บริษัท มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด ประกาศแนวทางธุรกิจเพื่อมุ่งมั่นสู่การเติบโตแบบยั่งยืน พร้อมยกระดับประสบการณ์ลูกค้าอย่างเต็มกำลัง โดยให้ความสำคัญสูงสุดกับการสร้างแบรนด์ และบริการหลังการขาย ตามกลยุทธ์ Retention Business Model ตั้งเป้าเป็นแบรนด์อันดับหนึ่งที่ลูกค้าเลือก Top Customer Retention Brand และเป็นอันดับหนึ่งด้านการบริการ Top Service Retention เพื่อส่งมอบรอยยิ้ม และความสุขให้แก่ลูกค้า สร้างความสำเร็จให้ผู้จำหน่าย และเติบโตอย่างยั่งยืนตลอดไป
ทาดาชิ มิอุระ ประธานบริหาร บริษัท มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า Mazda ขอขอบคุณลูกค้าชาวไทยเป็นอย่างสูงที่ไว้วางใจในผลิตภัณฑ์ และสนับสนุน Mazda เป็นอย่างดีนับตั้งแต่ปี 2565 ที่ผ่านมา Mazda กำหนดแนวทางในการดำเนินธุรกิจใหม่เพื่อสร้างการเติบโตทางธุรกิจอย่างยั่งยืน ภายใต้โมเดลธุรกิจ Retention Business Model สร้างประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้แก่ลูกค้าในทุก Touchpoints ส่งมอบการบริการที่เป็นเลิศแบบครบวงจร ตั้งแต่ก่อนการขาย จนถึงการบริการหลังการขาย ให้ความสำคัญสูงสุดกับการสร้างคุณค่าแบรนด์ และสร้างความผูกพันกับลูกค้าในระยะยาว นับเป็นนโยบายสำคัญที่ Mazda ยึดถือเป็นแนวทางปฏิบัติ และส่งมอบให้แก่ลูกค้าในประเทศไทย และทั่วโลก โดยในปีที่ผ่านมาถือว่าประสบความสำเร็จได้รับเสียงตอบรับที่ดีจากลูกค้า และแฟน Mazda รวมถึงผู้จำหน่ายด้วยเช่นกัน
สำหรับปีงบประมาณ 2565 ที่ผ่านมา เรียกได้ว่า Mazda ประสบความสำเร็จจากการนำ Retention Business Model มาใช้ โดยเฉพาะในด้านของการกลับมาเข้ารับบริการของลูกค้า (Service Retention) ที่เพิ่มขึ้นจาก 72 % ในปีงบประมาณ 2561 เป็น 85 % ในปีงบประมาณ 2565 พร้อมกับมีอัตราการกลับมาซื้อซ้ำของลูกค้า (Repurchase) เพิ่มสูงขึ้นจาก 15 % ในปีงบประมาณ 2561 เป็น 30 % ในปีงบประมาณ 2565 หรือเพิ่มขึ้น 100 % ซึ่งเป็นไปตามแผนที่ Mazda วางไว้ นอกจากนั้น แผนการพัฒนาธุรกิจรถมือสองคุณภาพดี Mazda CPO ก็ดำเนินไปได้ด้วยดี ส่งผลให้ราคารถยนต์มือสอง (Residual Value) มีราคาขายต่อสูงขึ้น เช่น Mazda2 อายุ 6 ปี มีมูลค่าการขายต่อเพิ่มขึ้นเป็น 55 %
ทาดาชิ มิอุระ แสดงวิสัยทัศน์เกี่ยวกับอุตสาหกรรมยานยนต์ในปีงบประมาณ 2566 ว่าภาพรวมปี 2566 เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มเติบโตขึ้นจากปี 2565 คาดว่าตัวเลข GDP จะโตอยู่ในช่วง 3.3-3.7 % ซึ่งได้รับอานิสงส์จากการขยายตัวด้านการอุปโภคบริโภคของภาคเอกชน การฟื้นตัวของภาคเศรษฐกิจ การท่องเที่ยว ภาคการเกษตร และการส่งออก ทำให้เกิดการใช้จ่ายหมุนเวียนสู่ระบบเศรษฐกิจมากขึ้น อย่างไรก็ตาม คาดการณ์ว่าภาพรวมอุตสาหกรรมรถยนต์จะเติบโตขึ้นเล็กน้อยประมาณ 5 % คาดว่ายอดรวมน่าจะอยู่ที่ประมาณ 900,000 คัน ในขณะที่ Mazda ได้ตั้งเป้าส่วนแบ่งการตลาดประมาณ 3.5 % เนื่องจากจะมีรถยนต์รุ่นใหม่เข้ามาเสริมทัพ
อีกหนึ่งความสำเร็จ คือ รถยนต์ภายใต้เทคโนโลยีสกายแอคทีฟที่ Mazda มุ่งมั่นพัฒนาจนได้รถยนต์ที่ให้ทั้งความแรง และประหยัดน้ำมัน เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม แต่ยังคงความสนุกสนานในการขับขี่อันเป็นเอกลักษณ์ พร้อมทั้งใช้แนวทางการออกแบบ KODO-Soul of Motion ในการสร้างความโดดเด่นให้แก่ตัวรถ โดย Mazda เริ่มจำหน่ายรถยนต์ภายใต้เทคโนโลยีสกายแอคทีฟรุ่นแรกในประเทศไทย เมื่อเดือนพฤศจิกายน ปี 2556 และประสบความสำเร็จอย่างท่วมท้น จนถึงปัจจุบันอยู่ในการครอบครองของลูกค้าแล้วมากกว่า 360,000 คัน โดย Mazda2 ยังคงครองความนิยมในตลาดรถยนต์นั่งขนาดเล็ก ด้วยจำนวน 224,000 คัน Mazda3 จำนวน 42,000 คัน ครอสส์โอเวอร์ เอสยูวี Mazda CX-3 จำนวน 30,000 คัน Mazda CX-30 จำนวน 20,000 คัน Mazda CX-5 จำนวน 35,000 คัน Mazda CX-8 จำนวน 6,000 คัน รถสปอร์ทโรดสเตอร์เปิดประทุน Mazda MX-5 จำนวน 150 คัน และรถพิคอัพต้นแบบแห่งความสง่างาม Mazda BT-50 อีกจำนวน 3,000 คัน
ธีร์ เพิ่มพงศ์พันธ์ รองประธานบริหารอาวุโส บริษัท มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ในปี 2566 Mazda ยังคงเดินหน้าตามแผนการดำเนินธุรกิจ Retention Business Model ซึ่งเป็นกลยุทธ์ใหม่ที่ประกาศไปเมื่อปีที่แล้ว แต่เพิ่มเติมเป้าหมายใหม่ที่ท้าทายยิ่งขึ้น มุ่งสู่การเป็นแบรนด์อันดับ 1 ด้าน Customer Retention ต้องเป็นแบรนด์ที่ลูกค้าเลือก คือ Top Retention Brand ให้บริการที่ลูกค้าพึงพอใจ Top Service Retention รวมถึงรักษาส่วนแบ่งการตลาดในแต่ละพื้นที่ Maintain Market Share นำเสนอคุณค่าของแบรนด์ผ่านประสบการณ์ และความพึงพอใจสูงสุดของลูกค้าเช่นเดียวกับปีที่ผ่านมา แต่ครอบคลุมรอบด้านมากยิ่งขึ้น ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งที่เรามุ่งมั่นเพื่อเดินหน้าตามแผนงานระยะกลาง Mid-Term Management Plan ให้ความสำคัญกับการสร้างมูลค่าแบรนด์ (Brand Value Management) ก้าวสู่การเติบโตอย่างยั่งยืนในอนาคต นี่คือ แนวทางในการสร้างแบรนด์ Mazda ให้แข็งแกร่ง เพื่อมุ่งสู่การเป็นแบรนด์อันดับ 1 ในด้าน Customer Retention และ Service Retention เพื่อแทนคำมั่นสัญญาว่า Mazda จะเป็นแบรนด์ที่มอบความสุขและสร้างรอยยิ้มให้แก่ลูกค้า แทนคำขอบคุณที่ลูกค้าไว้วางใจ และเลือกใช้รถ Mazdaให้เป็นรถคู่ใจไปตลอดการเดินทาง