สมการง่ายๆ ได้ค่า K ที่เหมาะสม รู้ก็รู้เสียหมดทุกเรื่อง แต่ถ้าค่า K ของสปริงที่คิดว่าคาดการณ์มาอย่างดิบดี ดันขาดหรือเกินกว่าความจริง เราควรย้อนมาเข้าใจสูตรคำนวณที่สัมพันธ์อย่างถูกต้อง ซึ่งทั้งหมดเกิดจากหลักสมการตามสูตร ดังต่อไปนี้ สมการตั้งต้นตามกฎของฮุค (HOOKE‘S LAW) คือ F = KS หรือ K = F/S - F คือ FORCE NEWTON แรงกดที่กระทำต่อสปริง - K คือ FORCE CONSTANT ค่าคงที่ของสปริง - S คือ CHANGE IN LENGTH OF SPRING ระยะหดตัวของสปริงเมื่อมีแรงกดมากระทำ จากสมการข้างต้น เราจะหาค่า K และ S ได้อย่างไร ก่อนอื่นเราต้องรู้ 2 ค่าใน 3 ตัวแปร จึงจะทราบผลลัพธ์ที่ต้องการ เช่น ถ้ารู้ค่า F (แรงกระทำ) แล้วต้องการรู้ค่า K (ค่าคงที่ของสปริง) ก็ต้องวัดความยาวของสปริง S ว่าเปลี่ยนไปเท่าไร เราจึงจะได้ค่า K ตามต้องการ เป็นต้น
หากรถสูง ค่า K เดิม ไม่ปลอดภัย รถที่ยกสูง จุด CG (CENTER OF GRAVITY) หรือจุดศูนย์ถ่วงของรถ จะสูงตาม เมื่อรถสูงขับขี่เข้าโค้ง อาการที่เกิด คือ แรงเหวี่ยงหนีศูนย์กลาง หรือ CENTRIFUGAL FORCE จะสูงตามไปด้วย ยิ่งรถสูงมากเท่าไร โอกาสที่จะพลิกคว่ำในทางโค้ง หรือทางลาดเอียงย่อมมากเท่านั้น หากสปริงรองรับน้ำหนักมีค่า K เท่าเดิม มันจะต้านทานการพลิกได้อย่างไร มุมโคลง (ROLL ANGLE) ที่เพิ่มขึ้น ทำให้มีการถ่ายน้ำหนักมากขึ้น ค่า K เดิมๆ จะไม่สามารถต้านทานการโคลง และรถก็จะมีโอกาสพลิกคว่ำได้ง่าย
สปริงสำหรับใช้กับชุดยก มีค่า K เพิ่มขึ้น การเปลี่ยนมาใช้คอยล์สปริงแต่งแบบขดยาวขดเดียว ไม่ใช่เรื่องของความยาวที่มากขึ้น แต่ได้เพิ่มค่า K อีกด้วย จากการทดลองของผู้เชี่ยวชาญกลุ่มหนึ่ง ได้ข้อสรุปว่า ค่า K ของสปริงจากชุด KIT ที่ยกสูง 2 นิ้ว จะมีมากกว่า ค่า K ของสปริงเดิมประมาณ 10 % และสำหรับชุด KIT ยกสูง 3 นิ้ว จะมีค่า K สูงกว่ามาตรฐาน 15-20 % ทีเดียว ฉะนั้นจึงไม่ใช่สิ่งที่มองกันแต่ภายนอก แล้วมาตัดสินกันแค่ความสูงเท่านั้น เพราะคอยล์สปริงแต่ละตัวมีค่า K เฉพาะของมัน