นับย้อนกลับไปราวๆ 6 ปีที่แล้ว รถยนต์ไฟฟ้าที่เริ่มทำตลาดอย่างเป็นทางการ คือ MG ZS EV (เอมจี เซดเอส อีวี) กับภาพลักษณ์ของรถเอสยูวี ในราคา 1,190,000 บาท ถือว่าเป็นรถยนต์ไฟฟ้าที่เข้าถึงได้ง่าย ต่อมาเพิ่มรุ่น MG EP (อีพี) ตัวรถสไตล์สเตชันแวกอน กับราคาค่าตัวเพียง 988,000 บาท นับเป็นรถไฟฟ้าในราคาไม่เกินล้านบาทที่น่าสนใจมากๆ ในช่วงเวลานั้น ส่วนสถานีชาร์จ DC ช่วงเวลานั้นยังคงมีน้อยมาก และกำลังไฟสูงสุดอยู่ในช่วง 25-50 กิโลวัตต์เท่านั้น การรับไฟชาร์จของตัวรถก็อยู่ในช่วง 40-60 กิโลวัตต์ ความจุแบทเตอรีราว 45-50 กิโลวัตต์ชั่วโมง มีระยะทางการวิ่งราว 330-380 กม./การชาร์จ 1 ครั้ง ตามมาตรฐาน NEDC ซึ่งวิ่งจริงจะได้ราว 250-280 กม. โดยประมาณ
การพัฒนาในเรื่องของการรองรับการชาร์จกำลังไฟที่สูงขึ้น ควบคู่ไปกับสถานีชาร์จที่มีกำลังไฟสูงขึ้นด้วย เป็นการพัฒนาควบคู่กันไป ย้อนกลับไปราว 3 ปีที่แล้ว รถไฟฟ้ารุ่นใหม่ๆ เริ่มเข้าสู่ตลาดมากขึ้น นับในกลุ่มที่คนทั่วไปเข้าถึงง่าย คือ รถไฟฟ้าราคา 1-1.25 ล้านบาท เริ่มมีตัวเลือกมากขึ้น การพัฒนาของตัวรถก็มากขึ้น เราเริ่มเห็นตัวรถรองรับการชาร์จตั้งแต่ 60-90 กิโลวัตต์ มากขึ้น ส่วนสถานีชาร์จเริ่มมีสถานี 90-120 กิโลวัตต์ มากขึ้น เป็นจังหวะที่ ORA GOODCAT (โอรา กูดแคท) เริ่มเปิดตัว ซึ่งได้รับความสนใจเป็นอย่างมากในช่วงเวลานั้น แล้วอีกไม่นาน MG4 (เอมจี 4) ก็เปิดตัว ถือว่าเป็นช่วงเวลาที่ผู้บริโภคเริ่มให้ความสนใจในรถไฟฟ้ากลุ่มราคา 1-1.25 ล้านบาท มากขึ้น
จนกระทั่งมาตรการสนับสนุนการใช้รถไฟฟ้า หรือที่เรียกว่า “EV 3.0” ได้เริ่มขึ้นในช่วงปี 2565 มีการสนับสนุนหลายๆ ด้าน ทำให้ราคารถยนต์ไฟฟ้าลดลงโดยเฉลี่ย 1.8-2.5 แสนบาท ยิ่งทำให้ตลาดรถยนต์ไฟฟ้าเติบโตอย่างก้าวกระโดด ช่วงนี้เองรถไฟฟ้ารุ่นใหม่ๆ เริ่มรองรับการชาร์จได้สูงถึง 150 กิโลวัตต์ ด้วยเทคโนโลยีแบทเตอรีแบบ 400V ส่วนสถานีชาร์จเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วมีสถานีระดับ 180 กิโลวัตต์ เพิ่มมากขึ้นเยอะ โดยเฉพาะในเมืองใหญ่ และถนนสายหลัก ส่วนสถานีระดับ 250-350 กิโลวัตต์ เริ่มมีให้เห็นแต่ยังน้อยมาก
วันนี้เราจะเห็นว่า กำลังเข้าสู่ยุคเปลี่ยนผ่านเทคโนโลยีอีกครั้ง เริ่มจากรถยนต์ที่ใช้เทคโนโลยีแบทเตอรีแบบ 800V ทยอยเปิดตัวหลากหลายรุ่นในราคาตัวรถเริ่มต้นราว 1.4 ล้านบาทขึ้นไป และสถานีชาร์จที่มีกำลังสูงระดับ 350-720 กิโลวัตต์ เริ่มมีให้เห็นมากขึ้น แล้วแบทเตอรี 400V กับ 800V แตกต่างกันอย่างไร ถ้าอธิบายให้เข้าใจง่ายๆ สำหรับคนที่ไม่มีความรู้ด้านเทคนิคเลย พอจะอธิบายได้ดังนี้ ยกตัวอย่าง แบทเตอรีความจุ 100 กิโลวัตต์ แบบ 400V ใช้เวลาชาร์จจาก 0-100 % ใน 60 นาที ถ้าเป็นแบทเตอรีความจุ 100 กิโลวัตต์ แบบ 800V ใช้เวลาชาร์จจาก 0-100 % ใช้เวลา 30 นาที โวลท์ที่มากกว่าเท่าตัวทำให้การชาร์จทำได้เร็วมากขึ้น ความร้อนน้อยลง และสูญเสียพลังงาน (LOSS) น้อยลงด้วย
ประเด็นในฉบับนี้ คือ “เราควรเพิ่มเงินเพื่อซื้อรถที่ใช้เทคโนโลยีแบทเตอรี 800V” ในช่วงเวลานี้เลยหรือไม่ ? เพราะรถรุ่นใหม่ๆ กำลังทยอยเปิดตัวกันอยู่ และสิ่งสำคัญ คือ ราคาไม่ได้แพงจนเกินเอื้อม เหตุผลเพราะว่าสถานีชาร์จที่รองรับเทคโนโลยี 800V ตั้งแต่กำลัง 250-400 กิโลวัตต์ ยังมีน้อยระดับหลักสิบสถานี ส่วนความแรงระดับ 400-720 กิโลวัตต์ (กำลังสูงสุด ณ เวลานี้) ยิ่งมีน้อยมากระดับหลักหน่วย กว่าจะมีแพร่หลายน่าจะใช้เวลาอีกราว 1-2 ปี ถามว่าจำเป็นต้องดิ้นรนจ่ายเพิ่มเพื่ออยากจะใช้เทคโนโลยี 800V หรือไม่ ตอบเลยว่าไม่จำเป็น เหมือนยุคที่บ้านเรายังใช้ 3G แต่เครื่องโทรศัพท์รองรับ 5G แล้วนั่นเอง
ในช่วง 1-2 ปีนี้ ระหว่างรอการเปลี่ยนผ่านของเทคโนโลยีแบทเตอรีแบบ 800V และสถานีชาร์จที่มีกำลังระดับ 400-720 กิโลวัตต์ แพร่หลาย รถยนต์ไฟฟ้าที่ใช้เทคโนโลยีแบทเตอรี 400V รองรับการชาร์จระดับ 120-180 กิโลวัตต์ ถือว่าเพียงพอกับการใช้งาน และดูเหมือนว่าราคาจะค่อยๆ ถูกลงมาก สิ่งสำคัญ คือ สถานีชาร์จระดับ 120-180 กิโลวัตต์ มีมากระดับหลักพันสถานี เพราะฉะนั้นตื่นเต้นกับเทคโนโลยี 800V ได้ แต่ถามว่าต้องรีบซื้อเลยหรือไม่ ตอบเลยว่า “ยังไม่จำเป็น” นอกเหนือจากว่าชอบในรูปทรง และออพชัน ในราคาที่คุณรับได้ก็ไม่เสียหลายที่จะซื้อ ส่วนคนที่ต้องการความคุ้มค่าคุ้มราคาก็เตรียมสวิงไว้รอช้อนรถที่จะปรับราคาลงราว 3-5 แสนบาท ที่รองรับการชาร์จราว 100-150 กิโลวัตต์ เพราะในการใช้งานจริงนั้น แค่วางแผนการเดินทางหาสถานีที่เหมาะสม ช่วงพักสั้นๆ 15-20 นาที เช่น เข้าห้องน้ำซื้อกาแฟก็รีฟิลแบทเตอรีได้ ช่วงมื้อกลางวัน หรือเย็น ในช่วงเดินทางไกลที่ต้องพักราว 30-50 นาที ก็แค่แวะที่จุดชาร์จที่มีร้านอาหาร เท่านี้ก็ไม่ทำให้การเดินทางเสียเวลามากกว่าเดิม
บทความแนะนำ