บทความ
ปี 44
เผลอไผลโดยสุจริตไปโดยไม่ตั้งใจ ดูเหมือนว่าแค่ประเดี๋ยวประด๋าว ที่ไหนได้เวลาผ่านไปอีก 1 ปีแล้ว
ศักราชเปลี่ยนไปเรียบร้อยแล้วจากปี 2544 เป็นปี 2545
คงต้องมาทบทวนกันเสียหน่อยว่า ตลอดปี 2544 ที่ผ่านไปแล้วมีอะไรเกิดขึ้นเป็นชิ้นเป็นอันกันบ้าง
ไฮไลท์ของปี 2544 น่าจะต้องยกให้เป็นเรื่องระดับชาติ ที่ประเทศของเราได้นายกรัฐมนตรีคนใหม่
พตท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร หัวหน้าพรรคไทยรักไทย ซึ่งชนะการเลือกตั้งใจแบบสร้างประวัติศาสตร์ใหม่
ในวงการเมืองเมืองไทยด้วยปริมาณสมาชิกของพรรค ทั้งในระบบเขตเลือกตั้งและระบบบัญชีรายชื่อได้รับ
เลือกตั้งมากเกินกึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกสภาทั้งหมด และเมื่อรวมกับพรรคพันธมิตรเข้าไปด้วย กลาย
เป็นรัฐบาลที่มีเสียงข้างมากอย่างเด็ดขาดครั้งแรกอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน
และก็เป็นที่น่ายินดีว่า เป็นบุญของประเทศ ไทย ที่มีนายกรัฐมนตรีคนที่มีเอกลักษณ์โดดเด่นที่สุดไม่มีใคร
เสมอเหมือน ผูกขาดความรักชาติการเห็นแก่ชาติบ้านเมืองเอาไว้แต่เพียงผู้เดียว ใครก็ตามไม่ว่าจะเป็น
บุคคลในระดับไหน ถ้ามีความคิดเห็นไม่สอดคล้องหรือติติงทักท้วงไม่เห็นด้วยกับแนวทางความคิด แนวทาง
การปฏิบัติของรัฐบาลจะถูกตราหน้าว่าเป็นคนไม่รักชาติ ไม่เห็นแก่บ้านแก่เมือง และเป็นคนที่ไม่รู้จริง
(โง่) ทั้งนั้น
ไฮไลท์ต่อมาเห็นจะเป็นเรื่องที่ทำให้ประชาชีเกิดลักษณะอาการหน้าเขียวหน้าเหลืองไปตามๆ กัน เมื่อ
ราคาน้ำมันตามสถานีบริการต่างๆ ครบถ้วนทุกยี่ห้อทยอยขึ้นราคาสูงสุดเป็นประวัติการณ์ น้ำมันเบนซิน
ราคาสูงเกินลิตรละ 18 บาท และน้ำมันดีเซลอยู่ที่เกิน 15 บาท ด้วยสาเหตุที่ราคาน้ำมันดิบของโลกสูง
ถึงบาร์เรลละกว่า 30 ดอลลาร์ วันนี้ราคาน้ำมันดิบลดลงแล้วเหลือเพียงแค่ 19 ดอลลาร์/บาร์เรล แต่
ราคาน้ำมันตามปั๊มก็ยังคงแพงอยู่ ลดราคาจากที่เคยขึ้นไปสูงลิบเพียงแค่ไม่กี่บาทเอง
แล้วก็มาถึงเรื่องหน้าแตกชนิดที่หมอไม่รับเย็บให้ เมื่อการทางพิเศษแห่งประเทศไทยหรือทางด่วน
ประกาศขึ้นราคาค่าการให้บริการจากที่เคยเก็บ 40 บาท เป็น 43 บาท เมื่อเดือนกรกฎาคม เป็นเหตุ
ให้ชาวบ้านชาวช่องโวยกันทั้งบ้านทั้งเมือง จนในที่สุดมีการวินิจฉัยออกมาว่าการขึ้นราคาค่าใช้ทางด่วนนั้น
ผิดกฎหมายผิดขั้นตอนกระทำมิได้ ทางด่วนเลยต้องกลับมาใช้ราคาเดิมที่เรียกเก็บ 40 บาท ส่วนที่เก็บ
เกินไปแล้ว 3 บาท ต้องใช้วิธีชดใช้คืนด้วยการลดราคาเหลือเพียงแค่ 37 บาท เป็นเวลา 41 วัน เท่า
กับวันเวลาที่เรียกเก็บเกินไป
ในแวดวงของธุรกิจรถยนต์ มีเรื่องให้กล่าวขานกันอื้ออึงพอสมควร เมื่อโตโยตาเปิดยุทธการ "ทำเวิร์ค
ชอพ"ช่วงชิงความเป็น "เจ้าตลาดรถเก๋ง"คืนจาก ฮอนดา โดยการนำเอารถเก๋งรุ่นใหม่ "โตโยตา
โคโรลลา อัลทิส"ออกมาลุยตลาด และก็สามารถทวงตำแหน่งแชมพ์คืนไปได้สำเร็จอีกครั้ง ตอนนี้
โตโยตา ก็กำลังหันไปเน้นกับตลาดรถพิคอัพเพื่อหวังจะโค่นล้มแชมพ์เก่า อีซูซุ ที่ครองตำแหน่ง "เจ้า
ตลาดรถพิคอัพ"มายาวนานถึงเกือบ 20 ปีแล้ว โดยการส่งรถพิคอัพตัวใหม่ในระบบ ดี-โฟร์ดี
คอมมอนเรล ไดเรคท์อินเจคชัน ลงมาสู้ แล้วก็เกิดปัญหาตามมาว่า อันว่าระบบเครื่องยนต์ดีเซล
"ไดเรคท์อินเจคชัน"นั้น ใครเป็นของแท้ของเลียนแบบกันแน่ ในเมื่อคำว่า "ไดเรคท์อินเจคชัน"นี้
อีซูซุ เขาใช้เป็นจุดขายมาตั้งนมตั้งนานก่อนแล้ว จะอย่างไรก็ตาม จนถึงวันนี้ยังไม่ปรากฏวี่แววว่า
โตโยตา จะก้าวขึ้นแท่นตำแหน่ง "เจ้าตลาดรถพิคอัพ" ได้สำเร็จในระยะอันใกล้ ยอดจำหน่ายรถพิคอัพ
ของทั้งสองยี่ห้อนี้ยังทิ้งระยะห่างกันเหลือเกิน
และแล้วก็มาถึงเรื่องใหญ่เรื่องโตระดับโลกซึ่งเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 11 กันยายน เมื่อผู้ก่อการร้ายสากลจี้
เครื่องบินโดยสารลำมหึมาถึง 2 ลำ บังคับบินไปชนตึกแฝดเวิร์ลด์เทรดเซนเตอร์ ใน นครนิวยอร์ค
สหรัฐอเมริกา จนตึกพังราบกองกับพื้นเป็นเศษอิฐเศษปูน มีคนตายตรงจุดนี้ไปหลายพันคน เครื่องบิน
โดยสารอีกลำหนึ่งถูกจี้ไปชนตึก เพนทากอน กระทรวงกลาโหมของ สหรัฐ ฯ ในกรุง วอชิงทัน ในเวลา
ใกล้เคียงกัน ตึกพังไปแถบมีคนตายตรงจุดนี้อีกเป็นร้อย เครื่องบินโดยสารที่ถูกจี้อีกลำเป็นลำที่ 4 กำลัง
จะบินไปถล่มรัฐสภาหรือไม่ก็สถานที่สำคัญแห่งใดแห่งหนึ่งของ สหรัฐอเมริกา เกิดตกกลางทางเสียก่อนไม่
งั้นเละอีก แต่ก็มีคนโดยสารบนเครื่องบินตายเรียบไปทั้งลำเหมือนกัน
จากนั้นเหตุการณ์ก็ลุกลามขยายผลออกมาเป็นสงครามถล่ม อัฟกานิสถาน เพื่อตามล่า โอซามา บิน ลา
เดน ซึ่ง อเมริกา ปักใจเชื่อว่าเป็นตัวการก่อวินาศกรรมครั้งยิ่งใหญ่ในประวัติศาสตร์ของ สหรัฐอเมริกา
คราวนี้ อเมริกา ถล่ม อัฟกานิสถาน จนเละเทะไปหมด รัฐบาล ตาลีบัน โอบอุ้ม บินลาเดน อยู่พลอย
กระเจิงไปด้วย
เหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้สภาวะเศรษฐกิจของ สหรัฐอเมริกา ตกที่นั่งย่ำแย่และก็พลอยให้สภาวะเศรษฐกิจ
ทั่วโลกพลอยหวั่นไหวขวัญไม่อยู่กับเนื้อกับตัวไปด้วย
ตลาดรถบ้านเราก็เกิดอาการสะดุ้งยอดขายในเดือนกันยายนลดฮวบ แต่พอหายสะดุ้งแล้วเริ่มจะกลับมา
คึกคักอีกครั้ง แต่กระนั้นก็ยังไม่แน่ใจอยู่เหมือนกันว่า เป้าหมายกาขายที่ตั้งเอาไว้ในปี 2544 จะเข้าเป้า
หรือไม่ ยังพอมีเหตุทุเลาความผิดหวังลงได้บ้างเมื่อมีงานมหกรรมยานยนต์ครั้งที่ 18 ที่เมืองทองธานีใน
ช่วงต้นเดือนธันวาคม ช่วยสร้างยอดขายพยุงสถานการณ์ให้กระชุ่มกระชวยขึ้นได้บ้าง ไม่งั้นเป้าหมาย
การขายปี 44 ดูไม่จืดแน่
ยังมีเหตุการณ์อื่นๆ พอเป็นน้ำจิ้มเสริมความมีชีวิตชีวาอีกนิดๆ หน่อยๆ
คณะรัฐมนตรีเปิดประชุม ครม. สัญจร โดยขบวนรถไฟที่จัดทำเป็นพิเศษวิ่งชึ่กชั่กไปตามรางไปที่บุรีรัมย์
สุรินทร์ และศรีษะเกษ ระหว่างวันที่ 10-12 พฤศจิกายน ผลจากการประชุมสัญจรคราวนี้นอกจากเรื่อง
เห็นดีเห็นชอบกันการสนับสนุนให้ชาวบ้านเลี้ยงสัตว์เศรษฐกิจแล้ว จะได้เรื่องอย่างอื่นมาอีกด้วยหรือไม่
ไม่รู้ เพราะอ้อมแอ้มแถลงผลงานกันเต็มที่ แต่ที่แน่ๆ หมดค่าใช้จ่ายไปกับการประชุมคราวนี้ไม่ต่ำกว่า
10 ล้านบาทเชียวละ
สุดท้ายน่าจะเป็นโชคดีของคนไทยเกือบทั้งประเทศที่ได้มีโอกาสชื่นชมยินดีกับการที่ได้ดู "ฝนดาวตก"กัน
อย่างเต็มหูเต็มตาเมื่อคืนวันที่ 18 พฤศจิกายน ดูกันแล้วอย่าไปต่อความยาวสาวความยืดว่าเศรษฐกิจของ
ไทยจะตกกันไม่หยุดไม่หย่อนเหมือนกับฝนดาวตกก็แล้วกัน
อีกนิดกับมิติใหม่ที่เกิดขึ้นบนถนนสีลม มีการจัดถนนสีลมให้เป็น "วอล์กิงสตรีท"โดยมีจุดขายที่เรียกว่า
"7 มหัศจรรย์บนถนนสีลม"เมื่อวันอาทิตย์ที่ 18 พฤศจิกายน ระหว่างเวลา 12.00 น.-24.00 น.
เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยว และคืนชีวิตไร้มลพิษให้คนกรุงเทพ ฯ และก็มีแผนว่าจะจัดต่อในแบบเดียวกันนี้
อย่างน้อยอีก 4 สัปดาห์ติดต่อกัน
ในกอไผ่ของปี 44 ก็มีอะไรๆ เพียงแค่นี้แหละ ถ้าไม่นึกถึงเรื่องคดี ดวงเฉลิม ลูกเฉลิมเอาปืนยิงจ่อหัว
นายดาบตำรวจกองปราบที่ ดิสโคเทค แถวถนนรัชดาภิเษกเมื่อปลายเดือนตุลาคม
เรื่องโดย : หลวงเลียบเมือง
ภาพโดย : -
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน มกราคม ปี 2545
คอลัมน์ Online : บทความ
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/51255