ข่าวรอบโลก
เผยโฉมรถคูเปสุดหรู
เผยโฉมรถคูเปสุดหรู
ติดตราดาวสามแฉก
ออกจำหน่ายปลายปีนี้
เยอรมนี-ค่าย "ดาวสามแฉก" เอาใจคนรักรถคูเปเงินถัง เปิดตัวรถคูเประดับสุดหรูรุ่นใหม่ พรั่งพร้อมไปด้วยอุปกรณ์อำนวยความสุขความสะดวกและความปลอดภัยระดับสุดๆ กำหนดออกจำหน่ายปลายปี 2006 นี้ ด้วยค่าตัวสูงสุดเป็นประวัติการณ์ของรถติดเครื่องหมาย "ดาวสามแฉก"
หลังจากปล่อยให้รถคูเป เมร์เซเดส-เบนซ์ ซีแอล-คลาสส์ (MERCEDES-BENZ CL-CLASS) รุ่นปัจจุบัน อยู่ในตลาดมายาวนานถึง 6 ปี นับแต่ปลายปี 1999 และปรับปรุงแบบ FACELIFT หรือ "ยกหน้า" ไปเพียงครั้งเดียวเมื่อปลายปี 2002 เมื่อสัปดาห์สุดท้ายของเดือนมิถุนายนที่ผ่านมานี้เอง ค่ายดาวสามแฉกก็ได้ฤกษ์เปิดเผยโฉมหน้าและรายละเอียดของรถคูเป เมร์เซเดส-เบนซ์ ซีแอล-คลาสส์ รุ่นใหม่ พร้อมประกาศยืนยันว่า จะนำรถออกจำหน่ายในตลาดยุโรป ในฤดูใบไม้ผลิปี 2006 นี้
เมร์เซเดส-เบนซ์ ซีแอล-คลาสส์ รุ่นใหม่ ซึ่งเป็นรถคูเประดับสุดหรู ที่พัฒนาจากรถซาลูน เมร์เซเดส-เบนซ์ เอส-คลาสส์ (MERCEDES-BENZ S-CLASS) รุ่นล่าสุดซึ่งเริ่มจำหน่ายในเยอรมนีเมื่อปลายปี 2005 เป็นผลงานรังสรรค์ของทีมงานออกแบบค่ายดาวสามแฉกที่มี ฮันส์ มุลธอพท์ (HANS MULTHAUPT) เป็นผู้นำทีม มีขนาดตัวถังโตกว่ารถรุ่นเดิมในทุกมิติ คือ ยาว 5.065 ม. กว้าง 1.871 ม. และสูง 1.418 ม.(รุ่นเดิม ยาว 4.993 ม. กว้าง 1.857 ม. และสูง 1.398 ม.)
รูปทรงองค์เอวของตัวถังภายนอก วิจารณ์กันในเยอรมนีว่าออกแบบได้ดีเยี่ยม และดูปราดเปรียวกว่ารถรุ่นเดิม ค่าสัมประสิทธิ์แรงต้านอากาศที่บ่งบอกความลื่นลม ลดจาก0.28 ในรถรุ่นเดิม เป็น 0.26 ในรถรุ่นใหม่นี้ ชิ้นส่วนตัวถังส่วนใหญ่ทำจากเหล็กกล้าและมีอยู่หลายชิ้นที่ทำจากวัสดุมวลเบา เช่น ฝากระโปรงหน้าและหลังคาทำจากอลูมิเนียมฝากระโปรงหลังทำจากพลาสติค และชิ้นส่วนประตูบางชิ้นทำจากแมกนีเซียม แต่กระนั้นน้ำหนักตัวของรถคูเปรุ่นใหม่นี้ ก็ยังหนักกว่ารถซาลูน เมร์เซเดส-เบนซ์ เอส-คลาสส์ เพราะการเพิ่มชิ้นส่วนโครงสร้างหลายชิ้น เพื่อเสริมความแข็งแรงของตัวถังคูเป ซึ่งไม่มีเสาค้ำยันหลังคาคู่กลาง (B-PILLAR)
ในระยะแรก จะแยกโมเดลให้เลือกใช้ตามขนาดเครื่องยนต์เพียง 2 โมเดล คือ MERCEDES-BENZ CL500 ติดตั้งเครื่องยนต์ DOHC วี 8 สูบ ความจุ 5,461 ซีซี ให้กำลังสูงสุด 388 แรงม้า ที่ 6,000 รตน. และ MERCEDES-BENZ CL600 ติดตั้งเครื่องยนต์ไบเทอร์โบ SOHC วี 12 สูบ ความจุ 5,513 ซีซี ให้กำลังสูงสุด 517 แรงม้า ที่ 5,000 รตน.
สมรรถนะความเร็วของรถโมเดลแรก อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม.ทำได้ใน 5.4 วินาที ความเร็วสูงสุดจำกัดไว้ที่ 250 กม./ชม. ส่วนโมเดลหลัง อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ทำได้ใน 4.6 วินาที และความเร็วสูงสุดจำกัดไว้ที่ 250 กม./ชม. เช่นกัน
รถทั้ง 2 โมเดลนี้ ติดตั้งระบบความปลอดภัย PRE-SAFE ที่ค่ายดาวสามแฉกเพิ่งออกแบบและพัฒนาขึ้นใหม่ และนำมาใช้เป็นครั้งแรกในรถ ซีแอล-คลาสส์ และ เอส-คลาสส์ ระบบนี้ใช้เรดาร์ชนิด SHORT-RANGE ช่วยผู้ขับตรวจจับสิ่งกีดขวางทางเบื้องหน้า และช่วยกดห้ามล้อโดยอัตโนมัติ ที่แรงห้ามล้อสูงระดับร้อยละ 40 ของแรงสูงสุด ค่ายดาวสามแฉกยืนยันว่า ผลการวิจัยบ่งชี้ว่า ระบบความปลอดภัยที่ว่านี้ สามารถลดอัตราเสี่ยงจากการชนท้ายรถคันหน้าได้ถึงร้อยละ 75 และหากเกิดการชน ในกรณีที่ระบบและผู้ขับไม่สามารถสนองตอบได้ทันการณ์ ความรุนแรงจากการชนก็ยังลดลงเป็นอย่างมากจากกรณีปกติ เพราะความเร็วของการชนที่ลดลง รวมทั้งการทำงานของอุปกรณ์ความปลอดภัยอื่นๆที่ทำงานควบคู่กัน เช่น เข็มขัดนิรภัยที่ดึงไว้ก่อนล่วงหน้า (PRETENSIONING BELT)
สนนราคาค่าตัวเมื่อออกจำหน่ายในตลาดยุโรปตอนปลายปี คาดว่าจะเริ่มต้นที่ระดับ 4.50 ล้านบาทไทย ซึ่งนับว่าสูงสุดเป็นประวัติการณ์สำหรับรถคูเปติดตราดาวสามแฉกหากไม่นับรถ เมร์เซเดส-เบนซ์ เอสแอลอาร์ แมคลาเรน (MERCEDES-BENZ SLR
McLAREN) ซึ่งเป็นรถโมเดลพิเศษ
ย่อยข่าว
ญี่ปุ่น-ในช่วง 5 เดือนแรกของปีนี้ (มกราคม-พฤษภาคม 2006) ซูซูกิ แวกอน อาร์ (SUZUKI WAGON R) ยอดรถยนต์นั่งขนาด มีนี ซึ่งครองตำแหน่งรถขายดีที่สุดของเมืองปลาดิบติดต่อกันมาแล้วหลายปี ยังรักษาตำแหน่งรถยอดนิยมไว้ได้อย่างเหนียวแน่น โดยทำยอดขายได้สูงถึง 102,531 คัน หรือเท่ากับวันละ 679 คันโดยเฉลี่ย โดยมีรถแบบอื่นๆ ที่ทำยอดขายไล่เลียงกันมาใน 15 อันดับแรก ดังนี้
1. ซูซูกิ แวกอน อาร์ 102,531 คัน
2. ไดฮัทสุ มูฟ 62,439 คัน
3. โตโยตา โคโรลลา 59,636 คัน
4. โตโยตา วิทซ์ 49,364 คัน
5. ไดฮัทสุ ตันโต 46,270 คัน
6. โตโยตา เอสตีมา 45,904 คัน
7. โตโยตา แรคติส 39,094 คัน
8. โตโยตา บีบี 37,789 คัน
9. โตโยตา วิช 37,067 คัน
10. นิสสัน เซเรนา 35,822 คัน
11. โตโยตา ปาสโซ 33,918 คัน
12. นิสสัน โนท 33,583 คัน
13. นิสสัน โมโค 32,934 คัน
14. นิสสัน ทิอิดา 32,637 คัน
15. โตโยตา อัลฟาร์ด 32,054 คัน
เยอรมนี-นักวิจัยของค่าย เมร์เซเดส-เบนซ์ (MERCEDES-BENZ) ให้ความเห็นเมื่อไม่นานมานี้ว่า รถยนต์ที่วิ่งได้โดยไม่จำเป็นต้องมีคนขับ อาจเป็นเรื่องธรรมดาในหนังสือการ์ตูน แต่ยากจะเกิดขึ้นได้ในโลกแห่งความเป็นจริง สาเหตุไม่ใช่เรื่องทางเทคนิค แต่เป็นปัญหาทางกฎหมาย ซึ่งจำเป็นต้องมีผู้รับผิดชอบในกรณีเกิดอุบัติเหตุ
เยอรมนี-ข่าวคราวล่าสุดเกี่ยวกับรถ 4 ประตูแบบแรกของค่าย โพร์เช ซึ่งจะออกจำหน่ายในชื่อ โพร์เช พานาเมรา (PORSCHE PANAMERA) มีอยู่ว่า ยอดผู้ผลิตรถสปอร์ทของเมืองเบียร์จะนำรถแบบนี้ออกสู่ตลาดในปี 2009 โดยมีรถระดับเดียวกันของคู่แข่งร่วมสัญชาติ คือ เมร์เซเดส-เบนซ์ อี-คลาสส์ (MERCEDES-BENZ E-CLASS) และ บีเอมดับเบิลยู ซีรีส์-5 (BMW 5-SERIES) เป็นเป้าหมาย นักวิเคราะห์วิจัยในยุโรปให้ความเห็นว่า การออกตลาดของรถ 4 ประตูแบบดังกล่าว จะทำให้ยอดผลิตของ โพร์เช พุ่งขึ้นสู่ระดับ 140,000 คัน/ปี ในขณะที่ยอดผลกำไรต่อปีก็อาจเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 30 นั่นเทียว
ญี่ปุ่น-โตโยตา มอเตอร์ คอร์พอเรชัน ประกาศยืนยันว่า ยอดขายทั่วโลกของรถพันทาง โตโยตา ปรีอุส (TOYOTA PRIUS) ผ่านหลัก 500,000 คันแรกไปแล้ว เมื่อปลายเดือนเมษายนที่ผ่านมา ยักษ์ใหญ่ของเมืองยุ่นนำรถพันทางอนุกรมนี้ออกจำหน่ายเป็นครั้งแรกเมื่อปี 1997 ส่วนรุ่นปัจจุบันซึ่งเป็นรถรุ่นที่ 2 เริ่มจำหน่ายในญี่ปุ่นเมื่อเดือนกันยายน 2003 ติดตั้งเครื่องพันทาง เบนซิน/ไฟฟ้า ที่ให้กำลังสูงกว่ารถรุ่นเดิม
ญี่ปุ่น-ยักษ์ใหญ่ โตโยตา กำลังเรียกรถจำนวน 1 ล้านคันที่จำหน่ายในตลาดทั่วโลกกลับมาตรวจสอบความผิดปกติในเพลาขับ รถที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ คือ โตโยตา ปรีอุส (TOYOTA PRIUS) โตโยตา โคโรลลา (TOYOTA COROLLA) และ โตโยตา อเวนซิส (TOYOTA AVENSIS) ที่ผลิตระหว่างเดือนกันยายน 2002 ถึงเดือนพฤศจิกายน 2005
ทั้งสามภาพนี้ คือ โตโยตา เอสตีมา ไฮบริด (TOYOTA ESTIMA HYBRID) รุ่นใหม่ล่าสุด (รุ่นที่สอง) ที่ยักษ์ใหญ่ โตโยตา เพิ่งนำออกสู่ตลาดในญี่ปุ่นเมื่อกลางเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา เป็นรถอเนกประสงค์ขนาด 7/8 ที่นั่ง ที่บริโภคน้ำมันเชื้อเพลิงพอๆ กับรถยนต์นั่งขนาดเล็กอย่างรถ โตโยตา ยาริส (TOYOTA YARIS) ที่ผู้ใช้รถในบ้านเรารู้จักกันดี เพราะใช้ระบบขับเคลื่อนแบบพันทาง (HYBRID DRIVE) โดยใช้เครื่องยนต์เบนซิน DOHC 4 สูบเรียง 2,362 ซีซี 150 แรงม้า (รหัสเครื่องยนต์ 2AZ-FXE) ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้าสองชุด คือ มอเตอร์ขนาด 143 แรงม้า สำหรับขับล้อคู่หน้าและมอเตอร์ขนาด 68 แรงม้า สำหรับขับล้อคู่หลัง แยกโมเดลให้เลือกใช้รวม 4 โมเดลคือ ESTIMA HYBRID X (7 หรือ 8 ที่นั่ง) กับ ESTIMA G (7 หรือ 8 ที่นั่ง) สนน
ราคาค่าตัวอยู่ระหว่าง 3.63-4.41 ล้านเยน หรือประมาณ 1.16-1.41 ล้านบาท
ยักษ์รองเมืองยุ่น คือ นิสสัน มอเตอร์ มี MPV หรือ รถอเนกประสงค์ ให้ลูกค้าในญี่ปุ่นเลือกซื้อเลือกหาตามรสนิยมและตัวเลขในบัญชีเงินฝากมากมายหลายแบบและหลายขนาด เฉพาะที่เห็นอยู่นี้ คือ นิสสัน พเรเซจ (NISSAN PRESAGE) รถอเนกประสงค์แบบใหม่ล่าสุดที่ค่ายนี้เพิ่งนำออกสู่ตลาดในญี่ปุ่น แทนที่รถรุ่นเดิมซึ่งเป็นรถรุ่นที่ 2 และอยู่ในตลาดมาตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2003 เป็นรถขนาด 8 ที่นั่ง มีตัวถังยาว4.865 ม. กว้าง 1.800-1.825 ม. และสูง 1.685-1.695 ม. แยกโมเดลให้เลือกใช้ตามรสนิยมรวม 8 โมเดล มีทั้งแบบขับล้อหน้าและขับ 4 ล้อ โดยมีเครื่องยนต์ให้เลือกใช้รวม 2 ขนาด คือ เครื่อง DOHC 4 สูบเรียง 2,488 ซีซี 163 แรงม้า (รหัสเครื่องยนต์ QR25DE) กับเครื่อง DOHC วี 6 สูบ 3,498 ซีซี 231 แรงม้า (รหัสเครื่องยนต์ VQ35DE) สนนราคาค่าตัวที่ซื้อขายกันในตลาดเมืองยุ่น อยู่ระหว่าง 2.40-3.02 ล้านเยน หรือเท่ากับประมาณ 0.77-0.97 ล้านบาทไทย
ซูซูกิ แวกอน อาร์ (บน) และ ไดฮัทสุ มูฟ (ล่าง) รถยอดนิยมของเมืองยุ่น
นี่ก็เป็นรถใหม่ที่เพิ่งออกจำหน่ายในเมืองยุ่นเช่นกัน แต่เป็นรถขนาด มีนี ที่เสียภาษีต่ำกว่ารถประเภทอื่นๆ โดยที่สองภาพบน คือ ไดฮัทสุ โซนิกา (DAIHATSU SONICA) รถอนุกรมใหม่ล่าสุดของค่าย ไดฮัทสุ ซึ่งมียักษ์ใหญ่ โตโยตา ถือหุ้นอยู่มากกว่าครึ่งเริ่มจำหน่ายเมื่อเดือนมิถุนายน โดยมีตัวถังเพียงแบบเดียว เป็นตัวถัง 5 ประตูทรงสองกล่อง ยาว 3.395 ม. กว้าง 1.475 ม.และสูง 1.470 ม. มีทั้งแบบขับล้อหน้าและขับสี่ล้อ แต่มีเครื่องยนต์เพียงขนาดเดียว เป็นเครื่องเทอร์โบ DOHC 3 สูบเรียง 658 ซีซี 64 แรงม้า (รหัสเครื่องยนต์ KF-DET) ส่วนภาพล่างคือ ซูบารุ สเตลลา (SUBARU STELLA) ซึ่งเริ่มจำหน่ายในญี่ปุ่นเมื่อเดือนมิถุนายนเช่นเดียวกัน ตัวถังทรงสองกล่องยาว 3.395 ม. กว้าง 1.475 ม. และสูง 1.645 ม. มีทั้งแบบขับล้อหน้าและขับ 4 ล้อโดยมีเครื่องยนต์ให้เลือกใช้ 2 ขนาด คือ เครื่อง DOHC 4 สูบเรียง 658 ซีซี 54 แรงม้า กับเครื่องซูเพอร์ชาร์จ DOHC 4 สูบเรียง 658 ซีซี 64 แรงม้า
ABOUT THE AUTHOR
ช
ชูศักดิ์ ชมจินดา
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน กันยายน ปี 2549
คอลัมน์ Online : ข่าวรอบโลก