รถล่าสุด
Audi เปิดตัว A8 L และ A7 Sportback แบบ PHEV ราคาลดเป็นล้าน !
Audi ประเทศไทย เดินหน้าแนะนำรถขับเคลื่อนไฟฟ้า Electrify Models ด้วยซีดานแบบพลัก-อิน ไฮบริด หรือ PHEV พร้อมกัน 2 รุ่น นำโดยเรือธง Audi A8 L 60 TFSI e quattro Prestige S line เคาะราคา 7.199 ล้านบาท (ลดจากรุ่นก่อนประมาณ 1,100,000 บาท) และ The New Audi A7 Sportback 55 TFSI e quattro S line ราคา 4.799 ล้านบาท (ลดจากรุ่นก่อนประมาณ 700,000 บาท)
Audi A8 L 60 TFSI e quattro Prestige S Line
เป็นรถซีดานขนาดใหญ่ และหรูหราที่สุดของ Audi ในประเทศไทย มาพร้อมความรู้สึกแบบ First Class ครบด้วยเทคโนโลยีระบบไฟฟ้าขั้นสูง ผู้โดยสารตอนหลังสามารถควบคุมการใช้งานภายในรถได้จากหน้าจอส่วนตัวพร้อมจอ OLED แบบสัมผัสขนาด 5.7 นิ้ว
เบาะหลังแยกซ้าย/ขวาออกจากกัน ให้ความเป็นส่วนตัว พร้อมที่พักเท้าแบบอุ่นร้อน และฟังค์ชันนวดเท้า หลังคาพาโนรามิคเลื่อนเปิด-ปิดด้วยระบบไฟฟ้า ม่านบังแดดปรับไฟฟ้าสำหรับกระจกด้านข้าง และกระจกข้างด้านหลัง เพื่อเพิ่มความเป็นส่วนตัว ไฟอ่านหนังสือภายในแบบ Matrix LED เพิ่มความสะดวกสบายในการมองเห็นภายในรถ
Audi A8 L 60 TFSI e quattro คันนี้สามารถวิ่งด้วยพลังงานไฟฟ้า 100 % ในความเร็วสูงสุด 135 กม./ชม. โดยมีระยะการขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าสูงสุด 52 กม. (มาตรฐาน WLTP) รองรับการชาร์จไฟได้สูงสุด 7.4 กิโลวัตต์ ใช้เวลาเพียง 2 ชั่วโมง สำหรับการชาร์จด้วยไฟ 220 โวลท์ ก็สามารถชาร์จแบทเตอรีให้เต็มได้ภายใน 4 ชั่วโมง
ขุมพลังเครื่องยนต์เบนซินแบบ V6 ขนาด 3.0 ลิตร TFSI ให้กำลังสูงสุดถึง 340 แรงม้า ทำงานคู่กับมอเตอร์ไฟฟ้ากำลังสูงสุด 136 แรงม้า มาพร้อมระบบเกียร์ Tiptronic 8 จังหวะ ส่งกำลังไปยังล้อทั้ง 4 ผ่านระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ แบบ quattro ให้กำลังรวมสูงสุด 462 แรงม้า อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ภายใน 4.7 วินาที และทำความเร็วสูงสุด 250 กม./ชม. โดยมีอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันเพียง 2.3 ลิตร/100 กม. หรือ 43.5 กม./ลิตร
ระบบพลัก-อิน ไฮบริดของ Audi นั้นมาพร้อมการขับขี่ทั้งหมด 4 โหมด ได้แก่ EV Mode, Battery Hold, Battery Charge และ Hybrid รถจะทำงานแบบคาดการณ์ล่วงหน้า และถูกเปิดใช้งานโดยอัตโนมัติเมื่อมีการเริ่มใช้ระบบนำทาง MMI Navigation plus with MMI touch response
การชาร์จแบทเตอรีทำได้อย่างดี โดยปรับให้เหมาะกับการขับขี่ตลอดเส้นทาง รถจะใช้พลังงานไฟฟ้าเป็นหลักเมื่ออยู่ในตัวเมือง และในการจราจรที่หนาแน่น โดยทั่วไปแล้วระบบจะคำนวณการขับขี่ด้วยพลังงานไฟฟ้าให้ได้มากที่สุด และใช้แบทเตอรีที่มีอยู่ให้หมดเมื่อถึงจุดหมายปลายทาง
- EV Mode รถจะขับเคลื่อนด้วยระบบไฟฟ้าเพียงอย่างเดียว ตราบใดที่คนขับไม่เหยียบคันเร่งเกินที่กำหนดไว้
- Battery Hold ระบบจัดการการขับขี่จะรักษาความจุของแบทเตอรีไว้ที่ระดับปัจจุบันที่คงเหลือ เพื่อให้ผู้ขับขี่สามารถครอบคลุมระยะทางที่กำหนดในภายหลังด้วยระบบไฟฟ้าเต็มรูปแบบ
- Battery Charge ระบบจะจัดการการขับขี่โดยสร้างพลังงานไฟฟ้ากลับเข้าสู่แบทเตอรี เพื่อให้ผู้ขับขี่สามารถวางแผนการใช้งานด้วยระบบไฟฟ้าในพื้นที่ที่ต้องการได้
- Hybrid จะถูกเปิดใช้งานโดยอัตโนมัติพร้อมกับระบบนำทาง หรือคนขับสามารถเลือกใช้ปุ่มโหมดการทำงานได้ โดยโหมดนี้ จะทำงานร่วมกันระหว่างมอเตอร์ไฟฟ้า และเครื่องยนต์สันดาปอย่างลงตัว เพื่อลดอัตราการสิ้นเปลืองพลังงานเชื้อเพลิงให้ได้น้อยที่สุด โดยรถจะเน้นการใช้พลังงานจากมอเตอร์ไฟฟ้าเป็นหลัก เช่น การจราจรที่ติดขัด ระบบไฟฟ้าจะทำงานเป็นส่วนใหญ่ โดยจะทำงานร่วมกับระบบ Recuperation ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสภาวะการขับขี่ สถานการณ์ สภาพถนน และการขับขี่
Audi A8 L 60 TFSI e quattro ยังมาพร้อมระบบความปลอดภัยแบบครบครัน
• ระบบป้องกันก่อนเกิดเหตุ (Audi pre sense basic) ระบบจะประเมินสถานการณ์การขับขี่ จากการทำงานของเซนเซอร์ภายใต้ระบบควบคุมการทรงตัว ESC เรดาร์เซนเซอร์บริเวณด้านท้ายรถ หรือการเหยียบแป้นเบรคอย่างรุนแรง ในกรณีที่ประเมินว่ามีแนวโน้มที่อาจเกิดอันตรายได้ ระบบจะดึงรั้งสายเข็มขัดนิรภัยของเบาะนั่งคู่หน้าให้กระชับ นอกจากนั้นแล้ว หากกระจก หรือหลังคาพาโนรามิคถูกเปิดค้างไว้ ระบบจะปิดให้โดยอัตโนมัติ พร้อมทั้งเปิดการทำงานของสัญญาณไฟฉุกเฉิน
• ระบบป้องกันก่อนเกิดเหตุด้านหลัง (Audi pre sense rear) เรดาร์เซนเซอร์ที่อยู่ด้านท้ายรถจะประเมินสภาพการจราจรที่อยู่ด้านหลัง ในกรณีที่ประเมินว่ามีแนวโน้มที่อาจเกิดอันตรายได้ ระบบจะดึงรั้งสายเข็มขัดนิรภัยของเบาะนั่งคู่หน้าให้กระชับ หากกระจก หรือหลังคาพาโนรามิคถูกเปิดค้างไว้ ระบบจะปิดให้โดยอัตโนมัติ พร้อมทั้งเปิดการทำงานของสัญญาณไฟฉุกเฉิน
• ระบบแจ้งเตือนจุดอับสายตาเมื่อเปลี่ยนเลน (Lane change assist) เรดาร์เซนเซอร์ 2 ตำแหน่ง ที่อยู่ด้านท้ายของตัวรถจะช่วยผู้ขับขี่ในการตรวจสอบสภาพการจราจรที่อยู่ด้านหลัง เมื่อระบบประเมินว่ารถอยู่ภายใต้ความเสี่ยงที่อาจจะเกิดอันตรายได้หากผู้ขับขี่เปลี่ยนเลน ระบบจะแสดงสัญญาณเตือนขึ้นที่กระจกมองข้าง ทั้งนี้ หากผู้ขับขี่เปิดสัญญาณไฟเลี้ยวเพื่อตั้งใจเปลี่ยนเลนไปยังทิศทางดังกล่าว สัญญาณเตือนจะกะพริบถี่ขึ้น
• ระบบแจ้งเตือนสภาพแวดล้อมด้านข้าง และด้านท้ายรถเมื่อเปิดประตูลงจากรถ (Exit warning) ขณะที่รถจอดหยุดนิ่ง ระบบจะตรวจสอบสภาพแวดล้อมทั้งด้านข้าง และด้านหลัง ทั้งนี้ในกรณีที่ตรวจพบยานพาหนะที่เคลื่อนเข้ามาในระยะที่อาจเกิดอันตราย เช่น รถยนต์ หรือรถจักรยาน กำลังเคลื่อนเข้ามาจากด้านหลัง ในขณะที่ผู้โดยสารภายในรถกำลังเปิดประตูจากด้านใน สัญญาณไฟเตือนจะปรากฏขึ้น
• ระบบแจ้งเตือนสภาพแวดล้อมด้านข้าง และด้านท้ายรถเมื่อเข้าเกียร์ถอยหลัง (Rear cross traffic assist) ระบบสามารถแจ้งเตือนผู้ขับขี่ขณะถอยรถออก หากตรวจสอบสภาพแวดล้อมแล้วพบว่ามีรถเคลื่อนเข้ามาในระยะที่อาจเกิดอันตราย ระบบจะส่งสัญญาณเตือน และหากอยู่ในสถานการณ์คับขัน ระบบจะช่วยเบรคเพื่อลดทอนการเกิดอุบัติเหตุ Regenerative power เมื่อรถมีการเคลื่อนที่แบบลอยตัว ตัวรถจะทำการชาร์จไฟกลับสู่แบทเตอรีด้วยระบบ Coasting Recuperation โดยระบบนี้จะสามารถคืนพลังงานไฟฟ้าให้แก่รถได้มากถึง 25 กิโลวัตต์ นอกจากนั้นในขณะที่ผู้ขับขี่ทำการเบรค
Audi A8 L 60 TFSI e quattro จะสามารถคืนพลังงานเข้าแบทเตอรีได้สูงสุดถึง 80 กิโลวัตต์ ด้วยระบบ Brake recuperation โดยมีหน้าจอ Virtual Cockpit และระบบ MMI หน้าจอระบบสัมผัสที่ทำให้ผู้ขับขี่สามารถดูข้อมูลการขับขี่ได้อย่างหลากหลาย เช่น มาตรวัดกำลัง ระยะทาง หรือพลังงานในปัจจุบันของระบบเครื่องยนต์ และมอเตอร์ไฟฟ้า เป็นต้น เพื่อจะได้เลือกการขับขี่ได้อย่างถูกต้อง
สรุปแล้ว Audi A8 L 60 TFSI e quattro Prestige S line มาพร้อมสมรรถนะการขับขี่ที่ดีขึ้น ดีไซจ์นการตกแต่งของเบาะนั่งภายในดูสปอร์ทมากขึ้นด้วยลาย Diamond cut ทั้งยังเพิ่มระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่มาอย่างครบครันในราคาที่ถูกลงมากกว่า 1 ล้านบาท โดยเปิดให้จองแล้วในราคา 7,199,000 บาท มีสีภายนอกให้เลือกไม่ว่าจะเป็น Metallic Glacier White, Metallic Mythos Black, Metallic Floret Silver และ 2 สีใหม่ Metallic Firmament Blue, Metallic District Green สีภายในห้องโดยสารมีให้เลือก 2 สี คือ Cognac Brown และ Black
Audi A7 Sportback 55 TFSI e quattro
Gran Turismo 4 ประตู พร้อมระบบขับเคลื่อนแบบพลัก-อิน ไฮบริดทรงพลัง หนึ่งเดียวในเซกเมนท์ที่มาพร้อมระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ quattro ultra technology พร้อมเทคโนโลยีที่ให้ความลื่นไหลในการขับขี่ ทำให้เกาะถนนดีเยี่ยมกำลังขับเคลื่อนรวมสูงสุดถึง 367 แรงม้า อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. เพียง 5.7 วินาที และทำความเร็วสูงสุดได้ถึง 250 กม./ชม. (ในโหมดไฟฟ้าสามารถขับเคลื่อนด้วยความเร็วสูงสุด 135 กม./ชม.) และระยะทางวิ่งไกลสุด 69 กม. (มาตรฐาน WLTP)
มาพร้อมชุดแต่ง S line เครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ เทอร์โบชาร์จ ขนาด 2.0 ลิตร ให้กำลัง 265 แรงม้า และมอเตอร์ไฟฟ้าให้กำลัง 143 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 350 นิวตันเมตร ที่ทำงานร่วมกับระบบเกียร์ S tronic 7 จังหวะ แบทเตอรีแบบลิเธียม-ไอออน สามารถเก็บพลังงานได้ถึง 17.9 กิโลวัตต์ชั่วโมง พร้อมระบบ Recuperation ที่สร้างพลังงานไฟฟ้ากลับคืนสู่แบทเตอรีขณะขับขี่
A7 Sportback 55 TFSI e quattro ได้รับการออกแบบมาเพื่อให้ลูกค้าสามารถขับขี่ด้วยระบบไฟฟ้าได้อย่างเต็มที่ในทุกๆ วัน ไม่ว่าจะอยู่ในตัวเมือง หรือเดินทางระยะไกล การผสมผสานระหว่างมอเตอร์ไฟฟ้า และเครื่องยนต์ที่คล่องตัว และสปอร์ทในคันเดียว มีโหมดการขับขี่ที่แตกต่างกันถึง 4 โหมด
ระบบชาร์จเป็นมาตรฐาน หัวชาร์จแบบ Type 2 สำหรับใช้กับเครื่องชาร์จสาธารณะ พร้อมแท่นชาร์จ Compact Charger ที่ใช้สำหรับการชาร์จไฟบ้าน และอุตสาหกรรม ระบบจะมีการแสดงสถานะ LED เพื่อความปลอดภัย รองรับการชาร์จไฟได้สูงสุด 7.4 กิโลวัตต์ โดยจะใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง นอกจากนั้น สำหรับการชาร์จด้วยไฟบ้านขนาด 220 โวลท์ ก็สามารถชาร์จแบทเตอรีเปล่าให้เต็มได้ภายในเวลาไม่เกิน 4 ชั่วโมง
รูปลักษณ์ให้ลุคสปอร์ท ด้วยชุดแต่งภายนอกแบบ S line Black Edition และล้อลายใหม่ Audi Sport 5-double arm style ขนาด 20 นิ้ว พร้อมคาลิเพอร์เบรคสีแดง ไฟหน้าแบบ HD Matrix LED
พร้อมเอฟเฟคท์ไฟด้านหน้า-หลัง (Light Staging) พร้อมไฟ Projector LED สัญลักษณ์ S ที่ประตูหน้า เบาะนั่งคู่หน้าหนัง Valcona แบบ Sports plus ตกแต่งด้วยลาย Diamond cut พร้อมสัญลักษณ์ S line
พวงมาลัยมัลทิฟังค์ชันแบบสปอร์ทท้ายตัด ตกแต่งด้วยหนัง Perforated พร้อมสัญลักษณ์ S line ตกแต่งภายในด้วยลาย Dark Matte Brushed Aluminum หลังคาพาโนรามิคเลื่อนเปิด-ปิดด้วยระบบไฟฟ้า แป้นเบรค แป้นคันเร่ง และที่พักเท้าตกแต่งด้วย Stainless steel
ภายในรถยังมาพร้อมเทคโนโลยีระบบควบคุมอุณหภูมิอัตโนมัติ แยกอิสระ 4 โซน ช่อง USB-C สำหรับผู้โดยสารด้านหน้า 2 ตำแหน่ง และด้านหลัง 2 ตำแหน่ง ระบบเครื่องเสียงระดับพรีเมียม Bang & Olufsen พร้อมระบบเสียง 3 มิติ และไฟเรืองแสงในห้องโดยสารมากถึง 30 สี (Contour/ambient lighting) ระบบช่วยปรับอุณหภูมิในห้องโดยสารก่อนเริ่มการขับขี่ (Stationary air conditioning)
สรุป Audi A7 Sportback 55 TFSI e quattro S line รุ่นใหม่มาพร้อมกับเทคโนโลยีพลัก-อิน ไฮบริด มีสมรรถนะที่ดีขึ้น ตกแต่งภายนอกด้วยดีไซจ์นกระจังหน้าใหม่ เสริมความสปอร์ทด้วยชุดแต่ง Black Edition และล้อลายใหม่ ทั้งยังปลอดภัยด้วยระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ ในราคาที่คุ้มค่า
โดยเปิดให้จองแล้วในราคาเริ่มต้นที่ 4,799,000 บาท และ A7 Sportback 55 TFSI e quattro S line Black Edition ราคา 5,099,000 บาท โดยมีสีภายนอกให้เลือกทั้งหมด 6 สี Metallic Glacier White, Metallic Floret Silver, Metallic Mythos Black, Metallic Chronos Grey, และสีใหม่ Metallic Firmament Blue และ Metallic Grenadine Red