รถล่าสุด
Ford Everest ยกเครื่องขุมพลังใหม่หมด แตกต่างจากบลอคเดิมแค่ไหน มาดูกัน

Ford Everest (โฉมล่าสุด) : เครื่องยนต์ ดีเซล เทอร์โบ ขนาด 2.0 ลิตร กำลังสูงสุด 180 แรงม้า ที่ 3,500 รตน. แรงบิดสูงสุด 42.8 กก.-ม. ที่ 1,750-2,500 รตน.
Ford Everest (ก่อนปรับโฉม) : เครื่องยนต์ดีเซล เทอร์โบ ขนาด 2.2 ลิตร กำลังสูงสุด 160 แรงม้า ที่ 3,200 รตน. แรงบิดสูงสุด 39.3 กก.-ม. ที่ 1,600-2,500 รตน.
** Ford Everest รุ่นก่อนปรับโฉม
จากเครื่องยนต์บลอคเริ่มต้นของ Ford Everest โฉมล่าสุด จะเห็นว่า มีพละกำลังสูงสุดมากกว่าเดิมถึง 20 แรงม้า และแรงบิดสูงสุดมากกว่าเดิม 3.5 กก.-ม. แม้จะมาที่รอบสูงขึ้นเล็กน้อย แต่ถือว่าอยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกัน
Ford Everest (โฉมล่าสุด) : เครื่องยนต์ดีเซล เทอร์โบคู่ ขนาด 2.0 ลิตร กำลังสูงสุด 213 แรงม้า ที่ 3,750 รตน. แรงบิดสูงสุด 51.0 กก.-ม. ที่ 1,750-2,000 รตน.
Ford Everest (ก่อนปรับโฉม) : เครื่องยนต์ดีเซล เทอร์โบ ขนาด 3.2 ลิตร กำลังสูงสุด 200 แรงม้า ที่ 3,000 รตน. แรงบิดสูงสุด 47.9 กก.-ม. ที่ 1,750-2,500 รตน.
** Ford Everest รุ่นก่อนปรับโฉม
สำหรับเครื่องยนต์บลอคใหญ่ หรือเครื่องยนต์ในรุ่นทอพที่วางอยู่ใน Ford Everest โฉมล่าสุด จะมีเฉพาะรุ่น Titanium Plus ของเครื่องยนต์แบบเทอร์โบคู่ ขับเคลื่อน 4 ล้อตลอดเวลาเท่านั้น พบว่ากำลังสูงสุดมากกว่าบลอคเดิมที่ 13 แรงม้า และแรงบิดสูงสุดเพิ่มขึ้น 3.1 กก.-ม. พละกำลังสูงสุดมาที่รอบสูงขึ้นเล็กน้อย ส่วนแรงบิดสูงสุดมาเท่ากัน แต่มีช่วงการตอบสนองสั้นกว่าเล็กน้อย
นอกจากเครื่องยนต์แล้ว ระบบเกียร์เป็นจุดที่มีการเปลี่ยนแปลงมากที่สุดเช่นกัน โดยหันมาใช้เกียร์อัตโนมัติ 10 จังหวะ จากเดิมที่ใช้เกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ แต่จะตอบสนองดีแค่ไหน ต้องรอการทดสอบแบบเต็มๆ อีกครั้ง
เครื่องยนต์บลอคใหม่ขนาด 2.0 ลิตร ทั้งแบบดีเซล เทอร์โบเดี่ยว และเทอร์โบคู่ คือ ขุมพลังยุคใหม่ของ Ford มีวางอยู่ในรถยนต์ที่ทำตลาดในปัจจุบันในเมืองนอก เช่น ซีดาน Ford Mondeo แสดงให้เห็นว่า นี่คือ Global Engine ที่ค่ายรถเตรียมนำมาใช้อย่างกว้างขวาง รวมถึงเอสยูวีอย่าง Everest และเตรียมใช้งานกับกระบะประจำค่ายในบ้านเราอย่าง Ranger (กำลังจะเปิดตัวไม่นานหลังจากนี้) ผลลัพธ์สำคัญ คือ การประหยัดเชื้อเพลิงที่ความเร็วต่ำ รวมถึงค่าไอเสียที่ดีขึ้น โดยไม่ลดทอนเรื่องพละกำลังโดยรวม !


