ธุรกิจ
Neta ประกาศแผนรุกตลาดในประเทศไทย
บริษัท โฮซอน นิว เอนเนอร์ยี่ เซลส์ จำกัด ร่วมกับ บริษัท เนต้า ออโต้ (ไทยแลนด์) จำกัด ร่วมประกาศแผนเดินหน้าเต็มสูบในประเทศไทย พร้อมการขยายตลาดสู่ตลาดประเทศต่างๆ ในอาเซียน หวัง เฉิงเจี่ย (Wang ChengJie) รองประธาน บริษัท โฮซอน นิว เอนเนอร์ยี่ เซลส์ จำกัด และกรรมการผู้จัดการ บริษัท เนต้า ออโต้ (ไทยแลนด์) จำกัด ร่วมกับ เป่า จ้วงเฟย (Bao Zhuangfei) ผู้จัดการทั่วไป บริษัท เนต้า ออโต้ (ไทยแลนด์) จำกัด ให้สัมภาษณ์
Wang ChengJie รองประธาน บริษัท โฮซอน นิว เอนเนอร์ยี่ เซลส์ จำกัด และกรรมการผู้จัดการ บริษัท เนต้า ออโต้ (ไทยแลนด์) จำกัด ร่วมกับ Bao Zhuangfei ผู้จัดการทั่วไป บริษัท เนต้า ออโต้ (ไทยแลนด์) จำกัด ร่วมเปิดเผยว่า Neta เริ่มเข้ามาทำตลาดในประเทศไทยเมื่อปี 2022 รวมถึงได้มีการขยายตลาดในสู่ประเทศต่างๆ ในอาเซียน โดยปัจจุบันจัดตั้งบริษัท Neta Auto อินโดนีเซีย และเวียดนาม (รวม 3 บริษัทในอาเซียน) และมีการดำ เนินธุรกิจผ่านบริษัทผู้แทนจัดจำหน่ายในมาเลเซีย เมียนมาร์ สปป.ลาว บรูไน และอยู่ในระหว่างการแต่งตั้งผู้แทนในกัมพูชา โดยสามารถครอบคลุมตลาดในภูมิภาคนี้อย่างครบถ้วนทั้ง 10 ประเทศ
พร้อมกันนี้ ยังได้เข้าไปขยายตลาดในตะวันออกกลางเมื่อปีที่แล้ว โดยจัดตั้ง Neta Auto ในจอร์แดน ตุรกี อิสรา เอล (แต่ยังไม่ได้เปิดอย่างเป็นทางการ เนื่องจากสถานการณ์ความไม่สงบของสงคราม) และอื่นๆ นอกจากนี้ ในวันที่ 10 มกราคม 2024 ยังจะขยายตลาดไปยังทวีปยุโรป ที่กรุงปารีส ฝรั่งเศส โดย Neta มีเป้าหมายที่จะขยายตลาดให้ได้มากกว่า 60 ประเทศ ภายในปี 2024
Bao Zhuangfei ผู้จัดการทั่วไป กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า สำหรับประเทศไทย Neta Auto ได้ส่งมอบรถยนต์ไฟฟ้าให้แก่ลูกค้าภายในประเทศแล้วมากกว่า 12,000 คัน โดยมียอดขายเป็นอันดับ 2 ในตลาดรถพลังงานไฟฟ้าในไทย มีส่วนแบ่งการตลาดที่ 20 % และได้แต่งตั้งผู้จัดจำหน่ายอย่างเป็นทางการไปแล้ว 45 ราย และมีแผนที่จะขยายเพิ่มขึ้นอีกในปี 2024 อีกประมาณ 30 แห่ง
ด้านการผลิต โรงงานประกอบรถยนต์พลังงานไฟฟ้าของ Neta ในประเทศไทย ร่วมมือกับ บริษัท บางชันเยนเนอเรลเอเซมบลี จำกัด ซึ่งเป็นโรงงานผลิตรถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100 % แห่งแรกของ Neta ที่อยู่นอกประเทศจีน โดยจะเป็นฐานการผลิตรถยนต์พลังงานไฟฟ้าพวงมาลัยขวาสำหรับตลาดภูมิภาคอาเซียน ได้เริ่มต้นผลิตครั้งแรกเมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน 2023 โดยโรงงานดังกล่าวมีความคืบหน้าด้านการก่อสร้าง และติดตั้งระบบเครื่องจักรไปแล้วประมาณ 90 % และจะเริ่มเปิดไลน์ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าอย่างเต็มรูปแบบได้ภายในไตรมาสแรกของปี 2024 (ประมาณเดือนกุมภาพันธ์) ซึ่งจะมีกำลังผลิตที่สอดคล้องกับมาตรการ EV 3.0 ของรัฐบาลที่สัดส่วน 1:1 (ยอดขายในปีที่ผ่านมาต่อกำลังการผลิต) โดยถ้าคำนวณจากการผลิตใน 1 กะ/วัน โรงงานที่บางชันนี้ จะมีกำลังการผลิตอยู่ที่ไม่เกิน 20,000 คัน/ปี และไม่เกิน 40,000 คัน/ปี หากมีการผลิต 2 กะ/วัน แต่เนื่องจากโรงงานตั้งอยู่ในเขตกรุงเทพฯ ก็จะมีข้อจำกัดในด้านเวลาการขนส่ง และลอจิสติคส์ ตามกฎหมายที่เกี่ยวกับการเข้า-ออกเขตเมืองสำหรับรถบรรทุก/รถขนส่งขนาดใหญ่
โรงงานแห่งใหม่นี้จะผลิตรถยนต์ไฟฟ้ารุ่น Neta V-II (หรือรุ่น Neta AYA) ซึ่งจะเป็นโฉมใหม่ของ Neta V โดยจะมุ่งเน้นการผลิตเพื่อรองรับความต้องการของลูกค้าในประเทศไทยก่อน และหลังจากนั้นจะค่อยๆ ผลิตเพื่อรองรับการส่งออกรถยนต์ Neta ไปยังประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคอาเซียน ซึ่งอาจจะเริ่มทำการส่งออกลอทแรกได้ในช่วงไตรมาสที่ 3 หรือที่ 4 ในปีหน้า จึงถือว่าในช่วงครึ่งปีแรกของ 2024 จะเป็นช่วงเริ่มต้นทำการผลิต และปรับปรุงระบบของโรงงาน รถยนต์ไฟฟ้าของ Neta ที่จัดจำหน่ายในช่วงดังกล่าวก็จะยังคงเป็นรถที่นำเข้ามาจากโรงงานที่จีน แต่ในช่วงครึ่งปีหลังไปแล้วเมื่อระบบปฏิบัติการทุกอย่างเกิดความราบรื่น เราก็จะหวังยอดขายจากรถยนต์ที่ผลิตในโรงงานไทยได้มากขึ้น โดยเป้าหมายจัดจำหน่ายของเราสำหรับปี 2024 อยู่ที่ประมาณ 12,000 คัน หรือมากกว่านั้น
นอกจากนี้ ยังมีความเป็นไปได้ที่ทาง Neta Auto จะทำการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าแบบ Crossover SUV รุ่น Neta X ประมาณในช่วงไตรมาสที่ 2 ของปี 2024 เนื่องจากเป็นรถรุ่นที่ได้รับความสนใจจากผู้บริโภคชาวไทยเป็นอย่างมาก และยังเป็นเซกเมนท์ตลาดรถยนต์นั่งไฟฟ้าที่มีสัดส่วนที่ใหญ่ และมีการเติบโตในประเทศไทยอย่างก้าวกระ โดด อีกทั้งยังให้ฟังค์ชันการใช้งานที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้ขับขี่ชาวไทยในปัจจุบันได้มากที่สุด โดยในด้านราคา เราจะพิจารณาตามความเหมาะสมของต้นทุนการผลิต รวมถึงปัจจัยด้านต่างๆ เราไม่มีแผนการแข่งขันด้านราคา หรือลดราคา แต่จะดูความเหมาะสมตามตลาด และตามความต้องการของลูกค้าเป็นหลัก
สำหรับตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย คาดว่าปี 2024 บริษัทที่จำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้าจะต้องมีโรงงานผลิตในประเทศไทย เนื่องจากทางรัฐบาลให้การสนับสนุน และมีมาตรการที่ให้สิทธิประโยชน์ต่างๆ อย่างเป็นรูปธรรมให้แก่ผู้ประกอบธุรกิจ และลูกค้า ทำให้ในด้าน Supply Chain อาจเกิดปัญหาไม่สามารถรองรับปริมาณความต้องการด้านวัตถุดิบ หรือส่วนประกอบต่างๆ ได้อย่างเพียงพอ โดยตลาดอาจจะมีช่วงหยุดชะงักเกิดขึ้นได้ เป็นระยะช่วงการผลิตเกิดปัญหาการขาดแคลน รวมถึงจะมีรถยนต์ค่ายใหม่เข้ามาทำตลาดเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะจากประเทศจีน ซึ่งขณะนี้มีอยู่แล้วถึง 7 ค่าย ซึ่งจะส่งผลให้มียอดขายรถไฟฟ้าเติบโตเพิ่มขึ้น อาจทะลุไปถึง 100,000 คัน/ปี (คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 20 % เมื่อเทียบกับยอดจดทะเบียนรถยนต์ใหม่ทั้งหมด)
นอกจากนี้ ตามแผนของโรงงานแห่งใหม่ ที่จะผลิตรถยนต์ Neta จะใช้แบทเตอรีที่ผลิตโดยพันธมิตรของเรา คือ บริษัท เอ็นวี โกชั่น จำกัด (NV Gotion) ในเครือ PTT โดยในวันที่ 7 ธันวาคม 2023 ที่ผ่านมา บริษัทฯ เริ่มก่อตั้งโรงงานผลิตแบทเตอรีสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าที่นิคมอุตสาหกรรมอมตะ และภายในปี 2025 ทางรัฐบาลไทยจะมีมาตรการให้บริษัทรถยนต์พลังงานไฟฟ้าใช้แบทเตอรี และมอเตอร์ที่ผลิตในประเทศไทยเท่านั้น ทางบริษัทฯ จึงมีแผนพัฒนาการผลิตแบทเตอรีที่โรงงานบางชัน และยังมีแผนที่จะเพิ่มพันธมิตรรายอื่นๆ เพิ่มขึ้น ที่จะมาร่วมแชร์เทคโนโลยีด้านแบทเตอรี และเทคโนโลยีสำหรับรถยนต์พลังงานไฟฟ้าร่วมกัน ภายใต้กรอบมาตรการใหม่ที่จะออกมาโดยสถาบันยานยนต์
ดังนั้น เนต้า ออโต้ (ไทยแลนด์)ฯ จึงได้วางเป้าหมายในปี 2024 โดยเรายังคงมุ่งเน้นการสร้างประสบการณ์ที่ดีให้แก่ลูกค้า โดยเน้นความแข็งแกร่ง 4 ด้าน ตามหลักกลยุทธ์ 4P ได้แก่ Product (ผลิตภัณฑ์), Place (ตลาด), Price (ราคา) และ Promotion (โปรโมชัน) ซึ่งจะดูความเหมาะสมของทุกองค์ประกอบไปจนถึงพัฒนาความพอใจด้านบริการหลังการขาย และระบบอีโคซิสเตมโดยรวมของ EV โดยในปี 2024 เรามีแผนที่จะรุกตลาดในต่างจังหวัดมากขึ้นด้วยการเพิ่มจำนวนดีเลอร์ และทำการตลาดดิจิทอลมากขึ้น เพราะเป็นช่องทางที่ลูกค้าจะสามารถเข้ามาสัมผัสกับแบรนด์ Neta ได้ในอันดับแรก ในด้านยอดขาย ตั้งเป้าหมายรวมสำหรับตลาดอาเซียนไว้ที่ 30,000 คัน โดย 90 % ของยอดขายนี้จะมาจากตลาดไทย (ประมาณ 27,000 คัน) ถือเป็นเป้าหมายที่คาดว่าจะทำได้ เพราะในปีที่ผ่านมา เราประสบกับความสำเร็จด้านยอดขายอย่างสวยงามแม้ว่าจะมีผลิตภัณฑ์ในตลาดไทยเพียงรุ่นเดียว คือ Neta V แต่ด้วยการเสริมทัพพอร์ทโฟลิโอกับ Neta V-II และ Neta X SUV พร้อมกับการเป็นตัวเลือกที่ให้ความคุ้มค่า และการเข้าถึงเทคโนโลยี EV ที่ใครๆ ก็เป็นเจ้าของได้ไม่ยากของแบรนด์ Neta เชื่อว่าเราจะสามารถประสบความสำเร็จได้ตามเป้าที่ตั้งไว้อย่างแน่นอน
อย่างไรก็ตาม Neta Auto ตระหนักถึงความสำคัญของการสนับสนุนจากรัฐบาลไทยเป็นอย่างมาก การเติบโตอย่างก้าวกระโดดด้านยอดขาย และการพัฒนาของทุกภาคส่วนในอีโคซิสเตมสำหรับ EV ในทั่วประเทศ ล้วนเป็นผลมาจากความชัดเจนในการเล็งเห็นถึงผลประโยชน์ที่มาจากเทคโนโลยีไฟฟ้าในรถยนต์นั่ง ภายในช่วงเวลา 2-3 ปีที่ผ่านมา รัฐบาลไทยได้ออกมาตรการสนับสนุนทางด้านภาษีสรรพสามิต และนโยบายที่เอื้ออำนวยให้บริษัทผู้ผลิตรถยนต์ต่างๆ สามารถเข้ามาดำเนินธุรกิจในประเทศไทยได้อย่างสะดวกราบรื่น มีการเข้ามาทำงานร่วมกันในโครงการต่างๆ มากมายในรูปแบบพันธมิตร ช่วยให้ไทยมีตลาด EV ที่กำลังเติบโต และใหญ่เป็นอันดับต้นๆ ของอาเซียน หากเปรียบเทียบกับประเทศอื่นๆ ที่เป็นตลาดทางเศรษฐกิจที่สำคัญในภูมิภาคนี้ เช่น มาเลเซีย และอิน โดนีเซีย ฯลฯ ซึ่งมีประชากรจำนวนมาก แต่ในปัจจุบัน รัฐบาลของประเทศเหล่านี้ยังคงอยู่ในกระบวนการการศึก ษาความเป็นไปได้ และกำลังหามาตรการที่เหมาะสมเพื่อมาปรับใช้ ในขณะที่ประเทศไทย เราทำไปแล้ว เราทำ ได้จริง และเรามีความได้เปรียบในฐานะผู้บุกเบิกอุตสาหกรรม EV ในภูมิภาคอาเซียน ซึ่งทาง Neta มองว่าความสำเร็จในด้านนี้ถือเป็นผลงานชิ้นโบว์แดงของรัฐบาลไทยในการผลักดันนโยบายพลังงานซึ่งเป็นวาระแห่งชาติให้เติบโตอย่างเป็นรูปธรรม
อีกทั้งแนวโน้มอุตสาหกรรม EV ระดับโลกในปี 2024 เราคิดว่าตลาดในภาพรวมจะเกิดความท้าทายมากขึ้นในหลายๆ ตลาดทั่วโลก โดยในช่วงครึ่งปีแรกของปีตลาดน่าจะยังคงมีการเติบโตอยู่อย่างน่าพอใจ โดยเฉพาะในภูมิภาคใหม่ๆ เช่น อาเซียน ตะวันออกกลาง และอเมริกาใต้ ที่ Neta Auto ได้ค่อยๆ เข้าไปเริ่มดำเนินธุรกิจในปัจจุบัน อย่างไรก็ตาม ในช่วงครึ่งปีหลังของ 2024 คาดว่าตลาดจะมีการชะลอตัวลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุโรป และสหรัฐอเมริกา เนื่องจากไม่มีการสนับสนุนจากภาครัฐในเรื่องของการส่งเสริมให้ประชาชนหันมาใช้รถยนต์พลังงานไฟฟ้า รวมถึงในส่วนของโครงสร้างอินฟราสตรัคเจอร์ที่ไม่ได้รับการพัฒนาขึ้นมากนัก
ในส่วนของตลาดจีน หลังจากที่รัฐบาลให้การสนับสนุนอย่างต่อเนื่องมา 12 ปี ก็จะเริ่มตัดสิทธิประโยชน์ต่างๆ ออกไป และแน่นอนว่าลูกค้าที่ซื้อรถยนต์ EV ส่วนมากย่อมคำนึงถึงประโยชน์ หรือ Incentive ต่างๆ ที่ตนจะได้รับจากการเปลี่ยนมาใช้เทคโนโลยีนี้ด้วย ตลาดจึงอาจจะทรงตัว หรือชะลอตัวลงในช่วงปีหน้า โดยในปัจจุบัน สัด ส่วนของรถ EV เมื่อเทียบกับรถยนต์ทั้งหมดอยู่ที่ประมาณ 38 %
ในประเทศไทย Neta มองว่าสัดส่วนรถ EV น่าจะสามารถเติบโตขึ้นมาได้ถึง 30 % ภายใน 3 ปี เมื่อเทียบกับยอดรถจดทะเบียนใหม่ทั้งหมดที่ปัจจุบันเป็นรถ EV ประมาณ 20 % ทั้งนี้จะขึ้นอยู่กับ 2 ปัจจัย 1. นโยบายของรัฐที่เกี่ยวกับรถยนต์ไฟฟ้า แบทเตอรี สถานีชาร์จ และสาธารณูปโภคต่างๆ และ 2. การวิจัย และพัฒนา ที่จะมีความแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ
ABOUT THE AUTHOR
นุสรา เงินเจริญ
บรรณาธิการข่าวธุรกิจและสังคม รักการอ่าน ขอบงานเขียน ชอบพบปะผู้คน ได้มีโอกาสสัมภาษณ์ผู้บริหารในวงการยานยนต์ไทย ท่องเที่ยว เป็นประสบการณ์ที่ดี พร้อมได้ เปิดโลก ได้พัฒนาตัวในแวดวงสื่อสารมวลชน
ภาพโดย : บริษัทผู้ผลิตคอลัมน์ Online : ธุรกิจ (บก. ออนไลน์)