ธุรกิจ
Ford ชู 6 ฟีเจอร์เด่น พร้อมลุยทุกสถานการณ์
หลายๆ คนคงกำลังวางแผนออกไปสำรวจสถานที่ท่องเที่ยว และเส้นทางท้าทายใหม่ๆ ในช่วงสิ้นปี ไม่ว่าจะเป็นเส้นทางไหน หากคุณเดินทางไปกับ Ford Ranger ทุกเส้นทางการผจญภัยของคุณจะผ่านไปได้อย่างง่ายดาย
แชสซีส์ และช่วงล่างของ Ford Ranger ได้รับการพัฒนาให้แกร่งยิ่งขึ้น ตลอดจนเทคโนโลยีช่วยขับขี่อันเหนือชั้น ทำให้บรรทุกสัมภาระได้ในปริมาณมากยิ่งขึ้น กับการเดินทางบนเส้นทางที่ท้าทาย Ford Ranger จึงเป็นรถที่สมบูรณ์แบบสำหรับการออกไปผจญภัยในช่วงสุดสัปดาห์ หรือการเดินทางนานหลายวันบนเส้นทางสมบุกสมบัน
“เจ้าของรถ Ford Ranger ต้องการรถกระบะที่อัดแน่นด้วยฟีเจอร์ เพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ที่เต็มไปด้วยภารกิจมากมาย” รอบ ฮิวโก หัวหน้าฝ่ายประสบการณ์การขับขี่ Ford Ranger และ Ford Everest ของ Ford Austraria กล่าวว่า “Ford Ranger จะต้องบรรทุกสิ่งของไปได้ทุกที่ ทนทาน และพร้อมส่งมอบสมรรถนะที่เต็มเปี่ยมให้แก่ผู้ใช้งานได้อย่างยาวนาน แม้ในสภาวะการขับขี่สุดท้าทายบนหลากหลายเส้นทางในโลก เราตั้งใจพัฒนา Ford Ranger ขึ้นมาเพื่อให้รับมือกับสิ่งเหล่านี้”
ความสามารถของ Ford Ranger ที่จะช่วยเปลี่ยนทุกการเดินทางให้เป็นการผจญภัยสุดเร้าใจ ได้แก่
1. พัฒนามาเพื่อให้บรรทุกสัมภาระได้มากขึ้น พร้อมลุยไปทุกที่
สิ่งที่ต้องมีในการเดินทางช่วงวันหยุดยาว และการท่องเที่ยวผจญภัยช่วงสุดสัปดาห์กับครอบครัว คือ พื้นที่บรรทุกสิ่งของที่ปรับเปลี่ยนให้เข้ากับความต้องการได้หลายรูปแบบ กระบะท้ายของ Ford Ranger กว้างขึ้น 50 มม. และมีพื้นที่จุของได้มากกว่า 1,200 ลิตร ทำให้บรรทุกอุปกรณ์ตั้งแคมพ์ และสัมภาระชิ้นใหญ่ได้ง่ายขึ้น พื้นปูกระบะของ Ford Ranger สามารถกั้นแบ่งพื้นที่เพื่อจัดระเบียบสิ่งของได้ โดยทำที่กั้นแบ่งพื้นที่แบบ DIY ได้เองที่บ้าน และประกอบ หรือถอดออกได้ตามต้องการ ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่นี่
2. ขนของ และขึ้น/ลงได้ง่ายด้วยบันไดเหยียบข้างกระบะท้าย
บันไดเหยียบข้างกระบะท้ายที่ติดตั้งมากับรถ ช่วยให้หยิบสิ่งของต่างๆ บริเวณท้ายกระบะได้อย่างแข็งแรง และมั่นคง โดยไม่ต้องปีนขึ้นบนล้อที่อาจเปื้อนโคลน และทำให้ลื่นไถล หรือปีนขึ้นจากฝาท้ายกระบะเพื่อหยิบของ
3. บรรทุกสัมภาระได้อย่างปลอดภัย
Ford Ranger มีห่วงยึดสัมภาระกระบะท้ายติดตั้งมาจากโรงงาน และยังมีราวพร้อมหมุดยึดแบบสปริงสำหรับเลือกใช้งานเพื่อรัดสัมภาระให้แน่นหนา โดยรุ่น Wildtrak มาพร้อมราวอลูมิเนียมเสริมอีก 1 คู่ เพื่อช่วยให้บรรทุกสัมภาระขนาดใหญ่ได้รัดกุมยิ่งขึ้น
4. คิดนอกกรอบ
Ford Ranger รุ่น Stormtrak มีราวหลังคา และสปอร์ทบาร์แบบปรับได้ (Flexible Rack System) กับจุดลอคสปอร์ทบาร์ 5 ตำแหน่งตามแนวขอบกระบะ และเมื่อใช้ร่วมกับราวหลังคาจะทำให้สามารถบรรทุกสัมภาระที่มีลักษณะยาวได้อย่างง่ายดาย สำหรับรุ่นที่ไม่มีราวหลังคา และสปอร์ทบาร์แบบปรับได้ สามารถติดตั้งจุดยึดแรคหลังคาเพื่อช่วยให้ติดตั้งอุปกรณ์เสริมบนหลังคาได้ง่ายขึ้น ไม่ว่าจะเป็นแรคหลังคา หรือถาดวางสัมภาระ โดยหลังคาของ Ford Ranger รองรับน้ำหนักได้สูงสุด 350 กก. (ขณะจอด) และ 85 กก. (ขณะขับขี่)
5. ปลดลอคสมรรถนะผจญภัยด้วยโหมดการขับขี่ และระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ
ถึงแม้ว่าการเลือกสถานที่ตั้งแคมพ์ อาจเป็นเรื่องยาก แต่การขับรถไปที่จุดตั้งแคมพ์ จะเป็นเรื่องง่าย ด้วยระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ และโหมดการขับขี่ต่างๆ ของ Ford Ranger ที่ได้รับการออกแบบมาเพื่อช่วยให้การขับขี่สะดวกสบายและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นไป พร้อมๆ กับช่วยอำนวยความสะดวก แม้ต้องเจอกับสภาพเส้นทางที่ยากลำบาก
โหมดการขับขี่ปกติ (Normal) และโหมดประหยัด (Eco) ส่งพละกำลัง และประสิทธิภาพที่เหมาะกับการขับขี่บนถนนในชีวิตประจำวัน ในขณะที่โหมดถนนลื่น (Slippery) และโหมดโคลน (Mud/Ruts) มีไว้สำหรับใช้งานเมื่อไม่ได้ขับขี่บนถนนที่ลาดยางแบบปกติ หรือเมื่อต้องเริ่มขับขี่บนเส้นทางแบบผจญภัย โหมดลากจูง และบรรทุก (Tow/Haul) ได้รับการออกแบบมาเพื่อใช้สำหรับการลากจูงวัตถุที่มีน้ำหนักมาก โดยช่วยปรับอัตราทดเกียร์ให้เหมาะสม เพื่อการส่งกำลัง และการหน่วงกำลังของเครื่องยนต์บนสภาพทางที่ลาดชัน พร้อมเพิ่มน้ำหนักพวงมาลัยเพื่อการควบคุมที่มีประสิทธิภาพสูงสุด
โหมดการขับขี่ของ Ranger ได้รับการออกแบบมาเพื่อทำงานร่วมกับระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ หรือการเปลี่ยนเกียร์แบบ shift-on-the-fly แบบพาร์ทไทม์ ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ
ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อขั้นสูงของ Ford เป็นระบบอัตโนมัติที่ปรับเปลี่ยนได้เอง สามารถเลือกตั้งค่าสูงสุด 4 แบบ ได้แก่ 2H, 4H และ 4L รวมถึง 4A บน Ford Ranger Raptor เมื่อตั้งค่าเป็นโหมด 4A ระบบจะทำงานอย่างเต็มที่และตรวจสอบสภาวะการยึดเกาะถนนอย่างต่อเนื่อง โดยระบบจะกระจายแรงบิดตามสัดส่วนไปที่ล้อหน้าตามความจำเป็นในสภาวะการขับขี่ นอกจากนี้ ยังเป็นหนึ่งในโหมดเริ่มต้นสำหรับการใช้งานโหมดควบคุมการขับขี่ (Selectable Drive Modes) ที่จะปรับเปลี่ยนไปตามการเลือกโหมดการขับขี่แต่ละโหมดอีกด้วย
6. ควบคุมการขับขี่แบบออฟโรดได้อย่างเต็มรูปแบบ
เมื่อกดปุ่มออฟโรดบนคอนโซลกลาง ข้อมูลจะแสดงขึ้นมาบนหน้าจอสัมผัสขนาดใหญ่ โดยหน้าจอนี้จะแสดงการตั้งค่าสถานะการขับขี่ และองศาการเอียงของตัวรถ นอกจากนี้ ยังสามารถดูภาพจากกล้องมองรอบคัน 360 องศา ที่รวมไปถึงมุมกล้องหน้า ที่ช่วยให้เห็นทัศนวิสัยบริเวณล้อหน้าได้อีกด้วย
เรื่องโดย : ลิขิต น้าประเสริฐ
ภาพโดย : บริษัทผู้ผลิต
คอลัมน์ Online : ธุรกิจ (บก. ออนไลน์)
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/online/467948