ไส้กรองอากาศต้องรองรับฝุ่นอยู่ตลอดเวลา การตรวจเชคไส้กรองอากาศ จึงเป็นสิ่งจำเป็น แต่ไม่ใช่เรื่องยาก ถ้าจะทำด้วยตัวเอง https://www.youtube.com/watch?v=BVNLObk_sIcเครื่องยนต์ของเราจำเป็นต้องอาศัยอากาศในการจุดระเบิด เพื่อให้ได้กำลังออกมาใช้งาน แต่เครื่องยนต์ไม่สามารถรับอากาศจากภายนอกโดยตรงได้ เพราะฝุ่นละอองที่ปะปนอยู่ในอากาศ อาจทำให้เครื่องยนต์เสียหาย หรือลดประสิทธิภาพลง ดังนั้นรถทุกคันจึงต้องมีไส้กรองอากาศ เพื่อทำหน้าที่กรองสิ่งสกปรก ขนาดของฝุ่นละอองในอากาศนั้นมีตั้งแต่ 0.001-1 ไมครอน (ฝุ่นละอองที่มองเห็นด้วยตาเปล่าได้ มีขนาดประมาณ 10 ไมครอน) ดังนั้นไส้กรองอากาศที่จะสามารถดักจับฝุ่นละอองได้ จะต้องมีประสิทธิภาพดีจริง การดูแล และตรวจเชคไส้กรองอากาศให้อยู่ในสภาพพร้อมใช้งาน จึงนับเป็นสิ่งสำคัญยิ่ง ประเภทของไส้กรองอากาศ 1. ไส้กรองอากาศชนิดแห้ง ทำจากเส้นใยสังเคราะห์ เส้นใยพืช และขนสัตว์ ส่วนใหญ่ใช้งานแล้วทิ้ง แต่ยังสามารถนำออกมาทำความสะอาดโดยการเป่าได้ ไส้กรองอากาศที่ติดมากับรถจากโรงงานนิยมใช้ไส้กรองอากาศแบบนี้ เนื่องจากมีราคาถูก 2. ไส้กรองอากาศชนิดเปียกหรือไส้กรองอากาศแบบน้ำมัน ใช้น้ำมันเป็นตัวดักจับฝุ่นละออง ใช้กันในรถรุ่นเก่า มีลักษณะเหมือนกับไส้กรองชนิดแห้ง แต่ในแผ่นไส้กรอง จะมีน้ำมันหล่อไว้ภายใน อากาศจะไหลผ่านไปในหม้อกรองลงสู่ด้านล่างที่มีน้ำมันขังอยู่ เศษฝุ่นละอองที่หนักกว่าจะวิ่งไปสู่น้ำมัน และถูกจับเอาไว้ ไส้กรองอากาศชนิดนี้มักไม่นิยมทำความสะอาด พอฝุ่นจับมากแล้วทิ้งเลย 3. ไส้กรองอากาศชนิดเคลือบด้วยสารที่มีความหนืด เช่น พ่นด้วยน้ำมันให้แผ่นกรองอากาศเกิดความเหนียว เพื่อเพิ่มความสามารถในการดักจับฝุ่น จุดประสงค์เพื่อให้อากาศไหลผ่านได้มากกว่าไส้กรองปกติ มักใช้กับรถที่โมดิฟายด์เครื่องยนต์ สามารถใช้งานได้หลายครั้ง ด้วยการล้างทำความสะอาดแล้วเคลือบน้ำยาใหม่ ต้องเชคไส้กรองอากาศตอนไหน ? อายุการใช้งานของไส้กรองอากาศจะสั้นหรือยาว ขึ้นอยู่กับการใช้งาน และสภาพแวดล้อมเป็นหลัก ระยะการตรวจเชคที่ง่ายที่สุด คือ การวัดจากระยะทางที่รถวิ่งเป็นหน่วยกิโลเมตร โดยทั่วไปบริษัทรถยนต์ใช้วิธีนี้ในการตรวจ โดยกำหนดการเปลี่ยนไส้กรองอากาศไว้ทุกๆ 20,000-40,000 กม. ระหว่างช่วงการใช้งานที่ยังไม่ถึงเวลาเปลี่ยน เราสามารถยืดอายุการใช้งานของไส้กรองอากาศ โดยการกำจัดฝุ่นละอองที่ไส้กรองอากาศกักไว้ ให้สามารถดักจับฝุ่นใหม่ได้ ด้วยวิธี "เป่า" ทุกๆประมาณ 5,000 กม. หรือถ้าเป็นไปได้ ทุกเดือนยิ่งดี โดยจะต้องเป่าจากภายในออกสู่ภายนอกเท่านั้น ถ้าเป่าย้อนทาง ลมที่เป่าจะดันให้ฝุ่นละอองฝังตัวลึกแน่นเข้าไปอีก การเป่ากรอง ทำให้อากาศสามารถผ่านกรองได้สะดวกขึ้น ช่วยประหยัดน้ำมัน แน่นอนว่าประสิทธิภาพการกรองอากาศอาจลดลงไปบ้าง แต่ก็ไม่ต้องเปลี่ยนใหม่เร็ว อุปกรณ์ 1. เครื่องเป่าลม** 2. ไขควง* 3. ถุงมือ * (ใช้ในกรณีที่ตัวลอคหม้อกรองอากาศเป็นแบบนอทสกรู) ** (ในกรณีที่ไม่มีเครื่องมือเหล่านี้ให้ไปใช้บริการที่จุดเติมลมยาง ในสถานีน้ำมันเกือบทุกแห่ง) ขั้นตอนการถอดไส้กรองอากาศ 1. ค่อยๆ ปลดคลิพลอคออกจากฝาครอบทีละตัว 2. เมื่อดึงคลิพลอคครบหมดทั้ง 3 ตัว แล้วค่อยๆ ถอดฝาครอบหม้อกรองออกก่อน ต้องค่อยๆ ดึงออกอย่างระมัดระวัง เพราะอาจบาดมือได้ถ้าฝานั้นเป็นเหล็ก (คลิพลอคส่วนใหญ่จะมี 3-4 ตัว แล้วแต่รุ่น) 3. ค่อยๆ นำไส้กรองอากาศออกมาอย่างช้าๆ เพราะจะมีฝุ่นติดตามไส้กรองอากาศ อาจเกิดฟุ้งกระจายได้ 4. เมื่อนำออกมาแล้ว ต้องพิจารณาดูว่าควรเปลี่ยนใหม่หรือไม่ (ในกรณีที่ยังไม่ถึงระยะเวลาเปลี่ยนที่กำหนด) โดยสังเกตจากเนื้อผ้า และสีของผ้ากรองว่ามีสีเปลี่ยนแปลงจากของเดิมมากน้อยแค่ไหน ถ้าไม่ดำมาก ก็ลองเป่าดูก่อน 5. เวลาเป่าไส้กรองอากาศ ต้องเป่าจากด้านในออกสู่ด้านนอกเท่านั้น ถ้าเป่าย้อนทาง ลมจะดันให้ฝุ่นละอองฝังตัวลึกแน่นเข้าไปได้อีก และต้องดูทิศทางลมบริเวณนั้นด้วย (ควรอยู่เหนือลม) 6. เมื่อเป่าทำความสะอาดเสร็จแล้ว นำไส้กรองอากาศใส่หม้อกรอง ต้องตรวจดูว่าเข้าลอคหรือไม่ 7. เมื่อใส่ฝาหม้อกรองเสร็จแล้ว ต้องรัดด้วยคลิพลอค โดยใช้วิธีเดียวกับวิธีที่ 1 เป็นอันเสร็จ