เทคโนโลยี ระบบลอจิสติคส์ และบุคลากรที่มีทักษะสูง การที่ Toyota ลงทุน และพัฒนาเทคโนโลยีในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นรถยนต์ Hybrid รถยนต์ไฟฟ้า (EV) หรือเทคโนโลยีไฮโดรเจน ถือเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของความร่วมมือระหว่างภาครัฐ และภาคเอกชนในการสร้างระบบนิเวศการผลิตภายในประเทศให้แข็งแกร่ง เพิ่มศักยภาพในการแข่งขัน และยกระดับอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยให้ก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางการผลิตที่ยั่งยืนของภูมิภาค
"ผมเชื่อมั่นว่า การเปิดตัว Toyota Hilux รุ่นใหม่ในวันนี้ จะเป็นอีกหนึ่งความสำเร็จของ Toyota ในการตอบสนองต่อความต้องการของผู้บริโภค ทั้งในด้านสมรรถนะ ความปลอดภัย ความคุ้มค่า และความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ตลอดจนเป็นการยืนยันถึงความเชื่อมั่นของ Toyota ที่มีต่อประเทศไทยในฐานะศูนย์กลางการผลิตยานยนต์แห่งภูมิภาค”
ไซมอน ฮัมฟรีส์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านแบรนด์ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ คอร์ปอเรชัน ประเทศญี่ปุ่น เผยว่า Toyota มีความผูกพันอันยาวนานกับประเทศไทย มากกว่า 60 ปี ซึ่งความผูกพันนี้ไม่ใช่เพียงแค่การลงทุนทางธุรกิจ แต่คือ หุ้นส่วนที่กลายเป็นมิตรภาพ ซึ่ง Toyota กล่าวถึงแนวคิด “Best in Town” อยู่เสมอ และประเทศไทย คือ ภาพสะท้อนที่ชัดเจนของปรัชญานี้ ในฐานะประเทศแรกในทวีปเอเชียที่ Toyota ผลิตรถยนต์ นอกประเทศญี่ปุ่น
เมล็ดพันธุ์แห่งมิตรภาพที่เราเริ่มปลูกไว้เมื่อ 2506 ได้รับการฟูมฟักโดยคนไทย นับตั้งแต่การสนับสนุนจากรัฐบาลไทย พันธมิตรทางธุรกิจ และลูกค้าของเรา ทำให้ประเทศไทยในปัจจุบัน กลายเป็นศูนย์กลางด้านการผลิต ด้านนวัตกรรม และเหนือสิ่งอื่นใด คือ การให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี นำไปสู่ความสำเร็จระดับโลก ซึ่งเป็นข้อพิสูจน์ว่า เกิดจากรากฐานความแข็งแกร่งจากประเทศไทย ซึ่งผู้คนใน 133 ประเทศทั่วโลกได้รับประโยชน์จากผลลัพธ์ของความร่วมมือครั้งนี้ จากการที่รถยนต์ Toyota กว่า 14 ล้านคันได้ถูกผลิตขึ้นที่นี่ ประเทศไทย
อากิโอะ โตโยดะ ประธานคณะกรรมการบริหารของ Toyota เล็งเห็นถึงความแข็งแกร่งของพันธมิตรทุกท่านเป็นอย่างดี จากประสบการณ์ที่เขาได้ร่วมทำงานกับทีมงาน (IMV Project) ในประเทศไทย ซึ่งมีส่วนสำคัญในการหล่อหลอมพื้นฐานความเป็นผู้นำ นั่นคือ การเคารพวัฒนธรรมท้องถิ่น และให้ความสำคัญกับการตัดสินใจร่วมกัน ซึ่งผลิตภัณฑ์ที่สะท้อนถึงความเชื่อมโยงระหว่าง มร.อากิโอะ กับประเทศไทยได้ดีที่สุด นั่นก็คือ ผลิตภัณฑ์ภายใต้โครงการ IMV เมื่อกว่า 20 ปีที่แล้ว
ถึงแม้ว่า เรื่องราวของ Hilux ถือกำเนิดขึ้นในปี 2511 หากแต่ในปี 2547 ภายใต้การนำของ มร.อากิโอะ ในฐานะหัวหน้าภาคพื้นเอเชีย ทำให้ Hilux กลายเป็นส่วนหนึ่งของ IMV ซีรีส์ ซึ่งเป็นพแลทฟอร์มระดับโลกอย่างแท้จริง และสะท้อนให้เห็นถึงแนวคิด Best in Town และจิตวิญญาณแห่งการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ (Monozukuri) ของ Toyota เป็นที่มาของโครงการ IMV ที่นำพาให้ Hilux เป็นที่รู้จักไปทั่วโลก
กล่าวได้ว่าคงไม่มีรถยนต์รุ่นใดที่ดีไปกว่า Hilux ที่จะแสดงถึงความสำคัญของประเทศไทยที่มีต่อ Toyota ได้ เราภูมิใจที่ได้ยินว่าหลายคนเรียก Hilux ว่าเป็นรถกระบะมหาชนอย่างแท้จริง
ที่ Toyota เรายึดมั่นในแนวคิด “การขับเคลื่อนเพื่อทุกคน” (Mobility for All) โดยเชื่อว่า การขับเคลื่อน คือ การมอบโอกาสให้ผู้คนได้ออกสำรวจ ทำงาน ติดต่อเชื่อมโยงถึงกัน รวมทั้งส่งเสริมคุณภาพชีวิต อันเป็นปรัชญาที่ IMV ยึดถือนับตั้งแต่วันแรก นั่นคือ ความมุ่งมั่นเพื่อสร้างยานยนต์ที่มีส่วนส่งเสริมชุมชน และร่วมเสริมสร้างพลังให้แก่ทุกคน ไม่ว่าจะเป็นเกษตรกรที่ใช้ยานพาหนะเพื่อขนส่งผลผลิต หรือครอบครัวที่ใช้รถเพื่อเดินทางไกล รวมทั้งผู้คนที่ทำงานเพื่อร่วมสร้างการเติบโตของชุมชนที่ทุกคนอยู่อาศัยรอบตัว โดยผู้ใช้งานต่างยอมรับในชื่อเสียงของ Hilux ทั้งในด้านคุณภาพ ความทนทาน และความน่าเชื่อถือ ด้วยความเป็นรถกระบะที่แข็งแกร่ง สำหรับการใช้งานที่ไซท์ก่อสร้าง ให้ความอุ่นใจด้วยความปลอดภัย สำหรับการเดินทางของทุกครอบครัว และเป็นยานพาหนะที่ได้รับความไว้วางใจทั่วโลก”
Hilux ใหม่ ที่เราประกาศในวันนี้ คือ เจเนอเรชันที่ 9 ของรถระดับตำนาน ซึ่งในแต่ละเจเนอเรชัน Hilux ได้รับการพัฒนาให้แข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ ผ่านการพัฒนาจากการใช้งานจริงบนท้องถนน ประสบการณ์ และความเชี่ยวชาญของเหล่าวิศวกร และที่สำคัญที่สุด คือ การรับฟังเสียงของลูกค้าทั่วโลก โดย Hilux เป็นรถกระบะที่มีการเปลี่ยนแปลงไปตามบริบทที่หมุนเปลี่ยนไปของโลก และสังคมเช่นเดียวกัน
Toyota รับฟังเสียงตั้งแต่คนงานในเหมืองที่ต้องการความทรหด ครอบครัวที่ต้องการความสะดวกสบายมากขึ้น เจ้าของธุรกิจที่ใส่ใจเรื่องความประหยัดน้ำมัน ไปจนถึงนักผจญภัยรุ่นใหม่ที่ต้องการดีไซจ์น และเทคโนโลยีที่เข้ากับไลฟ์สไตล์ ไปสู่ยานพาหนะที่อุ่นใจ และไว้วางใจได้ พร้อมเชื่อมโยงผู้คนเข้ากับโอกาสต่างๆ ด้วยยนตรกรรมที่แข็งแกร่ง เรียบง่าย และทนทาน
เมื่อมองไปข้างหน้า Toyota กำลังมุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน ที่ไม่จำกัดเพียงหนทางใดหนใดหนึ่ง หากแต่มุ่งนำเสนอทางเลือกอันหลากหลาย (Multi-Pathway) เพราะความจริง คือ ไม่มีภูมิภาคใด หรือลูกค้าคนใด ที่เหมือนกัน ความหลากหลายนี้ครอบคลุมถึงระบบขับเคลื่อน รูปแบบตัวรถ และความสามารถในการปรับแต่ง…ทั้งหมดเพื่อไม่ให้ใครถูกทิ้งไว้ข้างหลัง โดยที่ Toyota ได้พัฒนา Hilux แต่ละรุ่นให้ดียิ่งขึ้น ภายใต้คำมั่นสัญญาที่ยังคงเดิม นั่นคือ Hilux คือ เพื่อนคู่ใจ และเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต
ไซมอน กล่าวถึง อากิโอะ โตโยดะ ที่เชื่อว่ารถยนต์ และการผลิตรถยนต์ ไม่ได้เป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งของสังคม และความเจริญทางเศรษฐกิจเท่านั้น แต่ยังเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิต และวัฒนธรรมอีกด้วย ยิ่งไปกว่านั้น ประเทศไทยยังเป็นเสมือน “บ้านหลังที่ 2” ทั้งในระดับอาชีพ และระดับส่วนตัว จากสายสัมพันธ์ดังกล่าวได้เติบโตเป็นมิตรภาพที่งดงาม ดังนั้น โตโยดะ มักกล่าวเสมอถึงความตั้งใจในการ “ตอบแทนประเทศไทย” ตลอดระยะที่ผ่านมา และความสัมพันธ์กับประเทศไทยได้เติบโต เกินกว่าเป็นการแลกเปลี่ยนทางเศรษฐกิจ ไปสู่การแลกเปลี่ยนทางวิถีชีวิต และวัฒนธรรม
ปัจจุบัน โตโยดะ ในฐานะประธานสหพันธ์ซูโมสากล ได้เล็งเห็นถึงโอกาสในการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมระหว่างไทย และญี่ปุ่น เริ่มจากกีฬาซูโมสากล และได้เชิญ ฮาคุโฮ โช อดีต Yokozuna นักซูโมชื่อดังตลอดกาล ด้วยสถิติสูงสุด คว้าแชมพ์ถึง 45 รายการ และยังได้รับการบันทึกใน Guinness Book จากชัยชนะรวม 1,187 ครั้ง ทั้งหมดนี้ทำให้เขา…เป็นหนึ่งในนักกีฬาที่ประสบความสำเร็จมากที่สุด…ตลอดกาล มาเยือนกรุงเทพฯ และร่วมงานแถลงข่าว
ฮาคุโฮ โช เจ้าของแชมพ์กีฬาซูโมระดับ Yokozuna ชื่อดัง ลำดับที่ 69 จากประเทศญี่ปุ่น กล่าวว่า เมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา ผมได้มีโอกาสมาเยือนประเทศไทย เพื่อเผยแพร่กีฬาซูโมสู่เวทีโลก ในการกลับมาประเทศไทยครั้งนี้ ผมรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง และเมื่อ อากิโอะ ชวนผมมาร่วมงานนี้ ผมก็ไม่ลังเลที่จะตอบทันที ซึ่งต้องขอขอบคุณอีกครั้งที่เชิญผมมาร่วมงานเปิดตัวรถระดับโลก ทั้งยังตั้งใจที่เผยแพร่ซูโมสู่เวทีโลกเช่นกัน ทั้งนี้ กีฬาซูโม คือ ความบริสุทธิ์ เป็นการฝึกฝนไม่เพียงแต่ร่างกาย แต่รวมถึงจิตใจด้วย ผมเชื่อว่าการส่งเสริมซูโมจะช่วยสร้างความหวังในการขจัดการเลือกปฏิบัติ และอคติทั่วโลก ผมเป็นชาวมองโกเลียโดยกำเนิด และในฐานะชาวมองโกเลียที่เป็นตัวแทนของญี่ปุ่นบนเวทีโลก ผมรู้สึกใกล้ชิดกับชาวไทยที่เป็นตัวแทนของญี่ปุ่นบนเวทีโลกผ่าน Toyota
“ในฐานะชาวอังกฤษที่ใช้ชีวิตส่วนใหญ่ในประเทศญี่ปุ่น ผมเห็นด้วยอย่างยิ่งกับสิ่งที่คุณพูด ! ทั้งในมุมประวัติศาสตร์ และการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม…ตอนนี้เราจะก้าวไปสู่อีกขั้น กับการยกระดับของ Hilux รุ่นใหม่ ที่เป็นผลงานที่ผมมีความภูมิใจที่ได้ร่วมงานในฐานะหัวหน้าฝ่ายออกแบบ”
อัญญารัตน์ สุทธิเบญจกุล หัวหน้าวิศวกรระดับภูมิภาค บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ เอเชีย จำกัด กล่าวถึงแนวคิดในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ว่า วันนี้ไม่เพียงแต่เป็นการเริ่มประวัติศาสตร์บทใหม่สำหรับ Hilux และยังนับเป็นบทใหม่สำหรับการวิจัย พัฒนา และการผลิตของเราในประเทศไทย สำหรับดิฉันแล้ว นี่คือผลลัพธ์จากความทุ่มเทตลอดหลายปี จากบุคลากรผู้มีความสามารถ และความเชี่ยวชาญจากกลุ่มประเทศในเอเชีย และกลุ่มประเทศโลกใต้ ภายใต้การทำงานใกล้ชิดกับสำนักงานใหญ่ของ Toyota ที่ประเทศญี่ปุ่น ควบคู่ไปกับการรับฟังคำแนะนำจากเสียงของลูกค้า ทั้งจากประเทศไทย และจากทั่วโลก
Hilux ได้รับการยอมรับจากผู้ใช้งานจริงจาก 7 ใน 8 ภูมิภาคทั่วโลก สำหรับ Hilux รุ่นใหม่นี้ พวกเราได้เดินทางไปทั่วทุกภูมิภาค ตั้งแต่ทะเลทรายในตะวันออกกลาง ที่ราบสูงในอเมริกาใต้ ทุ่งหญ้าในแอฟริกา ไปจนถึงพื้นที่ห่างไกลของออสเตรเลีย และพื้นที่หนาวจัดของยุโรป
แต่ละตลาดต่างมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว เราได้เรียนรู้จากสภาพท้องถนน ภูมิอากาศ และไลฟ์สไตล์ของลูกค้าที่แตกต่างกัน แล้วนำข้อมูลเชิงลึกเหล่านั้นมาพัฒนาเป็นแม่แบบในการพัฒนา (Blueprint)
นี่จึงเป็นเหตุผลที่เราตั้งใจพัฒนาจากในระดับภูมิภาค เพื่อออกแบบรถให้สอดคล้องกับสภาพที่แตกต่างกันของแต่ละพื้นที่ ขณะเดียวกันก็ยังคงรักษามาตรฐานระดับโลกของ Toyota เอาไว้ ทั้งในด้านความปลอดภัย และสมรรถนะ ผลลัพธ์ก็คือ รถยนต์ที่กลายเป็น “เพื่อนคู่ใจ และเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต” อย่างแท้จริง
นอกจากนี้ Hilux รุ่นใหม่กำลังพัฒนาไปพร้อมกับยานยนต์ไฟฟ้า (Electrification) เทคโนโลยีการเชื่อมต่อ (Connected Technologies) และบริการดิจิทอล (Digital Services) โดยที่เรายังคงยึดมั่นในรากฐานเดิม ทุกองค์ประกอบตั้งแต่การออกแบบไปจนถึงการทดสอบ ล้วนถูกขับเคลื่อนด้วยความมุ่งมั่นที่จะสร้างยานยนต์ที่น่าเชื่อถือ ยืดหยุ่น และพร้อมสำหรับอนาคต ความหลงใหลนี้ผลักดันให้เราสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ๆ ในขณะที่ยังคงยึดมั่นในคุณค่าของ QDR (คุณภาพ ความทนทาน และความน่าเชื่อถือ) ที่ลูกค้าคาดหวังจาก Toyota
ประการแรก ความน่าเชื่อถือ คือ สิ่งสำคัญอันดับแรกที่ลูกค้าของเราต้องการมากที่สุด จากเส้นทางภูเขาที่สมบุกสมบัน สู่ถนนในเมืองที่พลุกพล่าน Hilux รุ่นใหม่ได้รับการพัฒนาให้พร้อมรับมือได้กับทุกสภาพถนน เพื่อให้สามารถเดินทางไปทุกหนทุกแห่ง
เพื่อให้บรรลุเป้าหมายนี้ Hilux ใหม่ มีการเสริมความแข็งแกร่งของตัวถัง ปรับแต่งประสิทธิภาพช่วงล่างให้เหมาะสม และนำระบบพวงมาลัยเพาเวอร์ไฟฟ้า (EPS) มาใช้ เพิ่มความมั่นใจในการขับขี่ และควบคุมได้ง่ายยิ่งขึ้น ผลลัพธ์ คือ ยานยนต์ที่ไม่เพียงแค่ทนทานต่อสภาวะที่ยากลำบาก แต่ยังอยู่รอดได้ดีในสภาวะการ์ณเหล่านั้น เป็นการมอบความแข็งแกร่ง และความทนทานที่ลูกค้าคาดหวังจาก Toyota
เป้าหมายของ Toyota คือ ไม่เพียงสร้างรถที่แข็งแกร่งขึ้น แต่ยังฉลาดขึ้นด้วย Hilux ใหม่ออกแบบให้มีความสดใหม่ทั้งรูปลักษณ์ทั้งภายนอก และภายใน พร้อมรองรับการตกแต่งเพิ่มเติมเองได้ตามความต้องการเฉพาะของลูกค้าแต่ละคน เรายังเพิ่มเทคโนโลยีความปลอดภัย และระบบอีเลคทรอนิคส์ขั้นสูง เช่น Toyota Safety Sense 3 (TSS 3), Panoramic View Monitor (PVM) และ Multi-Terrain Monitor (MTM) นวัตกรรมเหล่านี้ช่วยเพิ่มการปกป้องผู้ขับขี่ให้ดียิ่งข้นในสถานการณ์จราจรที่หลากหลาย นอกจากนี้ ระบบ PVM และ MTM ให้ภาพแบบเรียลไทม์ของพื้นที่รอบตัว และใต้ท้องรถ เพื่อช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถผ่านเส้นทางที่ท้าทายได้อย่างมั่นใจ และปลอดภัย-ไม่ว่าจะเดินทางไปที่ใดก็ตาม
ในขณะที่โลกกำลังก้าวไปสู่สังคมแห่งความเป็นกลางทางคาร์บอน Toyota มีเป้าหมายชัดเจน “จะไม่มีใครถูกทิ้งไว้ข้างหลัง” Toyota เชื่อว่าไม่มีทางออกเดียวที่ตอบโจทย์ลูกค้าทั้งหมดได้ แต่เราต้องมี “ทางเลือกที่หลากหลาย” เพื่อให้เหมาะกับการใช้งาน และวิถีชีวิตของแต่ละคน Hilux ใหม่พร้อมแล้วสำหรับความจริงนี้ ด้วยการพัฒนาให้ก้าวข้ามเครื่องยนต์สันดาปแบบเดิม เพิ่มทางเลือกใหม่ของระบบขับเคลื่อนไฟฟ้าเต็มรูปแบบ (BEV-Battery Electric Vehicle) เพื่อให้ตอบโจทย์ทุกตลาด ทุกลูกค้า และทุกความต้องการ แนวทาง Multi-Pathway นี้ คือ การสร้างโซลูชันการเดินทางที่ครอบคลุม ปฏิบัติได้จริง และยั่งยืนสำหรับทุกคน
Hilux BEV รุ่นใหม่ได้รับการออกแบบให้ช่วยลดมลพิษทางอากาศ ขณะเดียวกันยังคงสมรรถนะของรถแบบ Body-on-Frame ไว้อย่างครบถ้วน-ทั้งความสามารถในการลุยออฟโรด การลุยน้ำลึก และการบรรทุก หรือการลากจูง เป้าหมายของเรา คือ ทำให้ Hilux เป็นรถที่ตอบโจทย์ทุกกลุ่ม ตั้งแต่ผู้ใช้ในเมือง นักผจญภัย ไปจนถึงผู้คนที่ทำงานในอาชีพต่างๆ ให้สอดคล้องกับวิถีชีวิต และสถานการณ์พลังงานของแต่ละประเทศ ทั้งหมดนี้เพื่อสนับสนุนเป้าหมายการลดการปล่อยคาร์บอนของโลก
นวัตกรรมทั้งหมดนี้ตอกย้ำบทบาทของ Hilux ในฐานะ “เพื่อนคู่ใจ และเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต” พร้อมเติบโตไปด้วยกันกับเจ้าของรถ และคงคุณค่าไปตลอดอายุการใช้งาน ความหลากหลาย และความยืดหยุ่นนี้ทำให้ Hilux ยังคงตอบโจทย์ทั้งความต้องการของวันนี้ และความท้าทายในวันพรุ่งนี้
นิค โฮจิออส ผู้จัดการอาวุโส Toyota Design ประเทศออสเตรเลีย กล่าวถึงแนวคิดในการออกแบบ Hilux Travo ว่า ผมเชื่อมั่นว่าลูกค้าทั่วโลกที่มีความต้องการในใช้งานที่หลากหลาย จะชอบ Hilux รุ่นใหม่อย่างแน่นอน เพราะเป็นรถที่โดดเด่น และมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ด้วยดีไซน์ใหม่ของ Hilux มีความโดดเด่น และทรงพลัง พร้อมกล่าวถึงการร่วมมือระหว่างทีมออกแบบจากออสเตรเลีย และทีมวิศวกรจากประเทศไทยว่าเป็นความร่วมมือระดับนานาชาติที่ยอดเยี่ยม ใช้เวลากว่า 10 ปีในการสร้างให้สำเร็จขึ้นมา
รถคันนี้พัฒนาขึ้นจากผู้ที่เข้าใจว่า ผู้ใช้ Hilux ทั่วโลกมีความต้องการอย่างไร เพื่อร่วมกันเพื่อสร้าง Hilux รุ่นใหม่ ที่จะนำมาซึ่งความภูมิใจในการครอบครองให้แก่ลูกค้าทุกคน ทั้งนี้ตลอดหลายปีที่ผ่านมา เราได้ร่วมพัฒนา Hilux ให้ดียิ่งขึ้นเรื่อยๆ และยังสร้างรุ่นยอดนิยมอย่าง Hilux GR-S และ Rocco อีกด้วย และตอนนี้ เราได้นำประสบการณ์ทั้งหมดมารวมกัน เพื่อสร้าง Hilux รุ่นที่ 9 อันเป็นการเปิดตำนานใหม่ให้แก่ Hilux ซึ่งในช่วงเริ่มต้นของโครงการ เรามีตัวแทนจากหลายประเทศมาร่วมวางแนวทางของผลิตภัณฑ์ให้ชัดเจน เพื่อกำหนดทิศทางของรถรุ่นใหม่นี้ภายใต้เป้าหมายเดียวกัน
“ตัวตนที่แท้จริงของ Hilux” ประกอบด้วย โครงสร้างที่แข็งแกร่งห่อหุ้มด้วยดีไซจ์นที่ทันสมัย และทรงพลัง เราตั้งใจสร้างการเปลี่ยนแปลงเพื่อให้รถตอบรับกับทุกความต้องการของผู้ใช้งาน ตัวอย่างเช่น กระจังหน้าแบบเรียวแต่ดูดุดัน และดีไซจ์นด้านหน้าแบบ 2 ชั้น ทำให้ Hilux ใหม่ดูโดดเด่น รวมถึงการใส่ตัวอักษร “T O Y O T A” ทั้งด้านหน้า และด้านหลังในทุกรุ่นย่อย ซึ่งมิใช่แค่เพียงการสื่อถึงชื่อแบรนด์เท่านั้น แต่ยังเป็น “สัญลักษณ์แห่งความไว้วางใจ” เป็นดั่งคำสัญญาว่ารถคันนี้จะตอบโจทย์ทุกความต้องการของผู้ใช้งานได้ และเป็น “รถแห่งโอกาสไร้ขีดจำกัด” อย่างแท้จริง
ภายในของ Hilux ใหม่ ปรับเปลี่ยนให้ล้ำสมัย และใช้งานได้จริง เปรียบเสมือนชุดออกรบ ที่พร้อมสำหรับทุกสถานการณ์ กับดีไซจ์นภายในที่ดูแข็งแรงแต่ทันสมัย อุปกรณ์ต่างๆ จัดวางอย่างเหมาะสม ใช้งานสะดวก และเทคโนโลยีก็พัฒนาไปอีกระดับ ทำให้ภายในของรถเป็นพื้นที่เหมาะสมกับ “ทุกการใช้งาน และใช้ชีวิตอย่างเต็มที่”
นี่คือการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ ที่คู่ควรกับชื่อ Hilux อย่างแท้จริง และนี่คือการตีความใหม่ของรถกระบะในตำนาน ที่ถูกสร้างขึ้นโดยทีมงานที่เข้าใจลูกค้ามากที่สุด เพื่อมอบสิ่งที่ดีที่สุดให้แก่ผู้คนทั่วโลก และเรื่องราวของ Hilux ยังไม่จบแค่นี้ เพราะตราบใดที่ความต้องการของลูกค้ายังพัฒนาไปข้างหน้า Hilux ก็จะพัฒนาไปด้วยเสมอ เพื่อรับใช้ผู้คนในทุกชุมชนบนโลกจากออสเตรเลีย อเมริกาใต้ แอฟริกาใต้ ไปจนถึงยุโรป และเอเชีย-Hilux คือ รถในตำนาน เราทำงานร่วมกันเพื่อออกแบบ Hilux รุ่นใหม่ ที่จะสืบสานตำนานนี้ต่อไปในอนาคต ขอให้ทุกท่านรอติดตามผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ที่น่าตื่นเต้นจากเราต่อไปครับ
ศุภกร รัตนวราหะ แถลงกลยุทธ์ทางการตลาดว่า “ชื่อของ “Travo” ได้รับแรงบันดาลใจจากการผสมผสานคำว่า “Travel” และ “Voyage” สะท้อนถึงจิตวิญญาณแห่งการเคลื่อนไหว การสำรวจ และการผจญภัยเป็นเพื่อนร่วมทางของผู้ที่มีแรงขับเคลื่อนในชีวิต พร้อมปรับตัว และกล้าท้าทายสิ่งใหม่ๆ รวมถึงการเติบโตทั้งในชีวิตส่วนตัว และสายอาชีพ
และแน่นอนว่า ประเทศไทยถือเป็นหนึ่งในตลาดเชิงกลยุทธ์ที่สำคัญ ระหว่างการพัฒนา Hilux Travo ทีมวิศวกรของเราได้ลงพื้นที่ศึกษาวิจัยอย่างลึกซึ้ง เพื่อทำความเข้าใจว่า "รถกระบะในอุดมคติ" สำหรับคนไทยควรเป็นอย่างไร ไม่ว่าจะเป็นการใช้งานแบบผสมผสาน ทั้งด้านลอจิสติคส์ การเดินทาง หรือการใช้ส่วนตัวเพื่อท่องเที่ยว ทีมงานได้สำรวจตลาด รับฟังเสียงจากลูกค้า อินฟลูเอนเซอร์ และร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นอย่างใกล้ชิดกับพี่ๆ สื่อมวลชนสายยานยนต์
ตำแหน่งผลิตภัณฑ์ของ Hilux ประกอบด้วย 3 รุ่นหลัก ได้แก่ Hilux Revo/Hilux Travo และ Hilux Champ
Hilux Revo จะเน้นการใช้งานเชิงธุรกิจ โดยเฉพาะกลุ่มลอจิสติคส์ และผู้ที่ชื่นชอบการตกแต่งรถ
Hilux Travo เน้นฟังค์ชันการใช้งานที่ตอบโจทย์ลูกค้าหลากหลายกลุ่ม ทั้ง Offroad และ Urban Lifestyle ขณะที่ Hilux Travo-e เหมาะสำหรับผู้ที่ให้ความสำคัญกับคุณภาพระดับพรีเมียม และองค์กรที่มีวิสัยทัศน์
Hilux Champ จะเน้นไปที่ตลาด Conversion ตอบโจทธ์ธุรกิจ และผู้ใช้ส่วนตัวที่รักการตกแต่งรถ
Hilux ทั้ง 3 รุ่นนี้ Toyota ยังคงยึดมั่น ในการที่จะไม่ทิ้งลูกค้ากลุ่มใดไว้ข้างหลัง เริ่มจาก Hilux Travo นำโดย รุ่น Overland รถเรือธงของเราที่เน้นลูกค้าส่วนบุคคลที่มองหาคู่หูที่ไว้ใจได้ พร้อมลุยทุกเส้นทาง ด้วยดีไซจ์นที่โดดเด่น และระบบการขับขี่ "Dynamic Cloud" ที่เพิ่มประสิทธิภาพ การควบคุมการทรงตัว และสัมผัสได้ถึงความนุ่มนวลที่ดียิ่งขึ้น เสริมสร้างสมรรถนะในการขับขี่ และความสบายในทุกมิติ เพื่อให้ลูกค้าได้มีโอกาสสัมผัสประสบการณ์จริง เราขอเชิญทุกท่านที่โชว์รูม Toyota ได้ตั้งแต่วันที่ 21-30 พฤศจิกายน
นอกจากนี้ สำหรับลูกค้าในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล สามารถสัมผัส Hilux Travo ได้ที่งาน Thailand International Motor Expo ณ IMPACT เมืองทองธานี และสำหรับผู้ที่อยากสัมผัสสมรรถนะ 4x4 อย่างเต็มรูปแบบ ขอเชิญร่วมกิจกรรมทดลองขับที่สนามทดสอบใหม่ล่าสุด ณ Toyota Alive ในเดือนธันวาคมนี้
สำหรับรถกระบะไฟฟ้า Travo-e ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อตอบโจทย์ลูกค้าระดับพรีเมียม และองค์กรที่มีวิสัยทัศน์ ที่ให้ความสำคัญกับนวัตกรรม และความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) Toyota ได้เตรียมแผนการดูแลลูกค้าทุกมิติ ทั้งประกันภัยชั้น 1 พร้อมแพคเกจการดูแลรักษารถ BEV แบบครบวงจร และการช่วยลดต้นทุนผ่านโปรแกรมการเช่าใช้ Kinto โดยเราได้จัดราคาพิเศษสำหรับลูกค้าประเภทองค์กรอีกด้วย
ทั้งนี้ในส่วนของประกันภัย Toyota ได้ร่วมมือกับบริษัทประกันภัยชั้นนำ 7 แห่ง จัดทำประกันภัยชั้น 1 Toyota Care PHYD เพื่อมอบความคุ้มครองที่คุ้มค่าสูงสุดให้แก่ลูกค้า และด้วยคุณภาพมาตรฐานจาก Toyota ทำให้บริษัทประกันภัยมั่นใจใน Travo-e ด้วยเบี้ยประกันที่ถูกที่สุดในตลาดรถยนต์ BEV สำหรับการต่ออายุประกันภัย ยังได้รับส่วนลดสูงสุดถึง 40 % และสามารถต่ออายุความคุ้มครองต่อเนื่องถึง 8 ปี นี่คืออีกหนึ่งความตั้งใจของเรา ที่จะทำให้การเป็นเจ้าของรถไฟฟ้าเป็นเรื่องง่าย และคุ้มค่าสำหรับลูกค้าทุกท่าน
นอกจากตัวผลิตภัณฑ์แล้ว ลูกค้า BEV ของ Toyota ยังสามารถมั่นใจได้ในบริการหลังการขายแบบครบวงจร เริ่มจากค่าใช้จ่ายการบำรุงรักษาต่ำกว่า ทีมงานที่ผ่านการฝึกอบรมมาอย่างดี เครือข่ายศูนย์บริการตัวถัง และสีที่ครอบคลุมทั่วประเทศ อะไหล่ที่พร้อมใช้งาน และมาตรฐานคุณภาพที่เชื่อถือได้ของ Toyota และนี่คือสิ่งยืนยันถึงความพร้อมที่จะส่งมอบสิ่งที่ดีที่สุดให้แก่ลูกค้าในทุกรูปแบบ”
สำหรับ Hilux Revo ศุภกร กล่าวขออภัยลูกค้า ที่ยังไม่ได้เปิดตัวรุ่น Z Edition ใหม่ได้ในการเปิดตัวครั้งนี้ ทั้งนี้ Hilux Revo Z Edition ได้รับการปรับปรุงโฉมไปในปี 2567 อย่างไรก็ตาม สำหรับ Hilux Revo มีการเพิ่มระบบความปลอดภัย ADAS ได้แก่ ระบบแจ้งเตือนก่อนการชนด้านหน้า และระบบช่วยเตือนเมื่อรถคันหน้าเคลื่อนที่โดยยังคงราคาเดิม และนำเสนอชุดแต่งเวอร์ชันใหม่ของ Charismo ในชื่อ “Drift Package & Rock Package” ทั้งยังมาพร้อมแคมเปญที่น่าดึงดูดใจ โดยเน้นไปที่การเป็นเจ้าของได้ง่ายด้วยข้อเสนอผ่อนต่ำ ฟรีประกันภัยชั้น 1 พร้อมแคมเปญเฉพาะกลุ่มอย่างธุรกิจขนส่ง นอกจากนั้น ยังเข้าร่วมมาตรการค้ำประกัน “กระบะพี่ มีคลังค้ำ” จากรัฐบาล และพิเศษ ลูกค้า Toyota ทุกรุ่น สามารถร่วมแคมเปญส่งท้ายปีเก่า อาริกาโตะ รับส่วนลดเมื่อซื้อรถ Toyota และลุ้นรางวัลต่อโดยมีมูลค่ารางวัลรวมกว่า 593 ล้านบาท
Hilux Champ ที่มีส่วนสำคัญอย่างมากในตลาดรถกระบะ ซึ่งจากการสำรวจ พบว่า ลูกค้า Hilux Champ มีการใช้งานเชิงพาณิชย์ สูงถึงประมาณ 80 % โดยลูกค้าที่ซื้อส่วนใหญ่เป็นเจ้าของกิจการ ตัดสินใจซื้อรถรุ่นนี้ เพราะเป็นกระบะท้ายเรียบ แบบเปิด 3 ทาง และคุ้มค่าการลงทุน ดังนั้น ในไตรมาส 4 แคมเปญพิเศษ จะเน้นเจาะกลุ่มผู้ประกอบการ ในแต่ละรายอาชีพอย่างต่อเนื่อง และ 20 % ของกลุ่มลูกค้า Hilux Champ เป็นตลาด Private ส่วนใหญ่เป็นลูกค้ารายได้สูง ซื้อรถเพื่อไปตกแต่งตามความชอบ และ Lifestyle ทั้งนี้ ยังได้มีการแนะนำ Hilux Champ รุ่นช่วงล้อสั้นพิเศษ ในเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ซึ่งเหมาะอย่างยิ่งสำหรับการตกแต่งเพิ่มเติม
นอกจากนี้ Toyota ยังได้นำรถแต่งต้นแบบจากอู่แต่งพันธมิตร TJM ภายใต้ Concept Outdoor Escape และ SSS กับ Concept Mobile Service มาจัดแสดง พร้อมแนะนำ World of Hilux ที่จัดแสดง Hilux ในรูปแบบที่หลากหลาย เพื่อให้ลูกค้าเห็นภาพได้ชัดเจนยิ่งขึ้นว่า Hilux ตอบสนองการใช้งานได้อย่างครอบคลุม ทั้งสำหรับไลฟ์สไตล์ และการใช้งานเชิงพาณิชย์
...........................................................................................................................
Countdown to Motor Expo 2025 พร้อม 29 พย. นี้
“มหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 42” ปรับรูปแบบกิจกรรม คุมโทนในงานให้เหมาะสม ค่ายรถยนต์ 42 แบรนด์ จักรยานยนต์ 16 แบรนด์ ร่วมแสดงนวัตกรรม พร้อมจัดโปรโมชันมากมาย ณ อาคารชาลเลนเจอร์ IMPACT เมืองทองธานี 29 พฤศจิกายน-10 ธันวาคม นี้
ขวัญชัย ปภัสร์พงษ์ ประธานจัดงาน “มหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 42” เผยว่า “ปีนี้จัดตามแนวคิด “อลังการงานแสดง-The Magnificent Motor Expo” โดยขอความร่วมมือผู้ออกงานให้คำนึงถึงความเหมาะสมในการจัดกิจกรรม และการแต่งกายของพริทที เพื่อให้ภาพรวมของงานมีความสอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน
Motor Expo 2025 มีค่ายรถยนต์เข้าร่วมงานทั้งหมด 42 แบรนด์ จาก 8 ประเทศ ได้แก่ Aion, Audi, AVATR, BMW, BYD, Carryboy, Chery, Deepal, Denza, DFSK, Farizon, Ford, GAC, Geely, Geely Riddara, GWM, Honda, Hyptec, Hyundai, Isuzu, Jeep, Kia, Leapmotor, Lexus, Maxus, Mazda, Mercedes-Benz, MG, MINI, Mitsubishi, Nex, Nissan, Omoda & Jaecoo, Pocco, Porsche, Suzuki, Tesla, Toyota, Volvo, Wuling, Xpeng และ Zeekr รวมทั้ง ชุดแต่งจากผู้นำเข้าอิสระ M‘Z Speed
รถจักรยานยนต์ 16 แบรนด์ จาก 7 ประเทศ ได้แก่ BMW Motorrad, Deco, Ducati, EM Motor, Harley-Davidson, Honda, Lambretta, Niu, Royal Alloy, Royal Enfield, Sleek EV, Suzuki, Triumph, Tromox, Yamaha และ Zontes
รถมือสอง 3 แบรนด์ ได้แก่ BMW Premium Selection, Mercedes-Benz Certified Pre-Owned Vehicles และ Volvo Selekt
สำหรับกิจกรรมคืนกำไรให้ผู้ชมทั้ง ซื้อรถ...ชิงรถ/ซื้อบัตร...ชิงรถ/ซื้อมอเตอร์ไซค์...ชิงบิกไบค์/ชมงานผ่าน Motor Expo App ชิงรถ มีรายละเอียดดังนี้
1. “ซื้อรถ...ชิงรถ” ผู้จอง หรือซื้อรถยนต์ใหม่ภายในงาน มีสิทธิ์ชิงรถยนต์ AVATR 11 รุ่น Standard Range มูลค่า 2,099,000 บาท
2. “ซื้อบัตร...ชิงรถ” ผู้ซื้อบัตรชมงาน มีสิทธิ์ชิงรถยนต์ Mitsubishi Xforce รุ่น Ultimate มูลค่า 1,059,000 บาท
3. “ซื้อมอเตอร์ไซค์...ชิงบิกไบค์” ผู้จอง หรือซื้อรถจักรยานยนต์ใหม่ในงาน มีสิทธิ์ชิงรถจักรยานยนต์ Suzuki รุ่น GSX-8R มูลค่า 419,000 บาท
4. “ชมงานผ่าน Motor Expo App ชิงรถ" ผู้ลงทะเบียนใน Motor Expo Application พร้อมตอบแบบสอบถามครบถ้วน ตั้งแต่วันที่ 15 พฤศจิกายน-31 ธันวาคม 2568 มีสิทธิ์ชิงรถยนต์ Wuling Binguo รุ่น DC Icon มูลค่า 429,000 บาท
ยิ่งกว่านั้นยังมีบริการ “Motor Expo Exclusive Visitor” เพียง 1,000 บาท รับ บัตรเข้าชมงาน Ultimate VIP 3 ใบ ช่องจอดรถ VIP ณ ลานจอดรถ P1 (1 คัน/1 สิทธิ์) ฟรีค่าจอด 3 ชม. พื้นที่รับรองพิเศษ Exclusive Visitor Lounge บริการนำชมรถโดยพนักงานขายของแบรนด์ที่ลูกค้าสนใจ ซื้อสินค้าที่ระลึก Motor Expo ลด 10 % และสิทธิ์เข้าร่วมชิงโชครายการ “ซื้อบัตร...ชิงรถ”
นอกจากนี้ งาน Motor Expo 2025 ยังมีกิจกรรมมากมาย ได้แก่ Skill Driving Experience Junior จัดอบรมปลูกฝังวินัยจราจรเด็ก/Skill Driving Experience จัดกิจกรรมขับรถแข่งเครื่อง Simulator/Spirit of the 4x4 Driving School ชมสนามรถบังคับจำลองสถานการณ์ในพื้นที่ทุรกันดาร และสนามจำลอง ให้ทดลองนั่งรถ 4x4 ที่ขับโดยผู้เชี่ยวชาญ/นิทรรศการสมาคมรถโบราณแห่งประเทศไทย แสดงรถโบราณทรงคุณค่า หาชมยาก/มูลนิธิ "ลมหายใจไร้มลทิน" จัดกิจกรรมสำหรับเด็ก และเยาวชน/ชุมนุมรถสวย ชมรถยนต์ และบิกไบค์ รุ่นดังหลากหลายค่าย จากสมาชิกคาร์คลับทั่วประเทศ/Join Boat Platform จัดแสดงเรือสำหรับคนรักเรือ ฯลฯ
งาน “มหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 42” จัดขึ้น ณ อาคารชาลเลนเจอร์ IMPACT เมืองทองธานี ระหว่างวันที่ 29 พฤศจิกายน-10 ธันวาคม 2568 ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมได้ทุกสื่อในเครือ “IMC สื่อสากล” และสามารถซื้อบัตรชมงานได้ทาง https://www.motorexpo.co.th/onlineticket/
...........................................................................................................................
Ferrari เปิดตัว 849 Testarossa
Ferrari Far East ร่วมกับ คาวาลลิโน มอเตอร์ฯ ผู้นำเข้า และซ่อมบำรุงรถยนต์ Ferrari (แฟร์รารี) อย่างเป็นทางการแต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทย เผยโฉม “Ferrari 849 Testarossa Southeast Asia Premiere” ยนตรกรรมรุ่นล่าสุด “Ferrari 849 Testarossa” (แฟร์รารี 849 เตสตาโรสซา) เป็นครั้งแรกในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
วรวุฒิ ภิรมย์ภักดี รองประธาน และกรรมการบริหาร บริษัท คาลวาลิโน มอเตอร์ จำกัด กล่าวว่า การจัดงาน "Ferrari 849 Testarossa Southeast Asia Premiere" ถือเป็นความภาคภูมิใจของคาวาลลิโน มอเตอร์ฯ ที่ Ferrari Far East ได้เลือกทางประเทศไทยในการจัดงานเปิดตัวยนตรกรรมระดับไอคอนิครุ่นนี้เป็นครั้งแรกในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งสะท้อนถึงความเชื่อมั่นที่ Ferrari มีต่อประเทศไทย และเป็นโอกาสที่ลูกค้า Ferrari จากต่างประเทศได้มาร่วมงานที่ประเทศไทยในปีนี้
นันทมาลี ภิรมย์ภักดี กรรมการผู้จัดการ บริษัท คาลวาลิโน มอเตอร์ จำกัด กล่าวเสริมถึงความนิยมของ Ferrari 849 Testarossa ว่า Ferrari 849 Testarossa ถือเป็นการเปิดบทใหม่แห่งยุคของซูเพอร์สปอร์ทคาร์สายพันธุ์ Berlinetta (แบร์ลิเนตตา) หลอมรวมทั้งสมรรถนะอันทรงพลัง และความประณีตหรูหราไว้ได้อย่างลงตัว รถรุ่นนี้ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อสานต่อความสำเร็จจาก SF90 Stradale (เอสเอฟ 90 สตราดาเล) ตอกย้ำความมุ่งมั่นของ Ferrari ในการสร้างสรรค์เทคโนโลยีแห่งอนาคต ควบคู่กับอารมณ์ความเร้าใจในการขับขี่อย่างแท้จริง
849 Testarossa คือ สุดยอดยนตรกรรมของ Ferrari ในปัจจุบัน ที่สะท้อนจิตวิญญาณแห่งสนามแข่งของ Maranello (มาราเนลโล) ได้อย่างชัดเจน พร้อมมอบความสบาย และความหรูหราในทุกสัมผัส การกลับมาของชื่อ "Testarossa" ในครั้งนี้ ไม่เพียงเป็นการรำลึกถึงตำนานจากปี 1956 แต่ยังเป็นการถ่ายทอดความเป็นอมตะของม้าลำพองให้แก่คนรุ่นใหม่ที่แสวงหาความสมบูรณ์แบบเหนือระดับ
นอกจากนี้ คาวาลลิโน มอเตอร์ฯ ยังเตรียมจัดงาน Ferrari 849 Testarossa Private View เพื่อให้ลูกค้าได้ชม และสัมผัสรถแบบใกล้ชิด ตั้งแต่วันที่ 15-23 พฤศจิกายนนี้ พร้อมเยี่ยมชมอาคารใหม่ ณ โชว์รูมคาวาลลิโน มอเตอร์ ถนนเพชรบุรีตัดใหม่ ซึ่งเราได้ออกแบบอย่างพิถีพิถัน เพื่อรองรับจำนวนรถ Ferrari ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในประเทศไทย อาคารแห่งใหม่นี้จะมอบประสบการณ์ระดับ Ultra Luxury ด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน รองรับทุกการบริการตั้งแต่การเลือกชมรถ ไปจนถึงบริการหลังการขายในมาตรฐานเดียวกับ Ferrari ทั่วโลก โดยภายใต้อาคารใหม่ยังมีศูนย์บริการซ่อมสี และตัวถัง (Body & Paint) แบบครบวงจร ที่ติดตั้งเครื่องผสมสีอัตโนมัติที่ทันสมัยที่สุด ซึ่งมีเพียงไม่กี่เครื่องในประเทศไทย ช่วยให้สามารถผสมเฉดสีได้อย่างแม่นยำตรงตามมาตรฐานโรงงานอิตาลี เพิ่มความมั่นใจในคุณภาพการดูแลรถยนต์ของลูกค้าทุกคัน
สำหรับการกลับมาของชื่อ “Testarossa” คือ การรำลึกถึงตำนานจากประวัติศาสตร์ของม้าลำพอง ที่เริ่มต้นตั้งแต่ปี 1956 กับรุ่น 500 TR และโด่งดังไปทั่วโลกกับ Ferrari Testarossa ในปี 1984 สู่ยุคใหม่ของความหรูหรา และสมรรถนะชั้นเลิศ อันเป็นสัญลักษณ์ของฝาสูบสีแดงบนเครื่องยนต์แข่งสมรรถนะสูง พร้อมการตีความที่ผสานระหว่างดีเอนเอแห่งความคลาสสิคเข้ากับเทคโนโลยี และงานออกแบบร่วมสมัยอย่างลงตัว
Ferrari 849 Testarossa จึงไม่ใช่เพียงการหวนคืนของชื่อระดับตำนาน แต่คือการประกาศศักดาแห่งความหรูหรา สมรรถนะ และจิตวิญญาณของ Ferrari ที่พร้อมทะยานสู่อนาคต ยนตรกรรมที่สะท้อนถึงจุดสูงสุดของศาสตร์แห่งสมรรถนะ และศิลปะแห่งการออกแบบอย่างแท้จริง ที่สร้างขึ้นเพื่อตอบโจทย์ผู้ที่ต้องการความสมบูรณ์แบบในทุกมิติ ทั้งความเร้าใจ ความหรูหรา และความสะดวกสบายในการขับขี่
คาวาลลิโน มอเตอร์ฯ ย้อนรอยเรื่องราวจากยุคทองของซูเพอร์คาร์ กับการถือกำเนิดของ Ferrari Testarossa ในปี 1984 รถในตำนานที่กลายเป็นสัญลักษณ์ของความเร็ว ความหรูหรา และดีไซจ์นเหนือกาลเวลา มาสู่ยนตรกรรมรุ่นล่าสุด Ferrari 849 Testarossa ที่พร้อมมอบประสบการณ์ระดับเวิร์ลด์คลาสส์ให้แก่ Ferrarista ทุกท่าน
ขุมพลังไฮบริดจากสนามแข่ง กว่า 1,050 แรงม้า หัวใจสำคัญ คือ เครื่องยนต์ V8 Twin-Turbo รุ่นใหม่ ที่ผสานระบบไฮบริดสุดล้ำ ต่อยอดเทคโนโลยีจากสนามแข่งของ Ferrari มอบพละกำลังรวมสูงสุดมหาศาลกว่า 1,050 แรงม้า พร้อมเสียง และสัมผัสที่เป็นเอกลักษณ์ของเครื่องยนต์ไว้อย่างครบถ้วน
ดีไซจ์นที่ปฏิวัติวงการ ดีไซจ์นของ Ferrari 849 Testarossa เป็นการปฏิวัติแนวคิดของรถสปอร์ทเครื่องยนต์วางกลาง โดยได้รับแรงบันดาลใจจากรถแข่ง Sports Prototype ยุค 1970s ที่ผสานความดุดันเข้ากับเส้นสายที่เฉียบคม และทันสมัย ให้ความสำคัญกับหลักอากาศพลศาสตร์ (Aerodynamics) ในทุกส่วนของตัวถัง ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการยึดเกาะถนน และการระบายความร้อนได้อย่างเหนือชั้น
ห้องโดยสารที่ผสานความหรูหรา และสัมผัสที่เร้าใจ ภายในห้องโดยสารยังคงความเป็น Ferrari อย่างแท้จริง ด้วยการออกแบบที่ให้ผู้ขับเป็นศูนย์กลาง (Driver-Oriented Architecture) ผสานความหรูหราเข้ากับความล้ำสมัยได้อย่างลงตัว โดดเด่นด้วยพวงมาลัยดีไซจ์นใหม่ที่เปลี่ยนมาใช้ "ปุ่มกดจริง" แทนระบบสัมผัส รวมถึงปุ่มสตาร์ทเครื่องยนต์อันเป็นเอกลักษณ์ เพื่อเพิ่มสัมผัสแห่งการควบคุมที่เร้าใจ และแม่นยำยิ่งขึ้น
Ferrari 849 Testarossa จึงไม่เพียงเป็นซูเพอร์คาร์ที่สานตำนานแห่งชื่ออันยิ่งใหญ่ แต่ยังเป็นสัญลักษณ์ของการก้าวข้ามขีดจำกัดทางวิศวกรรม สู่ยุคใหม่ของสมรรถนะ เทคโนโลยี และการออกแบบในแบบฉบับของ Ferrari อย่างแท้จริง
...........................................................................................................................
Infinite Automobile ทุ่ม 200 ล้าน เปิด 7 โชว์รูม
บริษัท อินฟินิท ออโตโมบิล จำกัด ในเครือ AAS Group ผู้แทนจำหน่ายรถยนต์ AVATR ในประเทศไทย ประกาศขยายดารลงทันทุ่ม 200 ล้านบาทเปิดโชว์รูม AVATR 7 แห่ง ครอบคลุมหลากหลายพื้นที่
อนุวัชร อินทรภูวศักดิ์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท อินฟินิท ออโตโมบิล จำกัดกล่าวว่า บริษัทฯ พร้อมขยายกาลงทุนรถยนต์พรเมียม AVATR เตรียมงบ 200 บาท ขยายโชว์รูมพร้อมศูนย์บริการ 7 แห่ง ได้แก่ สยามพารากอน, วิภาวดี, กาญจนาภิเษก, พระราม 3, ภูเก็ต, หาดใหญ่, เชียงใหม่ และปีหน้าอีก 2 แห่งได้แก่ ภาคตะวันออก และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
ล่าสุด เปิดโชว์รูม AVATR Rama 3 Flagship แห่งนี้ครอบคลุมพื้นที่รวมกว่า 9,000 ตรม. บนที่ดินกว่า 2.5 ไร่ มีการออกแบบที่ทันสมัยตามมาตรฐานสากลของ AVATR โดยแบ่งพื้นที่การใช้งานอย่างครบถ้วน ประกอบด้วย พื้นที่จัดแสดงรถยนต์รุ่นต่างๆ พร้อมด้วยพื้นที่รองรับลูกค้า (Customer Lounge) ระดับพรีเมียม และศูนย์บริการครบวงจร ครอบคลุมงานเชคระยะ ซ่อมแซมทั่วไป และศูนย์ซ่อมสีที่ได้รับมาตรฐานยุโรป เช่นเดียวกับทุกศูนย์ในเครือ AAS พร้อมด้วยพื้นที่ส่งมอบรถ และบริการหลังการขายในบรรยากาศหรูหรา เพื่อมอบประสบการณ์เหนือระดับให้แก่ลูกค้าในทุกขั้นตอนของการเป็นเจ้าของรถยนต์ไฟฟ้า ภายใต้งบลงทุนกว่า 200 ล้านบาท
“โชว์รูม AVATR พระราม 3 ถือเป็นอีกก้าวสำคัญของ Infinite Automobile ในการสร้างฟแลกชิพโชว์รูมแห่งแรกในประเทศไทย ที่ไม่เพียงแต่จะมีพื้นที่ขายใหญ่ที่สุด แต่ยังครบวงจรที่สุด ทั้งในด้านการขาย การบริการ และการรับรองลูกค้าในมาตรฐานระดับสากล เรามุ่งมั่นให้ที่นี่กลายเป็นศูนย์กลางในการสร้างประสบการณ์ระดับพรีเมียมแก่ลูกค้า AVATR ในประเทศไทย และพร้อมเดินหน้าขยายเครือข่ายเพื่อตอบรับความต้องการที่เติบโตอย่างต่อเนื่องของตลาดรถยนต์ไฟฟ้า”
ในเดือนพฤศจิกายน 2568 จะเปิดให้บริการในส่วนของโชว์รูม และจะเปิดให้บริการเต็มรูปแบบในเดือนมีนาคม 2569 พร้อมกันนี้ยังมีแผนพัฒนาพื้นที่บริเวณชั้น 3 ให้เป็นศูนย์อบรม และห้องประชุมสำหรับผู้จำหน่ายในเครือ Infinite Automobile ในขณะที่ชั้นดาดฟ้าเป็นพื้นที่จัดงานสังสรรค์กลางแจ้งสำหรับพาร์ทเนอร์ และลูกค้าของบริษัท
โชว์รูม AVATR Rama 3 สะท้อนถึงความร่วมมือเชิงกลยุทธ์กับ Changan Automobile หนึ่งในผู้นำเทคโนโลยียานยนต์อัจฉริยะระดับโลก เพื่อผลักดันให้ประเทศไทยก้าวสู่ศูนย์กลางการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าในภูมิภาค พร้อมตั้งเป้ารองรับความต้องการจากผู้ใช้งานกว่า 2,000 คน ภายใน 1-2 ปีนี้
นอกจากจะเปิดตัวโชว์รูมฟแลกชิพแห่งใหม่ให้ได้สัมผัสเป็นครั้งแรกแล้ว ยังเปิดตัว AVATR 11 Royal Edition ยนตรกรรมไฟฟ้าพรีเมียมที่ผสานสมรรถนะอัจฉริยะเข้ากับความหรูหราระดับแนวหน้า โดดเด่นด้วยดีไซจ์นตัวถัง Dual Tone สี Glossy Grey และ Glossy Black พร้อมเส้นสาย Platinum Silver รอบตัวถัง สะท้อนความประณีต และสง่างามในทุกมิติ ห้องโดยสารตกแต่งด้วยหนังแท้ Full Grain Semi-Aniline ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากสถาปัตยกรรม Opera House เพื่อมอบประสบการณ์แห่งความหรูหรา และความสบายสูงสุดแก่ผู้ขับขี่ นอกจากนี้ ยังมีไฮไลท์การเผยราคาคาดการณ์เป็นที่แรก ในตัวเลข 2,8XX,XXX บาท ซึ่งต้องติดตามราคาอย่างเป็นทางการอีกครั้งจากทาง Changan ประเทศไทย
นอกจากนี้ ลูกค้า AVATR จาก Infinite Automobile ทุกท่านยังได้รับสิทธิพิเศษเหนือระดับ “INFINITR” พื้นที่ที่ไลฟ์สไตล์หรูหรามาบรรจบกับนวัตกรรม คือ คลับที่ยกระดับประสบการณ์ทุกการกินดื่ม การเฉลิมฉลอง และการท่องเที่ยวให้กลายเป็นความประทับใจที่ไม่เหมือนใคร คือ สังคมที่เชื่อมโยงกับกลุ่มคนที่มีวิสัยทัศน์เดียวกัน สัมผัสถึงคุณค่าของการใช้ชีวิตที่เหนือกว่าในทุกรายละเอียด สะท้อนถึงการเดินทางที่ไม่มีวันสิ้นสุดในโลกแห่งสิทธิพิเศษเหนือระดับที่รังสรรค์ขึ้นเพื่อผู้ครอบครองรถยนต์ไฟฟ้าสุดหรู AVATR จาก Infinite Automobile โดยเฉพาะ
พร้อมเปิดลงทะเบียนจองสิทธิ์ AVATR 11 Royal Edition แล้ววันนี้ ที่โชว์รูม AVATR ภายใต้การดูแลของ บริษัท อินฟินิท ออโตโมบิล จำกัด ทั้ง 7 สาขาทั่วประเทศ
...........................................................................................................................
Xpeng เปิดตัว G6 Standard Range
Xpeng ประเทศไทย ผู้นำเข้า และจัดจำหน่ายยานยนต์ไฟฟ้าอัจฉริยะ ภายใต้บริษัท มิลเลนเนียม กรุ๊ป คอร์ปอเรชั่น (เอเชีย) จำกัด (มหาชน) หรือ MGC-Asia เปิดตัว New Xpeng G6 (เสี่ยวเผิง จี 6) รุ่นย่อยใหม่ "Standard Range" ภายใต้คอนเซพท์ "The Standard that Raises Standards" ยกระดับมาตรฐานเทคโนโลยีรถยนต์ไฟฟ้าเอสยูวีขนาดกลาง มุ่งตอบโจทย์การใช้งานจริง มีเทคโนโลยีล้ำสมัย ได้รับการปรับให้สอดคล้องกับความต้องการ พร้อมราคาที่เหมาะสม และคุ้มค่า แต่ยังคงไว้ซึ่งสมรรถนะความปลอดภัย พร้อมแบทเตอรีประสิทธิภาพสูง มอบประสบการณ์เหนือระดับ และแตกต่าง ในยุคแห่งการขับเคลื่อนด้วยพลังงานสะอาดอย่างยั่งยืน
อภิวันท์ สิงห์ทวีศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Xpeng ประเทศไทย กล่าวว่า Xpeng (เสี่ยวเผิง) คือ แบรนด์แห่งนวัตกรรม และเทคโนโลยี ทั้ง Xpeng รุ่น G6 อุลทราสมาร์ท เอสยูวีคูเป และ X9 รถตู้ไฟฟ้า ทรงสปอร์ทอัจฉริยะ ขับเคลื่อนด้วย AI ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์การเดินทาง โดย G6 พร้อมขยายการเข้าถึงไปสู่กลุ่มผู้ใช้ที่หลากหลาย ตั้งแต่ผู้ที่กำลังมองหารถยนต์ไฟฟ้าคันแรก ไปจนถึงต้องการยกระดับไลฟ์สไตล์สู่ยุคการขับขี่อัจฉริยะ หรือให้ความสำคัญกับเทคโนโลยีแบทเตอรีประสิทธิภาพสูง ที่พร้อมรองรับอนาคต
New Xpeng G6 รุ่นย่อยใหม่
New Xpeng G6 รุ่นย่อยใหม่ Standard Range ที่ยกระดับคำว่า "Standard" ให้เหนือกว่าที่เคย ด้วยเทคโนโลยี 800V SiC Platform และแบทเตอรีแบบ 5C นับเป็นการสร้างนิยามใหม่ ที่ไม่ใช่เพียงราคาจับต้องได้ แต่เป็นมาตรฐานใหม่ของความฉลาด และคุณภาพระดับพรีเมียม ตามคอนเซพท์ The Standard that Raises Standards
Range ยกระดับมาตรฐานเทคโนโลยีแบทเตอรี พร้อมคงระบบขับขี่อัจฉริยะ
โดดเด่นด้วยดีไซจ์นภายนอกสุดล้ำ คงเอกลักษณ์ Robot Face ด้วยไฟ Full-Width Integrated Daytime Running Light ด้านหน้า เสริมความสปอร์ทด้วยฝาท้ายดีไซจ์นแบบ Ducktail และกันชนท้ายแบบ C-Ring พร้อมล้ออัลลอย Five-Spoke ขนาด 20 นิ้ว มาพร้อม 5C AI Battery Ultra-Fast Charging แบบ LFP ขนาด 68.5 กิโลวัตต์ชั่วโมง รองรับกำลังในการชาร์จแบบกระแสตรง (DC) สูงสุด 382 กิโลวัตต์ สามารถชาร์จจาก 10-80 % ในเวลาเพียง 12 นาที ชาร์จไฟเต็มวิ่งได้ไกลสุด 540 กม. (NEDC) อัตราการสิ้นเปลืองพลังงาน 14.7 กิโลวัตต์ชั่วโมง/100 กม. (NEDC) นับเป็นรุ่นที่ชาร์จเร็ว และใช้พลังงานได้อย่างมีประสิทธิภาพที่สุด เทียบกับรถยนต์ไฟฟ้าเอสยูวี ในระดับราคา และขนาดแบทเตอรีใกล้เคียงกัน
นอกจากนี้ New Xpeng G6 Standard Range ยังรองรับการอัพเดทแบบออนไลน์ (OTA) เพื่อปรับปรุงซอฟท์แวร์ระบบความปลอดภัย และเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง ทำให้ลูกค้าได้ขับรถที่มีซอฟท์แวร์ทันสมัย และใหม่ตลอดเวลา ด้วยราคา 1,189,000 บาท
จอง และออกรถ New Xpeng G6 Standard Range รับข้อเสนอพิเศษ
รับข้อเสนอเดียวกับ Motor Expo
• บัตรชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า มูลค่า 20,000 บาท*
• ม่านหลังคาไฟฟ้าพร้อมติดตั้ง พร้อมอุปกรณ์ดูดฝุ่น*
• ประกันภัยชั้น 1 พร้อม พรบ. นาน 1 ปี *
• Wallbox Charger พร้อมติดตั้ง*
• เครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าแบบพกพา*
• คะแนน MGC-Mobilife 6,000 คะแนน*
• บริการช่วยเหลือฉุกเฉิน 24 ชม. (Premium Roadside Assistance) นาน 5 ปี*
• รับประกันคุณภาพสินค้า 5 ปี หรือ 120,000 กม.*
• รับประกันคุณภาพแบทเตอรี และมอเตอร์ขับเคลื่อน 8 ปี หรือ 160,000 กม.*
Xpeng ประเทศไทย เดินหน้าขยายเครือข่าย
Xpeng มุ่งขยายพาร์ทเนอร์อย่างต่อเนื่อง ทั้งในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล ตลอดจนหัวเมืองหลักในแต่ละภูมิภาค นำโดย Xpeng รามคำแหง, สุขุมวิท, ประดิษฐ์มนูธรรม, แจ้งวัฒนะราชพฤกษ์, พัทยา, ขอนแก่น,อุบลราชธานี,เชียงใหม่, ภูเก็ต, วิภาวดี-รังสิต, ตลิ่งชัน, ศรีนครินทร์, สุราษร์ธานี และเกษตร-นวมินทร์ รวมทั้งหมด 15 แห่ง โดยให้ความสำคัญกับคุณภาพการบริการที่เป็นมาตรฐาน ผสานเครื่องมืออันทันสมัย และคลังเก็บอะไหล่ "Xpeng Parts Center" เพื่อประสิทธิภาพการให้บริการ และความพึงพอใจของลูกค้าอย่างทั่วถึง
*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทฯ กำหนด
......................................................................................................
MG S5 EV คว้า มาตรฐานความปลอดภัย 5 ดาว
บริษัท เอสเอไอซี มอเตอร์-ซีพี จำกัด และบริษัท เอ็มจี เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิต และผู้จำหน่ายรถยนต์ MG (เอมจี) ในประเทศไทย เผยความสำเร็จ New MG S5 EV (เอมจี เอส 5 อีวี) ใหม่ ผ่านการรับรองมาตรฐานความปลอดภัยระดับสูงสุด 5 ดาวจาก Asean NCAP โปรแกรมทดสอบความปลอดภัยรถยนต์ระดับภูมิภาคอาเซียน ต่อจาก Euro NCAP และ ANCAP ส่งมอบความปลอดภัยให้ทั้งผู้ขับขี่ และผู้ใช้ถนนด้วยเทคโนโลยีความปลอดภัยระดับสูงมาตรฐานสากลที่ใส่มารอบคัน
2025 Asean NCAP เป็นความร่วมของ Malaysian Institute of Road Safety Research (MIROS)+Global NCAP ได้เผยการวัดผลคะแนน New MG S5 EV ในแต่ละด้าน ได้แก่ ความปลอดภัยสำหรับผู้โดยสารผู้ใหญ่ (Adult Occupant Protection) ความปลอดภัยสำหรับผู้โดยสารเด็ก (Child Occupant Protection) ประสิทธิภาพของระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ (Safety Assist) และระบบความปลอดภัยสำหรับผู้ใช้มอเตอร์ไซค์ (Motorcyclist Safety) ซึ่งผ่านการประเมินความปลอดภัยของรถยนต์อย่างเข้มงวด สามารถคว้าระดับความปลอดภัย 5 ดาว จากสถาบัน Asean NCAP ด้วย 92.39 คะแนน แบ่งเป็นรายละเอียด ดังนี้
- การปกป้องผู้โดยสารที่เป็นผู้ใหญ่ (Adult Occupant Protection) อยู่ที่ 37.9 คะแนน มีรูปแบบการทดสอบด้านความแข็งแกร่งของโครงสร้างตัวรถยนต์จากการชนทั้งด้านหน้า และด้านข้าง พบว่าตัวห้องโดยสารยังเสถียร ป้องกันผู้ขับขี่ และผู้โดยสารรอบด้าน ลดการกระแทกของผู้โดยสารด้วยถุงลมนิรภัยทั้งด้านหน้า และด้านหลัง
- การปกป้องผู้โดยสารเด็ก (Child Occupant Protection) อยู่ที่ 16.99 คะแนน โดยทดสอบด้วยหุ่นยนต์จำลองอายุ 6 และ 10 ปี พบว่า สามารถป้องกันได้ดีจากอุบัติเหตุการชนด้านหน้า และด้านข้างของตัวรถยนต์
- ประสิทธิภาพของเทคโนโลยีช่วยเหลือผู้ขับขี่ (Safety Assist) อยู่ที่ 20 คะแนน โดยได้นำเสนอเทคโนโลยีล้ำสมัยที่เข้ามาช่วยเหลือผู้ขับขี่อย่างเต็มระบบ ทั้งระบบ Anti-Lock Braking System (ABS) ระบบการควบคุมการทรงตัว Electronic Stability Control ระบบแจ้งเตือนการรัดเข็มขัดนิรภัยในทุกตำแหน่ง ระบบเบรคฉุกเฉิน Auto Emergency Braking และระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ Advanced Safety Assist Technologies เป็นต้น
เทคโนโลยีที่ให้ความปลอดภัยสำหรับผู้ใช้มอเตอร์ไซค์ (Motorcyclist Safety) อยู่ที่ 17.50 คะแนน โดยคะแนนส่วนนึงมาจากการติดตั้งระบบเตือนมุมอับสายตา (Blind Spot Detection) ทั้ง 2 ด้านของตัวรถเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน และจากการประเมิน Asean NCAP ยืนยันว่า เทคโนโลยีดังกล่าวสามารถทำงานได้ตามข้อกำหนดของ Asean NCAP ครบทั้ง 2 ด้านของตัวรถ.
New MG S5 EV ถือเป็น Global Model ที่ถูกพัฒนาด้วยการใช้พแลทฟอร์มสำหรับยานยนต์ไฟฟ้าโดยเฉพาะอย่าง Nebula Pure Electric Platform ที่คำนึงถึงความสมดุล และเสถียรภาพในการขับขี่อย่างแท้จริง มีการกระจายน้ำหนักแบบสมมาตร 50:50 จุดศูนย์ถ่วงต่ำ มาพร้อมช่วงล่างหน้าแบบอิสระแมคเฟอร์สันสตรัท และช่วงล่างหลังแบบอิสระ 5-Link Suspension และระบบความปลอดภัยขั้นสูงที่มีความครบครัน อาทิ ระบบเบรคมือไฟฟ้า (EPB) ระบบควบคุมการทรงตัว (SCS) ระบบป้องกันการไหลของรถ (AVH) ระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน (HAS) ระบบเปิด-ปิดไฟสูงอัตโนมัติ (IHC) ระบบตรวจจับพฤติกรรมการขับขี่ DMS (Driver Monitor System) และระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน ACC (Adaptive Cruise Control) ฯลฯ
พงษ์ศักดิ์ เลิศฤดีวัฒนวงศ์ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็มจี เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า การที่ New MG S5 EV ผ่านการรับรองมาตรฐานความปลอดภัยระดับสูงสุด 5 ดาวจาก 3 โปรแกรมทดสอบความปลอดภัยรถยนต์ระดับโลกทั้ง Euro NCAP, ANCAP และล่าสุด Asean NCAP ถือเป็นเครื่องยืนยันถึงประสิทธิภาพด้านความปลอดภัยในระดับสูงสุด สะท้อนให้เห็นถึงการให้ความสำคัญกับการพัฒนาระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ และระบบความปลอดภัยบนท้องถนนที่ดำเนินมาอย่างต่อเนื่อง สำหรับประเทศไทย แน่นอนว่า New MG S5 EV ถือเป็น “อีวีมหาชน” ด้วยจุดเด่น “ขับสนุก วิ่งไกล ชาร์จไว นั่งสบาย พร้อม Lifetime Warranty” กับการรับประกันแบทเตอรีแรงเคลื่อนสูง ชุดมอเตอร์ขับเคลื่อน และชุดควบคุมมอเตอร์ขับเคลื่อนตลอดอายุการใช้งานแม้เปลี่ยนผู้ครอบครองรถ การมีศูนย์บริการ 125 แห่ง พร้อมการจัดการอะไหล่ที่พร้อม สะท้อนความใส่ใจของ MG ที่ให้ความสำคัญกับการดูแลลูกค้าทั้งก่อน และหลังการขาย
...........................................................................................................................
MotoGP 2026 ไทยพร้อมสนามเปิดฤดูกาล
การกีฬาแห่งประเทศไทย แถลงข่าวพร้อมจัดการแข่งขัน และเปิดจำหน่ายบัตรชม ศึกรถจักรยานยนต์ชิงแชมพ์โลก “MotoGP” รายการ PT Grand Prix of Thailand 2026 โดยประเทศไทยเป็นเจ้าภาพ การทดสอบก่อนเปิดฤดูกาล หรือ Pre-Season Test วันที่ 21-22 กพ. และสนามที่ 1 เปิดฤดูกาล ระหว่างวันที่ 27 กพ.-1 มีค. 2569 ที่ สนามช้าง อินเตอร์เนชันแนล เซอร์กิท จ. บุรีรัมย์
ภายในงานยังได้มีการเปิดจำหน่ายบัตรชมการแข่งขัน MotoGP สนามประเทศไทย ประจำปี 2569 อย่างเป็นทางการ โดยปีนี้ปรับเวลาการจัดจำหน่ายให้เร็วขึ้นกว่าทุกปีรวมทั้งมีการเพิ่มกิจกรรมความสนุก ลุ้นรางวัลของที่ระลึกมากมาย รวมทั้งความพิเศษของบัตรชมการแข่งขัน ที่มาพร้อมสิทธิพิเศษ "3-in-1 Global Exclusive" ในการเข้าชมฟรี 3 กิจกรรมหลักทั้ง Pre-Season Test, Main Race และเป็นบัตรแอดมิชชันร่วมกิจกรรมบันเทิง โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย หลังเปิดจำหน่ายบัตร Grand Stand Sold Out ด้วยเวลา 3.21 นาที
รัฐบาล "เดินหน้า" สานต่อ ThaiGP ดันไทยสู่ "ฮับมอเตอร์สปอร์ทภูมิภาค"
ดร.ก้องศักด ยอดมณี ผู้ว่าการการกีฬาแห่งประเทศไทย ในฐานะเจ้าภาพการจัดงานกล่าวว่า การที่ไทยได้เป็นเจ้าภาพ MotoGP เป็นปีที่ 7 และได้เป็นสนามเปิดฤดูกาลถึง 2 ปีติดต่อกัน ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นผลจากการทำงานอย่างเข้มแข็งของทุกภาคส่วน ซึ่งที่ผ่านมาประเทศไทยพิสูจน์แล้วว่า สิ่งที่ทำให้เราแตกต่าง คือ เอกลักษณ์ ความเป็นเจ้าบ้านที่อบอุ่น และการสร้างบรรยากาศที่แฟนๆ ไม่มีวันลืม เพื่อให้ผู้มาเยือนได้สัมผัสเสน่ห์ไทยอย่างแท้จริง และสร้าง “ภาพจำ” ที่แตกต่างจากทุกสนามทั่วโลก
“ThaiGP เป็นมากกว่าสนามแข่งขัน แต่เป็นเครื่องมือเชิงนโยบายที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจผ่าน “Sport Tourism” ที่สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจทั้งทางตรง และทางอ้อมจากการท่องเที่ยว โรงแรม ขนส่งและซัพพลายเชนต่างๆ นี่คือผลลัพธ์เชิงประจักษ์ที่ประเทศได้รับจากการเป็นเจ้าภาพ MotoGP”
“จากผลการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้อนุมัติให้ไทยต่อสัญญาเป็นเจ้าภาพออกไปอีก 5 ปี (ปี 2570-2574) สะท้อนว่า รัฐบาลมีเจตนาชัดเจนในการ “เดินหน้าต่อ” เพราะ ThaiGP เป็นทรัพย์สินเชิงยุทธศาสตร์ที่ช่วยยกระดับภาพลักษณ์ประเทศ ดึงดูดนักท่องเที่ยว และสร้างเศรษฐกิจหมุนเวียนอย่างยั่งยืน โดยมอบหมายให้การกีฬาแห่งประเทศไทยผลักดันให้ประเทศไทยเป็น “ฮับของมอเตอร์สปอร์ทในภูมิภาค” ผ่านการสนับสนุนการแข่งขัน การพัฒนานักแข่งเยาวชน และการใช้ Soft Power สื่อสารภาพลักษณ์ และอัตลักษณ์ของประเทศไปทั่วโลก”
ThaiGP คือ "การลงทุนในอนาคตของวงการกีฬาไทย" สร้างต้นแบบเมืองกีฬาอาเซียน
ทนุเกียรติ จันทร์ชุม ผู้จัดการกองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งประเทศไทย กล่าวว่า กองทุนฯ ในฐานะหน่วยงานหลักที่ให้การสนับสนุนการจัดงาน MotoGP ได้เห็นถึงพัฒนาการ และผลลัพธ์อันเป็นรูปธรรมของการจัดการแข่งขัน ตลอด 6 ปีที่ผ่านมาสร้างรายได้หมุนเวียนกว่า 25,000 ล้านบาท และดึงดูดนักท่องเที่ยวรวมแล้วกว่า 1.2 ล้านคน ชี้ให้เห็นว่าการจัดการแข่งขันระดับโลกนี้ คือ "เครื่องยืนยันถึงศักยภาพของประเทศ" ไม่เพียงในมิติของกีฬาเท่านั้น แต่ยังรวมถึงผลประโยชน์เชิงเศรษฐกิจ การท่องเที่ยว และภาพลักษณ์ของประเทศไทยในเวทีระดับโลก
การจัดการแข่งขัน MotoGP ในประเทศไทย ไม่ได้เป็นเพียงการจัดกิจกรรมกีฬาระดับนานาชาติเท่านั้น แต่ยังเป็น “การลงทุนในอนาคตของวงการกีฬาไทย” สร้างแรงบันดาลใจให้แก่เยาวชน สร้างอาชีพใหม่ในอุตสาหกรรมกีฬา และส่งเสริมเศรษฐกิจของพื้นที่ในระดับภูมิภาค โดยเฉพาะจังหวัดบุรีรัมย์ ซึ่งกลายเป็นหนึ่งในต้นแบบของเมืองกีฬาในภูมิภาคอาเซียน และเป็นเวทีที่ช่วยต่อยอดศักยภาพของวงการมอเตอร์สปอร์ทไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืน
Dorna ชู ThaiGP คือ “ประสบการณ์ครบวงจร” เป็นหนึ่งในสนามที่มีผู้เข้าชมมากที่สุดในปฏิทิน MotoGP
อัมปาโร ปอร์โต ผู้อำนวยการอาวุโส Dorna Sport เจ้าของลิขสิทธิ์การแข่งขัน ได้กล่าวแสดงความขอบคุณประเทศไทย ผ่านกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และการกีฬาแห่งประเทศไทย สำหรับความร่วมมืออันยอดเยี่ยม และมุ่งมั่นที่จะเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขัน ThaiGP โดยต่อสัญญาไปอีก 5 ปี พร้อมทั้งขอบคุณทุกภาคส่วนที่ทำให้การแข่งขันประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ
“ประเทศไทยถือเป็นตลาดที่มีความสำคัญอย่างมากของ MotoGP ในภูมิภาคนี้ ด้วยฐานแฟนกีฬาที่แข็งแกร่ง และมีความหลงใหลในกีฬามอเตอร์สปอร์ท อีกทั้งยังมีศักยภาพในการขยายฐานผู้ชมได้อีกมาก โดยการแข่งขัน ThaiGP ถือเป็นหนึ่งในสนามที่มีผู้เข้าชมมากที่สุดในปฏิทิน MotoGP และประสบการณ์ของแฟนๆ ในสนามก็เป็นตัวอย่างที่ยอดเยี่ยมของความสำเร็จในด้านการจัดงาน โดยพื้นที่แฟนโซนของประเทศไทย มีความโดดเด่นด้านกิจกรรมความบันเทิง อาหาร และพื้นที่อเนกประสงค์ ทำให้การแข่งขัน ThaiGP เป็น “ประสบการณ์แบบครบวงจร” ทั้งใน และนอกสนาม สะท้อนแนวคิดของ MotoGP ที่มุ่งให้แฟนๆ ได้สนุกตลอดช่วงสุดสัปดาห์การแข่งขัน และบุรีรัมย์ได้พิสูจน์แล้วว่าสามารถทำให้ประสบการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นได้อย่างสมบูรณ์แบบ”
PTG ทุ่มสุดตัว ! มอบประสบการณ์ "PT Go for Max" Title Sponsor ปีที่ 3
พิทักษ์ รัชกิจประการ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) ในฐานะ Title Sponsor ติดต่อกันเป็นปีที่ 3 เปิดเผยว่า การสนับสนุนนี้เป็นการเดินทางที่เต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ เราเห็นผลลัพธ์เชิงบวกอย่างชัดเจน ทั้งการสร้างแบรนด์ที่แข็งแกร่ง ขยายโอกาสทางธุรกิจที่จับต้องได้, สร้างคุณค่าร่วมกันให้แก่ประเทศ และคนไทย”
“ด้วยสโลแกน "PT Go for Max" เราตั้งใจมอบประสบการณ์พิเศษมากมายให้แก่แฟนๆ เพื่อให้ได้รับความสุขแบบ "Max" ตั้งแต่ก่อนเริ่มงานไปจนถึงวันงาน ไม่ว่าจะเป็นสิทธิพิเศษสำหรับสมาชิก PT Max Card Plus บัตรแดง หรือสมาชิก PT Max Card Plus EV บัตรเขียวอ่อน รับส่วนลดซื้อบัตรเข้าชม 25 % และ PT Max Card บัตรเขียว รับส่วนลด 20 % นอกจากนี้ ยังมีกิจกรรมพิเศษทั้งลด แลก แจก ชอพ จากทางผลิตภัณฑ์ในเครือ ไม่ว่าจะเป็น PT Maxnitron กาแฟพันธุ์ไทย ศูนย์บริการ Autobacs และผลิตภัณฑ์อื่นๆ รวมทั้งสินค้าลิขสิทธิ์สุดพิเศษเอาใจแฟนมอเตอร์สปอร์ทให้เลือกซื้อมากมาย นอกจากนี้ ยังมีไฮไลท์สำคัญ คือ กิจกรรม Fan Zone, Hero Walk และ Meet and Greet ที่จัดอย่างยิ่งใหญ่กว่าทุกปี ที่ PT Pavilion ที่เดียวเท่านั้น เราจะทำให้การมาเยือนสนามช้างฯ เป็นมากกว่าการชมการแข่งขัน แต่เป็นการได้รับประสบการณ์ที่ครบถ้วนทั้งความมันส์ ความคุ้มค่า และความประทับใจที่แฟนๆ ไม่มีวันลืม”
บุรีรัมย์ พร้อม 100 % ชี้ MotoGP สร้างงานกว่า 46,000 ตำแหน่ง
ปิยะ ปิจนำ ผู้ว่าราชการจังหวัดบุรีรัมย์ ในฐานะเจ้าบ้าน กล่าวถึงความพร้อมในการจัดงานว่า ความสำเร็จของ MotoGP นั้น ไม่ได้วัดเพียง 3 วันของการแข่งขัน แต่เป็นจุดเริ่มต้นของการพัฒนาเมืองอย่างยั่งยืน บุรีรัมย์ไม่เพียงแต่เป็นที่รู้จักมากขึ้น แต่ยังยกระดับตัวเองขึ้นมาเป็นเมืองท่องเที่ยวเชิงกีฬาที่สำคัญแห่งหนึ่งของโลก และที่สำคัญ คือ การกระจายรายได้สู่ชุมชน สร้างงานให้แก่คนในพื้นที่ไปกว่า 46,000 ตำแหน่ง ในตลอด 6 ปีที่ผ่านมา
ในฐานะเจ้าบ้าน เมืองหลวงแห่งมอเตอร์สปอร์ท จังหวัดบุรีรัมย์พร้อม 100 % แล้ว ทั้งในเชิงโครงสร้างพื้นฐาน การยกระดับระบบสาธารณูปโภค การรักษาความปลอดภัย และหัวใจการเป็นเจ้าบ้านที่อบอุ่น เพื่อมอบประสบการณ์ที่น่าประทับใจที่สุดให้แก่ผู้มาเยือนจากทั่วโลก เราจะยังคงเดินหน้าต่อยอดสิ่งนี้ให้แข็งแรงขึ้น ซึ่งการได้เป็นสนามเปิดฤดูกาลอีกครั้ง คือ โอกาสสำคัญที่ใช้ผลักดันเศรษฐกิจท้องถิ่นอย่างเต็มที่”
จุดพลุคอนเซพท์ "More than a Race" จัดใหญ่-สนุกขึ้น ลุ้นสร้างสถิติใหม่ผู้ชมสูงสุด
ตนัยศิริ ชาญวิทยารมณ์ กรรมการผู้อำนวยการ สนามช้าง อินเตอร์เนชันแนล เซอร์กิท กล่าวว่า สำหรับ ThaiGP 2026 จัดในคอนเซพท์ "More than a Race" สะท้อนบทบาทของสนามช้างฯ ที่เป็นมากกว่าสนามแข่งขัน แต่เป็นพื้นที่เคียงข้างชุมชนในทุกช่วงเวลา ทั้งศูนย์พักพิงช่วง COVID-19, ศูนย์อพยพผู้ประสบภัย ฯลฯ รวมถึงกิจกรรมเพื่อสังคมหลายรายการ โดยการจัดในปีนี้จะยกระดับให้ “ยิ่งใหญ่ และสนุกขึ้น” ด้วยกิจกรรมเสริมเต็มรูปแบบตลอด 3 วัน ดังเช่นที่ Dorna ยกให้เป็นสนามที่มีกิจกรรมเสริมดีที่สุด โดยจะขยาย Fan Zone ให้ใหญ่ และสนุกขึ้น จัดเต็มคอนเสิร์ทระดับประเทศจาก Chang Music Connection และยังคงรักษาความคุ้มค่าด้วยโปรโมชันตั๋ว MotoGP ที่ถูกที่สุดในโลก พร้อมสิทธิพิเศษในการเข้าชม Pre-Season Test ฟรี ตั้งเป้าเป็นสนามแข่งที่ดีที่สุด และน่าจดจำที่สุดในปฏิทิน MotoGP และคาดหวังว่า ปีนี้จะเป็นปีที่สามารถล้มสถิติจำนวนผู้ชมสูงสุด 226,655 คน เมื่อปี 2019 ให้ได้” พร้อมตั้งเป้าเพิ่มขึ้นอีกในสัญญาใหม่ต่อจากนี้ไม่น้อยกว่า 5 ปี
ทั้งนี้ “บัตรเข้าชม MotoGP สนามประเทศไทย 2026” แบ่งเป็น 4 ประเภท เข้าชม Pre-Season Test ได้ฟรี และชม Main Race ได้ทั้ง 3 วัน ได้แก่ 1. Grand Stand 5,000 บาท (เห็นทุกโค้งทั่วสนาม) 2. Rider Stand 3,000 บาท สำหรับกองเชียร์นักแข่ง ได้แก่ มาร์เกซ สแตนด์, กวาร์ตาราโร สแตนด์ (พร้อมของที่ระลึก ลิขสิทธิ์แท้จากนักบิดคนโปรด) 3. Side Stand 2,000 บาท 4. Brand Stand 2,000 บาท สำหรับกองเชียร์จากค่ายรถจักรยานยนต์ Honda (ฮอนดา), Yamaha (ยามาฮา) (พร้อมสิทธิ์ลุ้นชิงโชค และรับของที่ระลึกจากผู้สนับสนุน) โดยบัตร Honda Stand รับของที่ระลึก ได้แก่ Cheering Kit มูลค่ากว่า 800 บาททุกที่นั่ง ประกอบด้วย เสื้อยืดสุดพิเศษจากไทยฮอนด้าฯ, หมวก, กระเป๋า, กระบองลม และพัด ส่วนบัตร amaha Stand ลุ้นรับรางวัลใหญ่ 2 รางวัล ได้แก่ 1. รถจักรยานยนต์ All-New Yamaha NMAX และหมวกกันนอคพร้อมลายเซ็นของ ฟาบิโอ กวาร์ตาราโร 2. รถจักรยานยนต์ All-New Yamaha Aerox และหมวกกันนอคพร้อมลายเซ็นของ อเล็กซ์ รินส์ รวมมูลค่าของรางวัล 238,700 บาท
ส่วนผู้ชมที่ต้องการซื้อเฉพาะ บัตรชม Pre-Season Test ทดสอบก่อนเปิดฤดูกาล 21-22 กพ. 2569 ราคาจำหน่ายบัตร แบ่งเป็น บัตร Grand Stand ราคา 500 บาท/วัน หรือเหมา 2 วัน 900 บาท, บัตร VIP 5,000 บาท/วัน นอกจากนี้ ยังมีการเปิดจำหน่าย บัตร "VIP Lounge โค้ง 12" ครั้งแรก ! ราคา 20,000 บาท ซึ่งมอบประสบการณ์เหนือระดับ เห็นทุกจังหวะตัดสินแชมพ์ในโค้งสุดท้ายก่อนเข้าเส้นชัย ด้วยห้องรับรองติดแอร์ พร้อมอาหารระดับพรีเมียม เครื่องดื่มไม่อั้น Wi-Fi และทีวีถ่ายทอดสดแบบชิดติดสนาม และสิทธิ์เข้าชม Pre-Season Test ฟรี ! รวมทั้งยังมีการเปิดจำหน่าย “บัตร Paddock Pass” เข้าสู่โซนรับรองของนักแข่งระดับโลกอย่างใกล้ชิดขอลายเซ็น และถ่ายรูปแบบเอกซ์คลูซีฟ ในราคา 15,000 บาท ซึ่งเมื่อซื้อพร้อมบัตร Main Race จะได้รับส่วนลดพิเศษ 15 % เหลือเพียง 12,750 บาท และสิทธิ์เข้าชม Pre-Season Test ฟรี !
สำหรับส่วนลด และสิทธิประโยชน์ต่างๆ ยังคงจัดเต็มเช่นเคย โดย PTG มอบส่วนลดในการซื้อบัตรชมการแข่งขัน เพื่อเติมความสุขอย่างเต็ม Max ไม่ว่าจะเป็น บัตรแดง PT Max Card Plus เพียงโชว์บัตรที่จุดจำหน่าย รับส่วนลด 25 %, บัตรเขียว PT Max Card ลด 20 % และยังมีกิจกรรมพิเศษ ลด-แลก-แจก-ชอพภายในงาน ได้แก่ผลิตภัณฑ์ในเครือ PT Maxnitron กาแฟพันธุ์ไทย ศูนย์บริการ Autobacs ฯลฯ และยังมีของที่ระลึก MotoGP Limited มากมาย ติดตามได้ที่แฟนเพจ PT Station หรือสิทธิ์ส่วนลด 20 % จากผู้สนับสนุนอื่นๆ ได้แก่ Chang International Circuit Friend Club, กุญแจรถจักรยานยนต์ Honda, กุญแจรถจักรยานยนต์ Yamaha



























































