รายงานข่าวจากกรุงโตเกียว ระบุว่า Osamu Masuko ประธาน Mitsubishi Motors วัย 71 ปี ผู้บริหารชาวญี่ปุ่นที่อายุมากที่สุด และทำงานมานานที่สุด ประกาศลาออกจากตำแหน่ง ด้วยเหตุผลทางสุขภาพ โดยมีผลนับแต่วันที่ 7 สิงหาคม 2563แถลงการณ์ของ Mitsubishi Motors ไม่ได้ให้รายละเอียดว่า เขาป่วยเป็นโรคอะไร แต่กล่าวว่า Osamu Masuko จะยังคงอยู่ในฐานะที่ปรึกษาพิเศษ หลังจากเป็นผู้นำของค่ายมาถึง 15 ปี โดย ซีอีโอ คนปัจจุบัน Takao Kato จะรักษาการในตำแหน่งประธาน เป็นการชั่วคราว Osamu Masuko ขึ้นดำรงตำแหน่งบริหารของ Mitsubishi Motors เมื่อปี 2548 และหมุนเวียนอยู่ในตำแหน่งบริหารมาครบทุกฝ่าย นับแต่ ซีอีโอ และประธานบริษัท ระหว่างที่ยังเป็นค่ายรถยนต์เล็กๆ เขาเป็นผู้นำเสนอแผนงาน และลงมือบริหารจน Mitsubishi เติบใหญ่มาจนปัจจุบันนี้ รวมทั้งมีส่วนในการร่วมเป็นพันธมิตรกับ Nissan เช่นกัน จากการร่วมเป็นพันธมิตรในกลุ่ม Renault-Nissan-Mitsubishi โดย Osamu Masuko ใช้ประสบการณ์ในการบริหารงาน เพื่อประคับประคองกลุ่มพันธมิตร ที่เกือบจะแยกตัว เมื่ออดีตประธานกลุ่ม Carlos Ghosn ถูกจับกุมในปี 2561 ทำให้การบริหารภายในกลุ่มเริ่มมีปัญหา Osamu Masuko ย้ายมาบริหารงานใน Mitsubishi Motors ในช่วงอายุค่อนข้างมาก ทั้งนี้เพราะกลุ่ม Mitsubishi ในฐานะของบริษัททเรดิง ของ Mitsubishi Corp. มอบหมายให้เขาเป็นผู้ประสานความสัมพันธ์กับ Daimler Chrysler ในช่วงที่มีปัญหาระหองระแหงเช่นกัน ก่อนจะย้ายกลับเข้ามาบริหารใน Mitsubishi Motors ซึ่งเป็นช่วงก่อนภาวะเศรษฐกิจโลกซวนเซ ทำให้มีปัญหากับอุตสาหกรรมยานยนต์ทั้งระบบ แต่กระนั้น Osamu Masuko ก็พัฒนา Mitsubishi จนเป็นผู้นำในด้านรถยนต์พลังงานไฟฟ้า ในกลุ่ม ครอสส์โอเวอร์ เอสยูวี Mitsubishi Motors พยายามที่จะเป็นผู้นำในกลุ่มพิเศษ ด้วยรุ่น Outlander PHEV ครอสส์โอเวอร์ เอสยูวี ระบบไฮบริด-ไฟฟ้า จำเป็นต้องใช้เม็ดเงินมหาศาล ในการลงทุนเทคโนโลยีใหม่ๆ ด้านพลังงานไฟฟ้า และยานยนต์ไร้คนขับ ขณะนั้น Osamu Masuko ในวัย 65 ปี วางแผนงานที่จะรีไทร์ตัวเอง ในปี 2557 และมอบหมายตำแหน่งประธานให้แก่ Tetsuro Aikawa อดีตวิศวกรที่เป็นผู้นำในการพัฒนา Mitsubishi eK Wagon และรถยนต์ไฟฟ้า รูปไข่ ที่ได้รับความนิยมในญี่ปุ่น ขณะที่เขากลับมารั้งตำแหน่ง ซีอีโอ ภายใต้การบริหารของ Osamu Masuko และ Tetsuro Aikawa ได้ตัดสินใจที่จะปิดสายการผลิตแห่งเดียวในสหรัฐอเมริกา ที่ อิลลินอยส์ ซึ่งสร้างมาตั้งแต่ปี 2531 ขณะร่วมเป็นพันธมิตรกับ Daimler Chrysler รวมทั้งมีแผนงานในการพัฒนารถไฟฟ้า และไฮบริด-ไฟฟ้า ซึ่งไม่ประสบความสำเร็จแต่อย่างใด เกิดกรณีอื้อฉาวขึ้นในปี 2559 เมื่อ Mitsubishi ยอมรับว่า ได้แจ้งอัตราความสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงในมีนีคาร์ 4 รุ่น ที่จำหน่ายในญี่ปุ่น โดย Mitsubishi และ Nissan ได้เกิดข้อผิดพลาดจากความเป็นจริง ซึ่งเกิดจาก ค่าย Nissan ตรวจสอบอัตราความสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง และพบว่ามีการแจ้งในอัตราที่ต่ำ ส่งผลให้ยอดขายของ Mitsubishi ตกต่ำ และรวมทั้งราคาหุ้นก็ตกต่ำลงเช่นกัน นั่นทำให้ค่าย Nissan ซึ่งขณะนั้น Carlos Ghosn เป็นผู้บริหารงาน สบช่องในการเป็นอัศวินขี่ม้าขาว เข้าช้อนซื้อหุ้นของ Mitsubishi 34 % โดย Tetsuro Aikawa ตัดสินใจลาออก เพื่อรับผิดชอบในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ขณะที่ค่าย Nissan ก็เข้ามาควบคุมการบริหารงาน ในช่วงปลายปี 2559 โดย Carlos Ghosn แต่งตั้งตนเองขึ้นเป็นประธาน Mitsubishi ขณะที่ Osamu Masuko ยังดำรงตำแหน่ง ซีอีโอ เมื่อ Carlos Ghosn ถูกจับกุมในปี 2561 เขาถูกปลดออกจากประธาน และกรรมการบริหาร ในช่วงต้นปี 2562 ขณะที่ค่าย Mitsubishi ยังคงเหลือเพียง Osamu Masuko ในตำแหน่งบริหารอยู่เพียงคนเดียว เขาก็เริ่มเฟ้นหาผู้บริหารใหม่ๆ ขึ้นมาเป็นผู้นำ และแต่งตั้ง Takao Kato เป็น ซีอีโอ เมื่อเดือนมิถุนายน 2562 ช่วงสุดท้ายของการบริหารงาน Osamu Masuko ได้พยายามกระชับความสัมพันธ์กับพันธมิตร Renault และ Nissan รวมทั้งพยายามวางแผนที่จะทำกำไรให้ได้ในอนาคต ช่วงระหว่างการบริหารงานภายใต้ร่มเงาของ Carlos Ghosn ท่ามกลางความผันผวนของอุตสาหกรรมยานยนต์โลก Osamu Masuko ก็วางแผนงานในชื่อ Small But Beautiful โดยตั้งเป้าทำตลาดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่รถยนต์ Mitsubishi ได้รับความนิยม และพยายามจะถอนตัวออกจากตลาดที่มียอดขายน้อยลง อาทิ ในยุโรป โดยระงับการแนะนำรถรุ่นใหม่ ซึ่งเป็นก้าวแรกในการถอนตัวออกจากตลาด ปัจจุบัน Osamu Masuko ลาออกจากตำแหน่ง ในขณะที่ผลการดำเนินงานได้ขาดทุนเป็นปีที่ 2 รวมทั้งประสบปัญหาจากการระบาดของไวรัส COVID-19