ข่าวรอบโลก
เปิดตัว บีเอมดับเบิลยู + รถไฟฟ้า ไฮบริด
ซีรีส์ 3 ตรวจการณ์ รุ่นใหม่
เปิดตัวแล้วในเมืองเบียร์
พื้นที่บรรทุกกว้างกว่ารุ่นเดิม
เยอรมนี-ยอดผู้ผลิตรถหรูของเมืองเบียร์เปิดเผยโฉมหน้าและรายละเอียดของรถตรวจการณ์ บีเอมดับเบิลยู ซีรีส์ 3 ทัวริง (BMW 3-SERIES TOURING) รุ่นใหม่แล้ว มีขนาดตัวถังยาวกว่ารถรุ่นเดิม และห้องเก็บของท้ายรถจุกว่ารถรุ่นเดิม กำลังจะออกโชว์รูมในเมืองแม่ โดยมีรถให้ลูกค้าเงินเยอะสมบัติแยะเลือกใช้ตามขนาดเครื่องยนต์ และระบบเกียร์ รวม 5 โมเดล
เพียงไม่กี่เดือนหลังจากนำรถ บีเอมดับเบิลยู ซีรีส์ 3 ซีดาน รุ่นใหม่ ซึ่งเป็นรถรุ่นที่ 5 ออกสู่ตลาดในเยอรมนี เมื่อกลางเดือนพฤษภาคม ที่ผ่านมานี่เอง ยอดผู้ผลิตรถหรูเจ้าของเครื่องหมายการค้า "ใบพัดเครื่องบินสีฟ้าขาว" ก็เพิ่มอีกทางเลือกหนึ่งให้แก่ผู้อยากเป็นเจ้าของรถอนุกรมนี้ โดยเปิดเผยโฉมหน้าและรายละเอียดของรถ บีเอมดับเบิลยู ซีรีส์ 3 ในตัวถังตรวจการณ์ ซึ่งมีชื่อเรียกโดยเฉพาะว่า บีเอมดับเบิลยู ซีรีส์ 3 ทัวริง (BMW 3-SERIES TOURING)
บีเอมดับเบิลยู ซีรีส์ 3 ทัวริง รุ่นใหม่ ซึ่งเป็นรถรุ่นที่ 5 นี้ มีขนาดตัวถังยาว 4.624 ม. กว้าง 1.811 ม. และสูง 1.429 ม. คือ ยาวขึ้นถึง 9.7 ซม. แต่แคบลง 0.6 ซม. เมื่อเทียบกับรถรุ่นเดิม ในขณะที่ช่วงฐานล้อก็ขยายจาก 2.760 เป็น 2.810 ม. คือ ยาวขึ้นถึง 5.0 ซม. เป็นตัวถังทรง 2 กล่อง ซึ่งพัฒนาจากตัวถังทรง 3 กล่องของรถ บีเอมดับเบิลยู ซีรีส์-3 ซีดาน โดยที่แทบจะไม่มีการแตะต้องอะไรในส่วนครึ่งหน้าของตัวรถ การเปลี่ยนแปลงซึ่งเป็นหัวใจสำคัญ และเห็นได้อย่างชัดเจนด้วยตาเปล่า อยู่ที่ส่วนครึ่งท้าย ส่วนค่าสัมประสิทธิ์แรงต้านอากาศซึ่งเป็นดัชนีบ่งบอกความลื่นลม เปลี่ยนแปลงไปมากพอสมควรจากตัวถังซีดาน คือ เพิ่มจากระดับ 0.26-0.30 เป็น 0.31-0.32
วิจารณ์กันในเมืองเบียร์ว่า นอกจากหน้าตาและรูปทรงองค์เอวที่ดูดีกว่ารถรุ่นเดิมแล้ว จุดเด่นและน่าจะเป็นจุดขายสำคัญของรถรุ่นใหม่นี้ คือ ห้องเก็บของท้ายรถ ในสภาพปกติห้องเก็บของที่ว่านี้จะมีขนาดความจุ 495 ลิตร คือ จุกว่ารุ่นเดิมถึง 35 ลิตร และจะขยายเป็น 1,500 ลิตรเมื่อพับราบเบาะหลัง ซึ่งแยกส่วนในลักษณะ 40:20:20 เป็นตัวเลขที่เฉือนขาดเมื่อเทียบกับรถตรวจการณ์ระดับหรูขนาดเดียวกันอย่าง เมร์เซเดส-เบนซ์ ซี-คลาสส์ ที-โมเดล (MERCEDES-BENZ C-CLASS T-MODEL) ซึ่งจุ 485/1,430 ลิตร และ เอาดี เอ 4 อาวันท์ (AUDI A4 AVANT) ซึ่งจุ 490/1,430 ลิตร
กำลังจะออกโชว์รูมในเมืองเบียร์ โดยมีรถให้เลือกใช้ตามขนาดเครื่องยนต์รวม 3 โมเดล คือ BMW 328I TOURING (180 กิโลวัตต์/245 แรงม้า) BMW 320D TOURING (135 กิโลวัตต์/184 แรงม้า) และ BMW 330D TOURING (190 กิโลวัตต์/258 แรงม้า) ส่วนระบบเกียร์มี 2 แบบ คือ เกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ กับเกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ สนนราคาค่าตัวรวมภาษีมูลค่าเพิ่มร้อยละ 19 เริ่มต้นที่ระดับ 37,100 ยูโร หรือเท่ากับประมาณ 1.48 ล้านบาทไทย ในรถโมเดลพื้นฐาน คือ BMW 320D TOURING เกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ
รถธง ซีรีส์ 7 รุ่นยกหน้า
ก็เปิดตัวแล้วในเมืองเบียร์
มีรถให้เลือกถึง 17 โมเดล
เยอรมนี-เผยโฉมรถหรู บีเอมดับเบิลยู ซีรีส์ 7 (BMW 7-SERIES) รุ่นใหม่ กำลังจะออกขายในเมืองเบียร์ โดยมีรถให้ลูกค้าเงินถุงเงินถังสตางค์แยะเลือกใช้อย่างจุใจรวม 17 โมเดล ทั้งรถเบนซิน ดีเซล ไฮบริด และมีตัวถังให้เลือก 2 แบบ คือ แบบฐานล้อมาตรฐาน กับแบบฐานล้อยาว
รถธงในสายการผลิตของค่าย "ใบพัดเครื่องบินสีฟ้าขาว" คือ บีเอมดับเบิลยู ซีรีส์ 7 รุ่นปัจจุบัน นับเป็นรถรุ่นที่ 4 เริ่มจำหน่ายในเยอรมนีเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2008 โดยใช้โรงงานที่เมืองดิงโกลฟิง (DINGOLFING) ในภาคใต้ของแดนอินทรีเหล็กเป็นที่ผลิต ส่วนรถรุ่นใหม่ที่เป็นข่าวนี้ ไม่ใช่รถรุ่นใหม่แท้ๆ อย่างที่เรียกกันในเมืองไทยว่า "ใหม่หมด" แต่เป็นรถรุ่นปัจจุบันที่ได้รับการปรับปรุงแบบ "ยกหน้า" อย่างที่เรียกขานกันในภาษาอังกฤษว่า MID-LIFE FACELIFT การปรับปรุงเปลี่ยนแปลงในส่วนของหน้าตาและตัวถังมีอยู่เพียงเล็กน้อยจนสังเกตแทบไม่เห็น การเปลี่ยนแปลงซึ่งมีนัยสำคัญอยู่ที่เครื่องยนต์ และการปรับปรุงรายละเอียดของแชสซีส์เพื่อเพิ่มสมรรถนะการบังคับขับขี่
เช่นเดียวกับรถรุ่นเดิมที่อยู่ในตลาดมาแล้วเกือบ 4 ปี รถที่ผ่านการปรับปรุงแบบ "ยกหน้า" นี้ มีตัวถังให้เลือกใช้ 2 แบบ คือ แบบฐานล้อมาตรฐาน ซึ่งมีขนาดตัวถังยาว 5.079 ม. กว้าง 1.902 ม. สูง 1.470 ม. มีน้ำหนักตัวอยู่ระหว่าง 1,825-2,000 กก. และมีค่าสัมประสิทธิ์แรงต้านอากาศอยู่ระหว่าง 0.28-0.30 กับแบบฐานล้อยาว ซึ่งมีขนาดตัวถังยาว 5.219 ม. กว้าง 1.902 ม. สูง 1.481 ม. มีน้ำหนักตัว 1,845-2,175 กก. และมีค่าสัมประสิทธิ์แรงต้านอากาศ 0.28-0.30 เช่นเดียวกัน
ออกโชว์รูมในเมืองเบียร์ไปเรียบร้อยแล้ว โดยมีรถให้เลือกใช้รวม 17 โมเดล แยกเป็นรถฐานล้อมาตรฐานรวม 10 โมเดล คือ BMW 740I (235 กิโลวัตต์/320 แรงม้า) BMW 750I (330 กิโลวัตต์/450 แรงม้า) BMW 750I XDRIVE (330 กิโลวัตต์/450 แรงม้า) BMW 760I (400 กิโลวัตต์/544 แรงม้า) BMW 730D (190 กิโลวัตต์/258 แรงม้า) BMW 730D XDRIVE (190 กิโลวัตต์/258 แรงม้า) BMW 740D (230 กิโลวัตต์/313 แรงม้า) BMW 740D XDRIVE (230 กิโลวัตต์/313 แรงม้า) BMW 750D XDRIVE (280 กิโลวัตต์/381 แรงม้า) และ BMW ACTIVE HYBRID 7 (260 กิโลวัตต์/354 แรงม้า) กับเป็นรถฐานล้อยาวรวม 7 โมเดล คือ BMW 740LI (235 กิโลวัตต์/320 แรงม้า) BMW 750LI (330 กิโลวัตต์/450 แรงม้า) BMW 750LI XDRIVE (330 กิโลวัตต์/450 แรงม้า) BMW 760LI (400 กิโลวัตต์/544 แรงม้า) BMW 730LD (190 กิโลวัตต์/258 แรงม้า) BMW 750LD XDRIVE (280 กิโลวัตต์/381 แรงม้า) และ BMW ACTIVE HYBRID 7 L
ที่น่าสนใจเป็นพิเศษ คือ BMW 750D XDRIVE กับ BMW 750LD XDRIVE รถ 2 โมเดลนี้ติดตั้งเครื่องยนต์เทอร์โบดีเซลฉีดเชื้อเพลิงโดยตรง DOHC 6 สูบเรียง ความจุ 2,993 ซีซี ให้กำลังสูงสุด 280 กิโลวัตต์/381 แรงม้า ที่ 4,400 รตน. และแรงบิดสูงสุด 740 นิวตัน-เมตร/75.5 กก.-ม. ที่ 2,000 รตน. เป็นตัวเลขที่ไม่เคยพบกันมาก่อนในเครื่องดีเซล 6 สูบแบบใดๆ จึงกล่าวได้อย่างเต็มปากเต็มคำว่า นี่คือเครื่องยนต์ดีเซล 6 สูบ ที่ทรงพลังที่สุดในโลก !
สมาร์ท ฟอร์ทู อีเลคทริค ดไรฟ
รถไฟฟ้าซูเพอร์จิ๋วซูเพอร์เจ๋ง
ออกขายแล้วใน 30 ประเทศ
เยอรมนี-ยักษ์ใหญ่ของเมืองเบียร์ มอบทางเลือกใหม่แก่คนรักรถเท่ากับรักสิ่งแวดล้อม นำรถไฟฟ้าติดป้ายชื่อ สมาร์ท ฟอร์ทู อีเลคทริค ดไรฟ (SMART FORTWO ELECTRIC DRIVE) ออกขายแล้วในเยอรมนี และประเทศอื่นๆ มากกว่า 30 ประเทศ เป็นรถไฟฟ้านั่ง 2 คน วิ่งได้ไกลประมาณ 145 กม. และสามารถทำความเร็วสูงสุด 125 กม./ชม.
หลังจากทดลองวิ่งใช้งานในภูมิภาคต่างๆ มาแล้วจนมั่นใจ เมื่อกลางเดือนมิถุนายนที่ผ่านมานี่เอง ไดม์เลร์ อาเก (DAIMLER AG) บริษัทผู้ผลิตรถยนต์ยักษ์ใหญ่ของเมืองเบียร์ก็ประกาศยืนยันอย่างเป็นทางการว่า ในฤดูร้อนของปีงูใหญ่นี้ จะนำรถไฟฟ้า สมาร์ท ฟอร์ทู อีเลคทริค ดไรฟ (SMART FORTWO ELECTRIC DRIVE) รุ่นใหม่ ออกสู่โชว์รูมในเมืองเบียร์ และในประเทศอื่นๆ อีกมากกว่า 30 ประเทศ แต่ไม่ได้ระบุอย่างชัดเจนว่ามีประเทศอะไรบ้าง ? รวมทั้งบอกด้วยว่า ผู้ซื้อรถแบบนี้สามารถเลือกซื้อได้ 2 แบบ คือ ซื้อทั้งรถและแบทเตอรี หรือซื้อเฉพาะตัวรถและเช่าแบทเตอรี
สมาร์ท ฟอร์ทู อีเลคริค ดไรฟ รุ่นใหม่ที่ว่านี้ เป็นรถไฟฟ้าขนาด 2 ที่นั่ง ซึ่งพัฒนาจากรถจิ๋ว สมาร์ท ฟอร์ทู (SMART FORTWO) ที่คนรักรถทั่วโลกรู้จักกันดี รายละเอียดของตัวถังซึ่งยาว 2.695 ม. กว้าง 1.559 ม. และสูง 1.542 ม. แทบไม่มีอะไรผิดแผกแตกต่างจากรถซึ่งเป็นที่มา นอกจากแถบชื่อ ELECTRIC DRIVE ที่ติดอยู่ตรงชายประตูทั้ง 2 ด้าน ดังที่เห็นในภาพ
เป็นรถไฟฟ้าขับเคลื่อนล้อหลัง ด้วยพลังของมอเตอร์ไฟฟ้าที่ค่ายนี้ร่วมกันพัฒนากับบริษัท โบช (BOSCH) อันเลื่องชื่อ เป็นมอเตอร์ขนาดเล็กที่ให้กำลังต่อเนื่อง 35 กิโลวัตต์/48 แรงม้า และให้กำลังสูงสุด 55 กิโลวัตต์/75 แรงม้า ส่วนแบทเตอรีที่ใช้ป้อนพลังไฟ เป็นแบทเตอรีลิเธียม-ไอออน (LITHIUM-ION) ขนาด 17.6 กิโลวัตต์ชั่วโมง ซึ่งจะใช้เวลาประมาณ 7 ชั่วโมงเมื่อประจุไฟด้วยไฟบ้าน และลดเหลือแค่ไม่ถึง 1 ชั่วโมง เมื่อใช้วิธี QUICK CHARGE หรือ "ประจุด่วน" ด้วยอุปกรรณ์ที่จัดไว้เป็นพิเศษ และใช้ไฟแรงสูง 400 โวลท์ เมื่อประจุไฟเต็มหม้อแต่ละครั้งและใช้งานในเขตเมือง รถจะวิ่งได้ไกลประมาณ 145 กม. โดยสามารถทำอัตราเร่ง 0-60 กม./ชม. ใน 4.8 วินาที และทำอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ใน 11.5 วินาที ส่วนความเร็วสูงสุด ผู้ผลิตไม่ระบุตัวเลขที่ชัดเจน บอกแต่เพียงว่า สูงกว่า 120 กม./ชม.
ค่าตัวรวมภาษีมูลค่าเพิ่มร้อยละ 19 ของรถที่กำลังจะออกขายในเยอรมนี กรณีเลือกตัวถังคูเปอย่างคันซ้ายในภาพใหญ่ และซื้อควบกันทั้งรถและแบทเตอรี ค่าตัวที่ต้องจ่าย คือ 23,680 ยูโร หรือประมาณ 947,000 บาทไทย แต่ถ้าซื้อเฉพาะตัวรถโดยยอมจ่ายค่าเช่าแบทเตอรีเดือนละ 65 ยูโร หรือประมาณ 2,600 บาทไทย ค่าตัวจะลดเหลือแค่ 18,910 ยูโร หรือประมาณ 756,000 บาทไทย ส่วนกรณีเลือกใช้ตัวถังเปิดประทุนเหมือนคันขวาในภาพ ถ้าซื้อทั้งรถและแบทเตอรีต้องจ่าย 26,770 ยูโร หรือประมาณ 1,071,000 บาทไทย ถ้าไม่เอาแบทเตอรีก็จะลดเหลือ 22,000 ยูโร หรือเท่ากับประมาณ 880,000 บาทไทย
เลกซัส เปิดตัวรถหรูรุ่นใหม่
จะออกขายในอเมริกาเหนือ
มีทั้งรถเบนซิน และรถไฮบริด
สหรัฐอเมริกา-เลกซัส (LEXUS) ผู้ผลิตรถหรูซึ่งอยู่ในร่มเงาของยักษ์ใหญ่ โตโยตา มอเตอร์ คอร์พอเรชัน ใช้งานมหกรรมยานยนต์รายการสำคัญของเมืองมะกัน เปิดตัวรถ เลกซัส อีเอส-ซีรีส์ (LEXUS ES-SERIES) รุ่นใหม่ จะออกจำหน่ายในตลาดอเมริกาเหนือ ตอนปลายปีงูใหญ่ ในฐานะรถรุ่นปีโมเดล 2013 โดยจะมีให้เลือกใช้ทั้งรถที่ติดตั้งเครื่องยนต์เบนซิน และรถที่ขับด้วยระบบไฮบริดแบบไม่ต้องชาร์จไฟ โดยใช้เครื่องยนต์เบนซินทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า
เลกซัส อีเอส-ซีรีส์ (LEXUS ES-SERIES) เป็นรถหรูขนาดกลาง อย่างที่เรียกกันในภาษาอังกฤษสไตล์อเมริกันว่า MID-SIZE LUXURY SEDAN และเป็นรถที่ค่ายนี้ออกแบบขึ้นโดยเฉพาะสำหรับตลาดอเมริกาเหนือ ไม่มีขายในญี่ปุ่น ยักษ์ใหญ่ของเมืองยุ่นนำรถอนุกรมนี้ออกสู่ตลาดเป็นครั้งแรกเมื่อปี 1989 ส่วนรถรุ่นใหม่ล่าสุดนี้เป็นรถรุ่นที่ 6 มีกำหนดออกตลาดในไตรมาสสุดท้ายของปี 2012 ในฐานะรถรุ่นปีโมเดล 2013 โดยมีรถให้เลือกใช้เพียง 2 โมเดล คือ LEXUS ES350 กับ LEXUS ES300H
รถทั้ง 2 โมเดลนี้ อยู่ในตัวถังทรง 3 กล่อง ยาว 4.895 ม. กว้าง 1.820 ม. และสูง 1.450 ม. ซึ่งมีค่าสัมประสิทธิ์แรงต้านอากาศที่ดีมาก คือ แค่ 0.27 หน้าตาและรูปทรงองค์เอวยากที่จะหาความแตกต่าง เพราะจุดแตกต่างที่สำคัญเพียงจุดเดียวของรถ 2 โมเดลนี้ คือ พลังขับเคลื่อน
โมเดลแรก คือ LEXUS ES350 เป็นรถขับเคลื่อนล้อหน้าด้วยพลังของเครื่องยนต์ DOHC วี 6 สูบ ความจุ 3,456 ซีซี (รหัสเครื่องยนต์ 2GR-FE) ให้กำลังสูงสุด 200 กิโลวัตต์/268 แรงม้า ที่ 6,200 รตน. ถ่ายทอดกำลังผ่านระบบเกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ สามารถทำอัตราเร่ง 0-96 กม./ชม. ใน 7.1 วินาที ทำควอร์เตอร์ไมล์ใน 15.1 วินาที ส่วนความเร็วสูงสุดจำกัดไว้ที่ 210 กม./ชม. มีอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ยที่น่าพอใจสำหรับรถระดับนี้ คือ 10.2 กม./ลิตร
ส่วนโมเดลหลัง คือ LEXUS ES300H เป็นรถขับเคลื่อนล้อหลังแบบไฮบริด โดยใช้เครื่องยนต์ DOHC 4 สูบเรียง ความจุ 2,493 ซีซี (รหัสเครื่องยนต์ 2AR-FXE) ให้กำลังสูงสุด 115 กิโลวัตต์/156 แรงม้า ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า ได้กำลังรวมสูงสุด 147 กิโลวัตต์/200 แรงม้า ส่วนระบบเกียร์เพื่อส่งทอดกำลังสู่ล้อคู่หน้าเป็นเกียร์อัตโนมัติปรับอัตราทดต่อเนื่อง หรือที่เรียกกันว่า เกียร์ CVT เนื่องจากมุ่งเน้นความประหยัด สมรรถนะความเร็วของรถโมเดลนี้จึงเป็นรองโมเดลแรกอยู่มาก อัตราเร่ง 0-96 กม./ชม. ทำได้ใน 8.1 วินาที ควอร์เตอร์ไมล์ทำได้ใน 16.8 วินาที ส่วนความเร็วสูงสุดจำกัดไว้ที่ 180 กม./ชม. ที่น่าพอใจมาก คือ อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง ซึ่งมีค่าเฉลี่ยที่ 16.6 กม./ลิตร
เลกซัส อีเอส-ซีรีส์ เป็นรถหรูขนาดกลางที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากจากผู้ใช้รถในสหรัฐอเมริกา ในรอบปี 2011 ค่ายนี้สามารถขายรถเก๋งในเมืองมะกันได้รวม 101,181 คัน ในจำนวนนี้มีอยู่ถึง 40,873 คัน หรือเท่ากับร้อยละ 40.4 ที่เป็นรถ เลกซัส อีเอส-ซีรีส์
มีนี จอห์น คูเพอร์ เวิร์คส์ จีพี (MINI JOHN COOPER WORKS GP) รถโมเดลพิเศษที่ทำขึ้นเพียง 2,000 คัน และทุกคันจะมีตัวถังสีเทา THUNDER GREY เหมือนคันที่เห็นอยู่นี้ พัฒนาจากรถ มีนี แฮทช์แบค รุ่นสามัญ โดยปรับปรุงเปลี่ยนแปลงรายละเอียดมากมายเพื่อเพิ่มพูนสมรรถนะการบังคับขับขี่ และคุณสมบัติทางอากาศพลศาสตร์ รวมทั้งยกเก้าอี้ที่นั่งตัวหลังออกทั้งชุด ติดตั้งระบบห้ามล้อเหมือนระบบที่ใช้ในรถแข่ง และติดตั้งเครื่องยนต์เทอร์โบเบนซิน ความจุ 1.6 ลิตร ที่ยังไม่ยอมระบุตัวเลขกำลังสูงสุด แต่คาดกันว่าน่าจะอยู่ระหว่าง 220-230 แรงม้า เพิ่งอวดตัวต่อสายตาผู้คนเป็นครั้งแรกที่งาน MINI UNITED FESTIVAL ซึ่งมีขึ้นในฝรั่งเศส เมื่อวันที่ 11-13 พฤษภาคม 2012 พร้อมอรรถาธิบายจากริมฝีปากของ โจร์ก์ ไวด์ลิงเกร์ (JORG WEIDLINGER) หัวหน้าทีมพัฒนาแชสซีส์และระบบรองรับของค่ายนี้ ที่ระบุว่า "เป็นรถแข่งที่พัฒนาให้ใช้งานในชีวิตประจำวันได้อย่างดี ไม่จำเป็นต้องบรรทุกด้วยรถทเรเลอร์ แต่คุณขับมันไปยังสนามแข่งได้เลย"
นี่ก็เป็นรถ มีนี คันพิเศษเช่นเดียวกัน แถมเป็นรถคันพิเศษที่มีอยู่เพียงคันเดียวในโลกอีกต่างหาก เป็นรถอย่างที่เรียกกันในภาษาอังกฤษว่า ONE-OFF CAR ที่ทำขึ้นเพื่อนำออกประมูลขายในงานกุศล MINI LIFE BALL ครั้งที่ 20 ซึ่งมีขึ้นในนครหลวงของออสเตรีย เมื่อปลายเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา เพื่อระดมทุนต่อต้านโรคเอดส์ เป็นรถเปิดประทุน มีนี โรดสเตอร์ (MINI ROADSTER) คันพิเศษ ที่นำมาตกแต่งตัวถังจนงามหรูดูเลิศ ด้วยฝีมือและความคิดของคนดังเมืองมะกะโรนี คือ ฟรันกา ซตซานี (FRANCA SOZZANI) บรรณาธิการนิตยสาร VOGUE ของอิตาลี ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นผู้ทรงอิทธิพลเป็นอย่างมากในวงการแฟชัน ผลลัพธ์ปรากฏว่า รถซึ่งติดตั้งเครื่องยนต์ขนาด 184 แรงม้า และทำความเร็วสูงสุด 227 กม./ชม. คันนี้ มีผู้ประมูลไปด้วยราคา 54,000 ยูโร หรือเท่ากับประมาณ 2,160,000 บาทไทย "แนวคิดในการออกแบบตกแต่งรถ มีนี คันพิเศษนี้ ได้แรงบันดาลใจจากสาวสวยผู้สง่างามในอดีต ซึ่งมักจะคาดผมด้วยผ้าพันคอลายสวยเมื่อขับรถเปิดประทุน" เจ้าของผลงานรังสรรค์ เจื้อยแจ้วกับผู้สื่อข่าว
ค่าย "สี่ห่วง" ใช้โอกาสที่มีการแข่งรถ เลอ มองส์ 24 ชั่วโมง (24 HOURS OF LE MANS) ในฝรั่งเศส เมื่อกลางเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา เปิดตัวรถกิจกรรมกลางแจ้งโมเดลหัวกะทิสุดหรูสุดแรงติดป้ายชื่อ เอาดี เอสคิว 5 ทีดีไอ (AUDI SQ5 TDI) คันที่เห็นในภาพ ความพิเศษของรถโมเดลนี้ คือ เครื่องยนต์ทวินเทอร์โบดีเซลฉีดเชื้อเพลิงโดยตรง DOHC วี 6 สูบ 2,967 ซีซี ที่ให้กำลังสูงถึง 230 กิโลวัตต์/313 แรงม้า และให้แรงบิดสูงสุด 650 นิวตัน-เมตร/66.3 กก.-ม. ที่รอบต่ำแค่ 1,450-2,800 รตน. ทำให้รถกิจกรรมกลางแจ้งหน้าตาไม่ดุและไม่ดันคันนี้ สามารถทะยานไปข้างหน้าด้วยอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ในเวลาแค่ 5.1 วินาที และความเร็วสูงสุดระดับ 250 กม./ชม. แต่มีอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ยแค่ 7.2 ลิตร/100 กม. หรือ 13.9 กม./ลิตร เท่านั้นเอง เนื่องจากมีเทคโนโลยีหลายอย่างที่ช่วยประหยัดเชื้อเพลิง รวมทั้งระบบ START-STOP SYSTEM ที่คนรักรถคงคุ้นเคยกันแล้ว ไตรมาสแรกของปี 2013 จะออกโชว์รูมในเมืองเบียร์ โดยติดป้ายค่าตัว 58,500 ยูโร หรือประมาณ 2,340,000 บาทไทย
หน้าตาเหมือนรถ โตโยตา 86 (TOYOTA 86) ที่มีขายอยู่ในเมืองยุ่น แต่ไม่ต้องไปค้นหาโลโก หรือชื่อ โตโยตา ในรถคันนี้ เพราะนี่ไม่ใช่รถที่ขายอยู่ในเมืองยุ่น แต่เป็นรถที่ยักษ์ใหญ่ของญี่ปุ่นเพิ่งนำออกสู่โชว์รูมในเมืองมะกัน และในฐานะรถรุ่นปีโมเดล 2013 โดยติดป้ายชื่อ ไซออน เอฟอาร์-เอส สปอร์ท (SCION FR-S SPORT) เช่นเดียวกับรถหน้าตาเหมือนกันที่ขายอยู่ในเมืองแม่ รถชื่อใหม่นี้มีขนาดตัวถังยาว 4.235 ม. กว้าง 1.775 ม. สูง 1.285 ม. และมีค่าสัมประสิทธิ์แรงต้านอากาศ 0.27 เป็นรถขับเคลื่อนล้อหลังด้วยพลังของเครื่องยนต์เบนซินฉีดเชื้อเพลิงโดยตรง DOHC 4 สูบนอนยัน (บอกเซอร์) ความจุ 1,998 ซีซี ให้กำลังสูงสุด 200 แรงม้า ที่ 7,000 รตน. ส่วนระบบเกียร์มีให้เลือก 2 แบบ คือ เกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ กับเกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ ชนิดมีแป้นเปลี่ยนจังหวะเกียร์ติดตั้งอยู่หลังพวงมาลัย ค่าตัว MSRP ซึ่งเป็นราคาแนะนำของผู้ผลิต คือ 24,200 เหรียญสหรัฐ ฯ หรือประมาณ 775,000 บาทไทย กรณีเลือกใช้เกียร์ธรรมดา และเพิ่มเป็น 25,000 เหรียญสหรัฐ ฯ เมื่อเลือกเกียร์อัตโนมัติ
ABOUT THE AUTHOR
ช
ชูศักดิ์ ชมจินดา
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน สิงหาคม ปี 2555
คอลัมน์ Online : ข่าวรอบโลก