Quattroruote ทดสอบ
KIA SORENTO เอสยูวีที่ทันสมัยไม่แพ้ใคร
การทดสอบที่กินระยะทางกว่า 4,000 กม./เดือน เป็นเวลา 3 เดือนเต็ม กับเอสยูวีขนาดใหญ่จากประเทศเกาหลีใต้ที่ดูน่าเกรงขาม ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ที่เหมาะสมกับความต้องการของลูกค้า แต่กลับเป็นเครื่องยนต์ที่อาจจะ “ผิดที่ผิดทาง” สำหรับผู้กำหนดกฎเกณฑ์ในบางประเทศที่ตั้งกำแพงกฎกณฑ์สำหรับขุมพลังประเภทนี้ และตอนนี้ยังถูกลดทอนสิทธิประโยชน์ทางภาษีเพิ่มเติมเข้าไปอีก ดังนี้แล้ว ทีมงานของเราค้นพบอะไรบ้างจากการทดสอบ ? คำตอบที่ชัดเจนก็คือ ความน่าเชื่อถือทางเทคโนโลยีของรถยนต์สมัยใหม่ (อาจมียกเว้นในบางหัวข้อบ้าง) พบว่ารถคันนี้อยู่ในระดับสูงเกินคาด
มีผู้อ่านบางส่วนตั้งคำถามว่า เหตุใดเราถึงไม่ทำการทดสอบบนระยะทางไกล และเป็นระยะเวลานานๆ อีกแล้ว ทั้งที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นหนึ่งในจุดเด่นของ QUATTRORUOTE ซึ่งนำรถยนต์ที่ไม่น่าจะทนทานมาขับทดสอบบนระยะทางยาวอย่างจริงจัง เป็นการทดสอบที่ทรหดทั้งกับตัวรถ และตัวผู้ขับ คำตอบนั้นเรียบง่าย และเป็นเรื่องทางเทคนิค นั่นคือ ความน่าเชื่อถือของรถยนต์ยุคใหม่ทำได้ในปัจจุบันอยู่ในระดับที่การทนทานของเครื่องยนต์กลไกไม่ได้วัดกันที่ระยะทางอีกต่อไปเหมือนในอดีต แต่เปลี่ยนเป็นการวัดด้วย “เวลา” ทำให้ความท้าทายที่แท้จริงในปัจจุบัน คือ ความล้าสมัยทางเทคโนโลยีของระบบอีเลคทรอนิคส์ ไม่ใช่ความแข็งแกร่งของระบบกลไก (อย่างไรก็ตาม ไม่ได้หมายความว่า ตัวรถจะไม่มีความผิดพลาดร้ายแรงด้านการออกแบบฮาร์ด ยกตัวอย่างเช่น เครื่องยนต์ STELLANTIS PURE-TECH แต่กรณีเหล่านี้ถือเป็นข้อยกเว้น ต่างจากในอดีตที่เครื่องยนต์มักจะชำรุดเสียหายก่อนถึง 100,000 กม. ถือเป็นเรื่องปกติ)
การทดสอบของเรากับ KIA SORENTO (เกีย โซเรนโต) ได้พิสูจน์ชัดเจนถึงข้อเท็จจริงข้างต้น ด้วยระยะทางเกือบ 13,000 กม. ไม่มีเหตุขัดข้องใดๆ เกิดขึ้นแม้แต่น้อย คุณอาจสงสัยว่า แล้วเราจะทดสอบไปทำไม ? ประการแรก แม้ความเสียหายทางเครื่องยนต์กลไกจะเกิดขึ้นยากในปัจจุบัน แต่อุปกรณ์อีเลคทรอนิคส์ที่อยู่รอบด้านก็มักสร้างความหงุดหงิดเล็กๆ น้อยๆ ได้เช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นรถยนต์ระดับหรูหราแค่ไหนก็ตาม อาทิ ระบบความบันเทิงที่ค้างจนต้องรอรีเซท แต่ในกรณีนี้ ทุกอย่างทำงานได้อย่างไร้ที่ติ แสดงให้เห็นว่าค่ายรถจากเกาหลีใต้แทบไม่ต่างจากของประเทศญี่ปุ่นแล้ว มีการใส่ใจในทุกรายละเอียด (แม้ว่าบางครั้งการออกแบบที่ดูสวยงามลงตัวจะได้รับความสนใจมากกว่าการใช้งานจริงที่หวือหวาในบางครั้ง แต่นั่นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง)
รุ่น
- KIA SORENTO 2.2 CRDI EVOLUTION 4WD (ราคา 59,650 ยูโร หรือ ประมาณ 1,561,000 บาท ไม่รวมภาษีนำเข้า)
ระยะทาง (กม.) ต่อเดือน
- 4,246
ระยะเวลาการทดสอบ
- เดือนกุมภาพันธ์ – เดือนเมษายน 2025
12,737 กม. ระยะทางที่ใช้ทดสอบทั้งหมด
- ในช่วง 3 เดือนของการทดสอบ โดยส่วนใหญ่เป็นการขับทางไกลบนทางด่วน ระยะทางรวมกว่า 11,000 กม. SORENTO แสดงให้เห็นถึงมาตรฐานด้านความสะดวกสบายที่ยอดเยี่ยม
1,061 ลิตร ปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงที่ใช้
- การเดินทางภายใต้ระยะทางทั้งหมดตามที่ระบุมาในช่วง 3 เดือนของการทดสอบ รถยต์รุ่นนี้ใช้น้ำมันดีเซลประมาณ 1,000 ลิตร ซึ่งแปลงเป็นค่าใช้จ่ายราว 1,700 ยูโร (จากราคาน้ำมัน ณ เวลาทดสอบ)
12.0 กม./ลิตร อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ย
- ตามราคาน้ำมันในปัจจุบันของประเทศอิตาลั ข้อมูลจากจอแสดงผลแบบดิจิทอลของตัวรถ แสดงให้เห็นว่าอัตราสิ้นเปลืองโดยเฉลี่ยไม่แตกต่างจากผลทดสอบของเรามากนัก โดยทำอัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ยที่ 12.7 กม./ลิตร
เครื่องยนต์ดีเซลมีความลงตัวกับรถรุ่นนี้
หนึ่งในเหตุผลที่เรานำ SORENTO เข้ามาทดสอบในครั้งนี้ ก็เพราะนี่คือรถยนต์ที่กำลังจะหายไปจากท้องถนน และไม่ใช่เพราะตัวรถโดยรวมนั้นมีข้อบกพร่องแต่อย่างใด ตรงกันข้าม รถคันนี้ควรถูกยกย่องว่ายอดเยี่ยมด้วยซ้ำ แต่เพราะกฎระเบียบในปัจจุบันกำลังทำลายรูปแบบของขุมพลังต่างหาก อธิบายให้ชัดก็คือ เราเลือกเวอร์ชันเครื่องยนต์ดีเซล ขับเคลื่อน 4 ล้อ เพราะในโลกที่ “ปกติ” นี่คือสูตรที่ลงตัวที่สุดสำหรับรถประเภทนี้ โดยไม่ได้ด้อยค่าเวอร์ชันไฮบริด หรือพลัก-อิน ไฮบริด ขนาด 1.6 ลิตร แต่อย่างใด
ตัวถังภายนอกมีความใหญ่โต ภายในกว้างขวาง เครื่องยนต์ดีเซล เทอร์โบ ขนาด 2.2 ลิตร จึงควรเป็น “คำตอบเดียว” สำหรับใครที่ต้องการรถยนต์แบบนี้ โดยถูกออกแบบมาเพื่อตอบสนองต่อการบรรทุกผู้โดยสาร และสัมภาระจำนวนมาก แม้ใช้เครื่องยนต์บลอคใหญ่ มาพร้อมความจุที่ถือว่าเกินมาตรฐานในยุคนี้ องค์ประกอบโดยรวมยังคงล้ำสมัย เพราะไม่มีระบบไฟฟ้าเข้ามาเกี่ยวข้อง กลับให้พละกำลังอย่างต่อเนื่อง และนุ่มนวล ทำให้รถยนต์สัญชาติเกาหลีใต้คันนี้เป็นพาหนะสำหรับทางไกลที่สมบูรณ์แบบ (ซึ่งจริงๆ แล้วเราขับทดสอบบนทางด่วนถึง 90 % ของการทดสอบทั้งหมด) ทว่าหน่วยของภาครัฐกลับไม่เป็นมิตรกับขุมพลังดีเซลอีกต่อไป ทำให้ต้องยอมรับว่านี่อาจเป็นครั้งสุดท้ายที่เอสยูวีคันใหญ่ของ KIA จะมีโอกาสใช้เครื่องยนต์รูปแบบนี้ (ทั้งที่ตอนแรกทางค่ายรถเคยตัดออกจากไลน์อัพ และเพิ่งนำกลับมาใหม่) อีกเหตุผลหนึ่ง คือ กฎหมายภาษีใหม่ บริษัทที่เคยใช้งาน SORENTO เครื่องยนต์ดีเซลมาตลอด ตอนนี้ถูกลดสิทธิประโยชน์ลงตั้งแต่ช่วงต้นปี ขณะที่รถพลัก-อิน ไฮบริด และรถยนต์ไฟฟ้า กลับได้สิทธิพิเศษมากกว่า กฎหมายนี้ถูกวิจารณ์ว่าถูกร่างไว้ไม่รัดกุมนัก จนรัฐมนตรีในบางประเทศสัญญาว่าจะทบทวนข้อบังคับในส่วนนี้ แต่ไม่ว่าอย่างไร ทางภูมิภาคยุโรปก็ตัดสินใจผลักดันกฎหมายใหม่ให้บริษัทหันไปซื้อ หรือเช่ารถไฟฟ้าอยู่ดี เพราะการเปลี่ยนผ่านครั้งนี้ยังไม่ก้าวหน้าอย่างที่คาดหวัง
ห้องโดยสารเงียบ แต่ช่วงล่างแข็งเล็กน้อย
ดังนั้น ถึงเวลาพิสูจน์จุดเด่นของเอสยูวีที่แข็งแรง คุณภาพการประกอบดีเยี่ยม และมีความลงตัวรอบด้าน ซึ่งพบความสมบูรณ์แบบนี้ในเครื่องยนต์ที่ถูกกำหนดให้เลือนหายทีละน้อยอย่างไม่เป็นธรรม และนี่คือ การสรุปคุณสมบัติที่เราพบหลังใช้งานจริงอย่างเข้มข้นนานถึง 3 เดือน เราได้กล่าวถึงพื้นที่ภายในห้องโดยสาร และเครื่องยนต์ไปแล้ว ส่วนอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ยอยู่ที่ 12.0 กม./ลิตร ซึ่งสอดคล้องกับผลการวัดบนสนามทดสอบ (ตัวเลข คือ 12.7 กม./ลิตร โดยเฉลี่ย) ถือว่าดีขึ้นอย่างชัดเจนเมื่อเทียบกับรุ่นก่อนหน้านี้ แต่ยังไม่ใช่ตัวเลขที่ดีที่สุดของกลุ่มรถยนต์ระดับเดียวกัน ตัวรถยังสะท้อนให้เห็นถึงการออกแบบที่พิถีพิถันทั้งในส่วนของวัสดุ และงานประกอบ บรรยากาศในห้องโดยสารชวนให้นั่งสบาย การเก็บเสียงยอดเยี่ยม (แม้เครื่องยนต์ดีเซลจะดังแทรกเมื่อกดคันเร่งแรง แต่การเลือกซื้อ SORENTO ส่วนใหญ่ลูกค้าไม่ได้คาดหวังเรื่องอัตราเร่งอยู่แล้ว)
จุดอ่อนจริงๆ ของรถคันนี้กับการเดินทางไกล คือ ความแข็งของช่วงล่างด้านหลัง ผู้โดยสารในเบาะแถวที่ 2 ต้องทำใจกับแรงสะเทือนที่ทำให้เหนื่อยล้าได้เมื่อเดินทางเป็นเวลานานๆ (แม้พื้นที่ส่วนขาจะกว้างขวางมหาศาลจากฐานล้อที่ยาวก็ตาม) สรุปโดยรวมแล้ว นี่คือ KIA ที่ยังคงยอดเยี่ยมตามแบบฉบับของค่ายรถแห่งนี้
ทัศนวิสัยของเบาะผู้ขับที่น่าพอใจ
หากความนิยมของรถเอสยูวีมาจากตำแหน่งเบาะนั่งที่สูง และความรู้สึกที่ดีจากทัศนวิสัยที่ครอบคลุมบนท้องถนน KIA SORENTO สามารถตอบโจทย์นี้ได้เป็นอย่างดี เบาะนั่งมีระดับความสูงที่ 670 มม. จากพื้นถนน และ 280 มม. จากพื้นห้องโดยสาร นอกจากนี้ยังสามารถปรับระดับได้ตามต้องการด้วยระบบปรับไฟฟ้าที่สะดวกสบาย
ข้อมูลจำเพาะ ข้อมูลจากผู้ผลิตของรถทดสอบ
เครื่องยนต์
- วางด้านหน้าตามขวาง
- ดีเซล เทอร์โบ 4 สูบเรียง
- ความจุ 2,151 ซีซี
- กำลังสูงสุด 142 กิโลวัตต์/193 แรงม้า ที่ 3,800 รตน.
- แรงบิดสูงสุด 450 นิวทันเมตร/45.9 กก.ม. ที่ 1,750-2,750 รตน.
ระบบส่งกำลัง
- ขับเคลื่อน 4 ล้อตลอดเวลา
- เกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ
รูปแบบตัวถัง
- ระบบรองรับด้านหน้า แมคเฟอร์สันสตรัท คอยล์สปริง และเหล็กกันโคลง
- ระบบรองรับด้านหลัง มัลทิลิงค์ คอยล์สปริง และเหล็กกันโคลง
- ชอคอัพแบบไฮดรอลิค
- จานเบรค พร้อมช่องระบายความร้อน
ยาง
- CONTINENTAL PREMIUMCONTACT 6 255/45 R20 105V
มิติตัวถัง และน้ำหนัก
- ระยะฐานล้อ 2,820 มม.
- ความยาว 4,820 มม. กว้าง 1,900 มม. สูง 1,700 มม.
- น้ำหนักโดยรวม 1,929 กก.
ราคา
- 59,650 ยูโร (ประมาณ 1,561,000 บาท ไม่รวมภาษีนำเข้า)
จุดแข็ง
A. ส่วนขอบของห้องเครื่องยนต์ติดตั้งวัสดุยางที่แน่นหนา ลดเสียงรบกวนของลมปะทะขณะใช้ความเร็วสูง
B. ปุ่มใช้งานการเชื่อมต่อกับมือถือ สามารถเลือกได้ว่าจะใช้ช่องต่อ USB สำหรับชาร์จไฟฟ้า หรือเชื่อมต่อระบบความบันเทิงก็ได้
C. ประตูบานหลังมีม่านกันแดดในตัว ใช้งานได้สะดวก เหมาะสำหรับการโดยสารที่มีเด็กเล็กมาด้วย
จุดอ่อน
A. แม้ทัศนวิสัยโดยรวมจะน่าพอใจ แต่ส่วนของเสา เอ ฝั่งซ้ายมือมีขนาดค่อนข้างใหญ่ บังมุมมองขณะเลี้ยวพอสมควร
B. ช่องแอร์สำหรับเบาะแถวที่ 2 มีขนาดใหญ่ ด้วยขนาดของห้องโดยสารที่กว้างขวางมากๆ ควรเพิ่มปุ่มใช้งานของระบบปรับอากาศแยกต่างหากด้วย
C. ปุ่มใช้งานแบบดั้งเดิมมีติดตั้งหลายจุดในบริเวณคอนโซลเกียร์ แต่เราคิดว่าจำนวนปุ่มค่อนข้างเยอะเกินความจำเป็นอยู่เล็กน้อย
มิติตัวถังยังสำคัญ การขับในเมืองต้องใช้ความระมัดระวัง แม้จะได้มาซึ่งพื้นที่ใช้สอยที่มากมายเหลือเฟือ
1. ขนาดตัวถังของ SORENTO (ความยาว 4,820 มม. และสูง 1,700 มม.) ต้องการพื้นที่จอดที่เหมาะสม และเมื่อกางกระจกมองข้างออก ความกว้างโดยรวมจะอยู่ที่ 2,120 มม.
2. ในกรณีที่ขับบนทางลาดสำหรับโรงจอดรถปกคลุมด้วยหิมะในช่วงฤดูหนาว ผู้ขับขี่ไม่ต้องกังวลแต่อย่างใด กับระบบขับเคลื่อน 4 ล้อที่เสริมการขับขี่อย่างมีประสิทธิภาพ
3. ความใหญ่โตของตัวถังยังสะท้อนให้เห็นจากบานประตูที่กว้างเป็นพิเศษ ควรระวังเมื่อต้องจอดใกล้กับรถคันอื่นมากเกินไป
4. ความจุของถังน้ำมันที่ 67 ลิตร SORENTO สามารถทำระยะทางเฉลี่ยได้ราว 850 กม. ต่อการเติมน้ำมันเต็มถัง
5. ระบบกล้องมองรอบคัน 360 องศา ทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยชั้นยอดเมื่อต้องเข้าจอดหรือเลี้ยวในพื้นที่แคบ
6. วงเลี้ยวมีระยะ 12.2 เมตร ทำให้บางครั้งต้องมีการขยับรถเพิ่มเล็กน้อย
7. ชุดจอมาตรวัดแบบดิจิทอลมีความคมชัด และอ่านค่าต่างๆ ได้ง่าย แม้ว่าปรับแต่งได้ไม่มากนักก็ตาม
8. พื้นที่ห้องโดยสารด้านหลังมีความกว้างขวาง และใช้งานได้สะดวก หากมีผู้โดยสารครบ 7 คน พื้นที่เก็บสัมภาระจะเหลือเพียง 160 ลิตร แต่เมื่อพับเบาะนั่งแถวที่ 3 ลง ความจุจะขยายเป็น 465 ลิตร และพนักพิงเบาะสามารถพับเก็บได้อย่างง่ายดาย