ธุรกิจ
ข่าวเด่นในรอบสัปดาห์
Chery เปิดตัวอย่างเป็นทางการ พร้อมรถรุ่นใหม่
โอโมดา แอนด์ เจคู (ประเทศไทย)ฯ โชว์ศักยภาพบริการหลังการขายครบวงจร ด้วยเครือข่ายผู้แทนจำหน่ายมากกว่า 35 แห่ง พร้อมให้บริการทั่วประเทศ กางแผนปูพรมเตรียมลงทุนในไทย ภายในปี 2568
เฉิน ชุนชิง รองประธาน Chery International กล่าวว่า บริษัทฯ ได้เตรียมความพร้อม และพัฒนาทีมในการดำเนินธุรกิจในประเทศไทยในชื่อ “โอโมดา แอนด์ เจคู (ประเทศไทย)ฯ หรือ OMODA & JAECOO (Thailand)” ที่พร้อมให้บริการแล้วในปี 2567 นี้
“ประเทศไทยถือเป็นตลาดยานยนต์ที่ใหญ่ที่สุดในอาเซียน และเป็นศูนย์กลางการผลิตในอุตสาหกรรมยานยนต์ในภูมิภาค เรามองเห็นแนวโน้มการพัฒนาอุตสาหกรรม และการสนับสนุนรถยนต์พลังงานใหม่ของรัฐบาลไทย ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดการพัฒนาอย่างยั่งยืนของ โอโมดา แอนด์ เจคู (ประเทศไทย)ฯ โดยเรามุ่งมั่น
ที่จะพัฒนาแบรนด์ให้เข้ากับผู้ขับขี่ชาวไทย และสอดคล้องกับห่วงโซ่อุตสาหกรรมยานยนต์ไทยต่อไปในอนาคต”
ฉี เจี๋ย ประธาน บริษัท โอโมดา แอนด์ เจคู (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า โอโมดา แอนด์ เจคู (ประเทศไทย)ฯ ถือเป็นการเริ่มต้นที่ยิ่งใหญ่ครั้งประวัติศาสตร์ของบริษัทฯ ด้วยความมุ่งมั่นที่จะเสริมสร้างธุรกิจที่แข็งแกร่งในประเทศไทย และความตั้งใจในการขับเคลื่อนการเติบโตที่ยั่งยืนให้เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม
โอโมดา แอนด์ เจคู (ประเทศไทย)ฯ พร้อมเปิดจำหน่ายรถยนต์รุ่นแรก OMODA C5 EV ในช่วงกลางปี 2567 นี้ ตามมาด้วย JAECOO 7 ที่วางแผนจะเข้ามาจำหน่ายในไตรมาสที่ 3 และในไตรมาสที่ 4 จะนำรถยนต์ JAECOO 6 และ JAECOO 8 เข้ามาจำหน่ายในประเทศไทยอย่างเป็นทางการ นอกจากนี้ บริษัทฯ ได้วางแผนการลงทุนก่อสร้างโรงงานประกอบรถยนต์ในประเทศไทย ซึ่งจะได้เห็นความคืบหน้าในปี 2568
ฉี เจี๋ย กล่าวเสริมว่า สำหรับตลาดรถยนต์ไฟฟ้าของประเทศไทยมีการเติบโตอย่างรวดเร็ว จากข้อมูลจากสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ปริมาณการขายรถยนต์นั่งส่วนบุคคลในประเทศไทยอยู่ที่ประมาณ 407,000 คัน ในปี 2566 โดยรถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100 % มียอดจำหน่ายกว่า 73,000 คัน ซึ่งเพิ่มขึ้น 603.66 % จากปีก่อน ส่งผลให้ประเทศไทยเป็นตลาดรถยนต์พลังงานแห่งใหม่ที่มีศักยภาพในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งถือเป็นโอกาสที่ดีสำหรับ โอโมดา แอนด์ เจคู (ประเทศไทย)ฯ ในการเข้ามาทำตลาดในประเทศไทย และการลงทุนโรงงาน จะยกระดับให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการผลิตรถพวงมาลัยขวาในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ตามการศึกษาความเป็นไปได้ (Feasibility Study) พร้อมกับตั้งเป้าหมายจะก้าวขึ้นเป็น 1 ใน 3 แบรนด์รถยนต์ชั้นนำจากประเทศจีนในไทย เพื่อตอกย้ำศักยภาพ และความพร้อมของแบรนด์ในการเข้ามาทำการตลาดอย่างยั่งยืนในประเทศไทย และบรรลุเป้าหมายการพัฒนาในระดับโลก
พิชญุตม์ วงศ์พัฒนาสิน รองประธานฝ่ายขายและการตลาด บริษัท โอโมดา แอนด์ เจคู (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ในปี 2566 OMODA & JAECOO ได้รับความนิยมจากผู้คนเกือบ 20 ประเทศทั่วโลก ด้วยกลยุทธ์การวางตำแหน่งทางการตลาด และนวัตกรรมที่ล้ำสมัย ซึ่งในเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา รถยนต์ OMODA มียอดขายส่งออก 11,432 คัน ติด 5 อันดับแรกของการส่งออกยานยนต์ของจีน ภายในปี 2567 นี้ โอโมดา แอนด์ เจคู (ประเทศไทย)ฯ จะนำรถยนต์เข้ามาจำหน่ายทั้งสิ้น 4 รุ่น โดยจะเปิดจำหน่ายรถยนต์รุ่นแรก OMODA C5 EV ในช่วงไตรมาสที่ 2 ที่จะถึงนี้ โดยรถยนต์ OMODA C5 EV เป็นยนตรกรรม EV 100 % ที่ผสมผสานการออกแบบแห่งอนาคต เข้ากับเทคโนโลยีสุดอัจฉริยะ ทั้งฟังค์ชันความปลอดภัย และความสะดวกสบายแบบจัดเต็ม ที่มาพร้อมคอนเซพท์ “O-UNIVERSE” เชื่อมต่อผู้ขับขี่เข้าด้วยกัน ผ่านประสบการณ์ที่เป็น “มากกว่ารถยนต์” ตอบโจทย์ “Lohas LifestyleI” ไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ใส่ใจการมีชีวิตที่ดีควบคู่กับสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืน
ในไตรมาสที่ 3 ของปีนี้ จะนำรถยนต์ JAECOO 7 PHEV เข้ามาจำหน่าย ซึ่งเป็นรถยนต์พรีเมียม เอสยูวี ออฟโรดประสิทธิภาพสูง ที่ได้รับการออกแบบมาเพื่อตอบสนองการใช้งานที่หลากหลาย สามารถขับขี่ได้ทุกภูมิประเทศ และสภาพพื้นผิวถนนสำหรับผู้ใช้งานในประเทศไทย ภายใต้แนวคิด “From Classic, Beyond Classic” ของแบรนด์ JAECOO และในไตรมาสที่ 4 ของปีนี้ จะนำรถยนต์ JAECOO 6 และ JAECOO 8 เข้ามาจำหน่ายในประเทศไทยอย่างเป็นทางการตามลำดับ เพื่อตอบสนองความคาดหวังของผู้ขับขี่ชาวไทย อย่างไรก็ตาม โอโมดา แอนด์ เจคู (ประเทศไทย)ฯ จะมุ่งหาแนวทางพัฒนาพลังงานใหม่ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมสำหรับคนไทย
“เพื่อเป็นการเสริมความแข็งแกร่งให้แก่ตลาดในประเทศไทย โอโมดา แอนด์ เจคู (ประเทศไทย)ฯ จะเปิดโชว์รูม มากกว่า 35 แห่ง ครอบคลุมทุกภูมิภาค ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด ซึ่งล่าสุด ต้นเดือนมีนาคมที่ผ่านมาได้มีการประชุมลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) กับผู้แทนจำหน่ายระดับประเทศครั้งแรก สะท้อนถึงความพร้อม และความก้าวหน้าในการก่อสร้างโชว์รูมของเครือข่ายผู้แทนจำหน่ายทั่วประเทศไทย โอโมดา แอนด์ เจคู (ประเทศไทย)ฯ ให้ความเชื่อมั่นในความพร้อมสนับสนุน และช่วยเหลือผู้ขับขี่ในประเทศไทยอย่างเต็มที่ เพื่อส่งมอบบริการที่ตรงกับความต้องการของผู้ใช้งาน และเพิ่มความสะดวกสบายให้แก่ลูกค้าทุกคน”
Mazda เผยเทคโนโลยีแห่งอนาคตที่ไปได้ไกลกว่า
Mazda ไม่เคยหยุดนิ่งที่จะพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆ เพราะทุกก้าวย่างเกิดจากความมุ่งมั่นตั้งใจจริงเพื่อมวลมนุษย ชาติ โดยมีเป้าหมายสูงสุด คือ การบรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอน นี่คือ บทพิสูจน์ที่ท้าทายเพื่อแก้ปัญหาด้านส่งแวดล้อมในฐานะผู้ผลิตรถยนต์สัญชาติญี่ปุ่น หนึ่งในวิธีที่ทรงประสิทธิภาพมากที่สุด คือ การพัฒนานวัตกรรมทางด้านเทคโนโลยีที่ทันสมัย ผ่านระบบส่งกำลังของเครื่องยนต์ทุกประเภท ตั้งแต่เครื่องยนต์สันดาปภายใน (ICE) รถพลัก-อิน ไฮบริด (PHEV) รถไฟฟ้าไฮบริด (HEV) ไปจนถึงรถไฟฟ้าเต็มรูปแบบ (EV) วิวัตนาการเหล่านี้ คือ หนึ่งในวิถีทางไปสู่ Well-to-Wheel ที่ Mazda ให้ความสำคัญตั้งแต่ต้นกำเนิด ขบวนการขุดเจาะ การสกัดวัสดุที่จำเป็นในการผลิต ไปจนถึงสิ้นสุดอายุการใช้งานของยานพาหนะผ่านกระบวนการรีไซเคิล เพื่อช่วยลดการปล่อยแกสเรือนกระจกสู่ชั้นบรรยากาศ ซึ่งในแต่ละภูมิภาคก็จะถูกปรับให้มีความเหมาะสม และแตกต่างกันในแต่ ละช่วงเวลา เนื่องจากไม่มีวิธีใดวิธีเดียวที่เหมาะสมกับทุกภูมิภาค Mazda จึงได้คิดค้นทุกวิถีทางในการแก้ปัญหา ตามแนวทาง Multi-Solution นั่นคือ การแสวงหานวัตกรรมที่หลากหลาย เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่หลากหลาย จนบรรลุเป้าหมายดังกล่าวแล้ว และมีประสิทธิภาพสูงสุด
หนึ่งในกลยุทธ์ของ Mazda ที่เดินหน้าตามแนวทาง Multi-Solution คือ การพัฒนาเครื่องยนต์พลัก-อิน ไฮบริด (PHEV) ด้วยการนำข้อดีของการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงมาผสานกับพลังงานไฟฟ้า เพื่อให้ได้ระยะทางขับขี่ที่ไกลขึ้น ประหยัดน้ำมันมากขึ้น จึงเกิดเป็นเทคโนโลยี E-Skyactiv R-EV ซึ่งเป็นเทคโนโลยีพลังงานทางเลือกที่ดีที่สุด โดยพัฒนาต่อยอดจากรถไฟฟ้า 100 % ซึ่ง Mazda นำเอาเครื่องยนต์โรตารีอันเลื่องชื่อมาใช้เป็นตัวปั่นกระแสไฟ เปลี่ยนเป็นแหล่งพลังงานที่ช่วยให้การขับขี่ด้วยระบบไฟฟ้าได้ระยะทางไกลมากขึ้น ตอบโจทย์ยุคสมัยที่กำลังเปลี่ยนผ่านจากพลังงานเชื้อจากฟอสซิลไปสู่พลังงานไฟฟ้า เพิ่มทางเลือกให้เกิดความหลากหลายมากขึ้นในการเลือกรถยนต์ที่เหมาะกับไลฟ์สไตล์ของตน และความเหมาะสมตามความพร้อมของแต่ละภูมิประเทศ
หัวใจหลักสำคัญของการพัฒนาเทคโนโลยี E-Skyactiv R-EV คือ เครื่องยนต์โรตารี เป็นตัวปั่นกระแสไฟกลับเข้าสู่แบทเตอรี เครื่องยนต์มีขนาดเพียง 830 ซีซี ให้กำลังสูงสุด 170 แรงม้า ลูกสูบหมุน 1 โรเตอร์ ทำจากอลูมิเนียม น้ำหนักเบาเพียง 15 กก. เล็กกว่าเครื่องยนต์แบบลูกสูบที่ให้กำลังใกล้เคียงกัน และแบทเตอรีลิเธียม-ไอ ออนขนาด17.8 กิโลวัตต์ วิ่งด้วยพลังงานไฟฟ้าจากแบทเตอรีเพียงอย่างเดียวได้ไกลถึง 85 กม. โดยมีความเร็วสูงสุดที่ 140 กม./ชม. แต่เมื่อได้รับการปั่นพลังงานไฟฟ้ากลับเข้ามาจากเครื่องยนต์โรตารี จะทำให้เพิ่มระยะทาง ในการวิ่งได้ไกลถึง 600 กม. จากการทำงานของเครื่องยนต์โรตารีที่ใช้พลังงานจากน้ำมันเชื้อเพลิงในการขับเคลื่อน มาผสานกับการทำงานของระบบมอเตอร์ไฟฟ้าเป็นตัวขยายระยะทางในการขับขี่ กลายเป็นเทคโนโลยี พลัก-อิน ไฮบริด ที่ได้จากเครื่องยนต์โรตารี อันเกิดจาก "จิตวิญญาณแห่งความท้าทาย” หรือ “Challenger Spirit” อันมีเอกลักษณ์เฉพาะของ Mazda
เทคโนโลยี E-Skyactiv R-EV ที่ใช้เครื่องยนต์โรตารีเป็นตัวปั่นไฟนี้ เป็นเพียงส่วนหนึ่งที่เกิดจากความมุ่งมั่นของ Mazda ในการพัฒนาเทคโนโลยียานยนต์สู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน ตามแนวทาง Multi-Solution เพื่อส่งมอบเทคโนโลยีที่มาพร้อมทางเลือกที่หลากหลายให้แก่ผู้คนในแต่ละสังคม อีกโมเดลของ Mazda ที่ใช้เครื่อง ยนต์โรตารีในการปั่นกระแสไฟ คือ รถต้นแบบที่ Mazda นำมาเผยโฉมเป็นครั้งแรกในงาน Japan Mobility Show 2023 Mazda Iconic SP สปอร์ทคอมแพคท์คาร์คอนเซพท์ ที่ได้รับการออกแบบเพื่อให้เข้ากับยุคสมัยใหม่ และตอบโจทย์ลูกค้าที่ “รักในรถยนต์” และ “ปรารถนาที่จะครอบครองรถยนต์ที่สามารถถ่ายทอดความสุขในการขับขี่” โดยคอนเซพท์คาร์รุ่นนี้มาพร้อมกับเครื่องยนต์โรตารี แบบ 2 โรเตอร์ พร้อมมอเตอร์ไฟฟ้า (Two-Rotor Rotary EV System) อันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะ Mazda ที่ยังคงมีขนาดกะทัดรัด จึงทำให้มีความยืดหยุ่นสูงในเรื่องการจัดวางพื้นที่ของห้องเครื่องยนต์ ซึ่งช่วยให้รถต้นแบบคันนี้มีจุดศูนย์ถ่วงต่ำ และให้สมรรถนะในการขับขี่ดีขึ้น โดยแบทเตอร์รีจะถูกชาร์จด้วยพลังงานแบบย้อนกลับ และจากเครื่องยนต์โรตารีแบบ 2 โรเตอร์ ที่ใช้ในการผลิตพลังงาน ซึ่งเป็นพลังงานที่ไม่ก่อให้เกิดคาร์บอนไดออกไซด์
อีกหนึ่งคอนเซพท์คาร์ที่สร้างชื่อเสียงให้แก่ชาว Mazda อย่างน่าภาคภูมิใจ ด้วยการคว้ารางวัลรถยนต์ออกแบบยอดเยี่ยมประจำปีจากประเทศอิตาลี คือ RX-Vision Skyactiv-R คือ เครื่องยนต์โรตารีเจเนอเรชันใหม่ที่สะท้อนถึงวิสัยทัศน์แห่งอนาคตของ Mazda เครื่องยนต์สามเหลี่ยมลูกสูบหมุน แบบ 2 โรเตอร์ พร้อมมอเตอร์ไฟฟ้า (Two-Rotor Rotary EV System) โดยเครื่องยนต์โรตารีจะทำหน้าที่เป็นตัวปั่นกระแสไฟ และส่งพลังงานกลับคืนสู่แบทเตอรีเช่นเดียวกับ E-Skyactiv R-EV ซึ่งไม่ก่อให้เกิดมลพิษของคาร์บอน และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม อีกทั้งเครื่องยนต์โรตารีที่พัฒนาขึ้นมาใหม่นี้สามารถใช้พลังงานเชื้อเพลิงได้หลากหลายประเภท รวมถึงพลังงานไฮโดรเจน พลังงานสะอาดทางเลือกแห่งอนาคต
การนำเทคโนโลยี E-Skyactiv R-EV มาใช้ในเครื่องยนต์ใหม่ล่าสุดนี้ เป็นการปลุกฟื้นคืนชีพตำนานเครื่องยนต์โรตารี ต้นกำเนิดรถสปอร์ท Mazda หลากหลายรุ่นในอดีต ที่ถูกถ่ายทอดมาจนถึงปัจจุบันกลายเป็นดีเอนเอของ Mazda ที่ไม่เคยย่อท้อต่ออุปสรรค หรือ Challenger Spirit ในฐานะผู้ผลิตรถยนต์ Mazda จะยังคงเฟ้นหาวิธีการต่างๆ ต่อไป ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อให้ได้มาซึ่งความเป็นกลางทางคาร์บอน ผ่านการนำเสนอผลิตภัณฑ์ และเทคโนโลยีที่หลากหลาย ตามแนวทาง Multi-Solution เพื่อผู้คนในเจเนอเรชันถัดไป เพื่อโลกของเราให้ยังคงความสวยงาม เพื่อคุณภาพชีวิตของผู้คน และเพื่อสร้างสรรค์สังคมของเราให้น่าอยู่ตราบนานเท่านานสู่ลูกหลานของเราตลอดไป
Isuzu ก้าวสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน
Isuzu ผู้นำด้านรถเพื่อการพาณิชย์ระดับโลกมากว่า 8 ทศวรรษ แถลง “นโยบายสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอนในระดับโลก และระดับประเทศ” ผ่าน “โซลูชันส์อันหลากหลายสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน” (Multi-Pathways to Carbon Neutrality) ทั้งด้านผลิตภัณฑ์การพัฒนาพลังงานสะอาดรูปแบบใหม่ รวมถึงระบบการจัดการ และกิจ กรรมด้านสิ่งแวดล้อมต่างๆ ของ Isuzu โดยคำนึงถึงความต้องการที่แตกต่างกัน เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพ และประโยชน์สูงสุดแก่ผู้ใช้รถ ควบคู่ไปกับการส่งมอบความสุขที่ยั่งยืนในการเข้าสู่สังคมความเป็นกลางทางคาร์บอน เพื่อสร้างความเชื่อมั่นในการรับมือกับโลกยานยนต์อนาคต
ทาคาชิ โอไดระ กรรมการผู้จัดการ และรองประธานบริหารรับผิดชอบด้านวิศวกรรม และกลยุทธ์ความเป็นกลางทางคาร์บอน บริษัท อีซูซุมอเตอร์ ประเทศญี่ปุ่น กล่าวว่า Isuzu ได้ประกาศเป้าหมายว่าจะ “สร้างเสริมการขับเคลื่อนอย่างสร้างสรรค์ของโลก” (Creating The Movement of The Earth) เมื่อเดือนพฤษภาคมปีที่แล้ว โดยตระหนักว่าอุตสาหกรรมยานยนต์โลกอยู่ในยุคการเปลี่ยนผ่านในรอบศตวรรษ รถเพื่อการพาณิชย์ก็ต้องเร่งพัฒนาด้วยเช่นกันเรากำลังเผชิญกับความท้าทายทางสังคมที่ต้องเอาชนะ และเพิ่มการขับเคลื่อนอย่างสร้างสรรค์สำ หรับผู้คน และสินค้าทั้งหมดในโลก อาทิ ความจำเป็นเร่งด่วนที่ต้องบรรลุเป้าหมายสังคมความเป็นกลางทางคาร์ บอน ความสูญเสียจากอุบัติเหตุจราจรเป็นศูนย์ การจัดการปัญหาการขาดแคลนแรงงาน และการปรับปรุงประสิทธิ ภาพการผลิต
Isuzu มุ่งมั่นที่จะส่งมอบความมั่นใจ และความอุ่นใจให้แก่ลูกค้าของเรามาโดยตลอด ด้วยการนำเสนอรถยนต์ไฟ ฟ้าประเภทต่างๆ และรถเครื่องยนต์ดีเซลหลากชนิด ที่มาพร้อมกับเทคโนโลยีความปลอดภัยขั้นสูง การให้บริการการบริหารจัดการระบบปฏิบัติการ และบริการหลังการขายต่างๆ ที่ถือเป็นคุณค่าผลิตภัณฑ์ ซึ่งเราได้นิยาม “คุณ ค่าผลิตภัณฑ์” ไว้ 3 ประการดังนี้
1. ความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม (Environmental Friendliness) ผลิตภัณฑ์ Isuzu ต้องสามารถรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของโลกได้ เช่น การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เราได้นำเสนอผลิตภัณฑ์เครื่องยนต์สันดาปภาย ในที่มีประสิทธิภาพสูงให้แก่ลูกค้าทั่วโลกของเราเสมอมา ต่อจากนี้ไปเราจะต่อยอดผลิตภัณฑ์ผ่านการพัฒนาทางเทคโนโลยีที่เป็นนวัตกรรมด้านพลังงานไฟฟ้าเพื่อสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากยิ่งขึ้น
2. ความเป็นมิตรกับผู้ใช้รถ (User Friendliness) คุณค่าของ "การตระหนักถึงสังคมที่สามารถขนส่งผู้คน และสิน ค้าได้อย่างปลอดภัย มั่นคง และมีประสิทธิภาพ" เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้สำหรับรถเพื่อการพาณิชย์ เราได้นำเสนอบริ การต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัย มั่นคง และคุ้มค่าสมเหตุสมผลให้แก่ลูกค้ามาโดยตลอด และเราจะยังคงนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่ปลอดภัย และเป็นมิตรกับผู้ใช้รถยิ่งขึ้นต่อไป ด้วยความร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจ และกิจ กรรมที่สร้างสรรค์ร่วมกับลูกค้า
3. ความน่าเชื่อถือ และความต่อเนื่องในการดำเนินงาน (Reliable and Continuous Operation) เราได้นำเสนอรถเพื่อการพาณิชย์ที่แข็งแกร่งทนทาน และเชื่อถือได้ รวมทั้งเครือข่ายบริการหลังการขายเพื่อสนับสนุนการดำ เนินงานของลูกค้าตลอดมา ต่อจากนี้ไปเราจะยังสนับสนุนการเติบโตอย่างมั่นคงทางเศรษฐกิจของทุกภาคส่วน ด้วยการนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่สามารถจะทำให้การดำเนินงานของลูกค้าเป็นไปอย่างต่อเนื่องเพื่อสังคมโดยรวม
นอกจากนี้ Isuzu กำลังเดินหน้าด้านการพัฒนาผลิตภัณฑ์ และโซลูชันแบบครบวงจร เพื่อนำเสนอ “โซลูชันอันหลากหลายสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน” (Multi-Pathways to Carbon Neutrality) เพื่อให้เหมาะกับความต้องการเฉพาะด้านที่แตกต่างกันของลูกค้าทั่วโลก ขณะนี้ “แผนงานด้านสิ่งแวดล้อมปี 2573” ของเราซึ่งมีเป้าหมายที่จะนำเสนอรถยนต์ไฟฟ้าประเภทต่างๆ ทั้งรถบรรทุกขนาดกลาง และขนาดใหญ่ รถพิคอัพ และรถบัสโดย สาร ภายในปี 2573 กำลังดำเนินไปอย่างราบรื่น
สำหรับประเทศไทย เราวางแผนที่จะผลิตรถพิคอัพไฟฟ้าเพื่อส่งออกซึ่งจะเริ่มจากประเทศในโซนยุโรปในปี 2568 และจะทยอยเปิดตัวในประเทศอื่นๆ ตามกฎระเบียบ และความคืบหน้าด้านความเป็นกลางทางคาร์บอนของแต่ละประเทศ
Isuzu จะใช้เงินลงทุนทั้งสิ้น 1 ล้านล้านเยน หรือประมาณ 240,000 ล้านบาท ในด้านการวิจัย และพัฒนาภายในปีงบประมาณ 2573 เพื่อดำเนินการเรื่องการปฏิรูปทางดิจิทอลเกี่ยวกับความเป็นการทางคาร์บอน และลอจิสติคส์ (CN and logistics DX) อีกทั้งการสร้างศูนย์พัฒนา และทดสอบยานยนต์ไฟฟ้า ภายใต้ชื่อ "The Earth Lab" ภายในปี 2569
เรามั่นใจว่าการเสริมความแข็งแกร่งให้แก่ธุรกิจปัจจุบัน และการลงทุนเชิงรุกในครั้งนี้จะรักษาความเป็นผู้นำตลาดไว้ได้อย่างมั่นคงในระยะสั้น-ระยะกลาง และจะเป็นการเสริมสร้างรากฐานสำหรับการเติบโตที่ยั่งยืนในระยะยาวของเรา Isuzu จะมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาต่างๆ ของโลกโดย “สร้างเสริมการขับเคลื่อนอย่างสร้างสรรค์ของโลก” ด้วยจุดแข็งของเรา และก้าวไปข้างหน้าอย่างต่อเนื่องเพื่อบรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอน
สำหรับนโยบายสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอนของ Isuzu ในประเทศไทย ทาคาชิ ฮาตะ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ตรีเพชรอีซูซุเซลส์ จำกัด ชี้แจงว่า ปัจจุบันประเทศไทยเป็นฐานการผลิตยานยนต์ที่สำคัญของโลก มีการผลิตรถ ยนต์/ปีมากถึง 1.8-1.9 ล้านคัน สูงที่สุดในอาเซียน และเป็นอันดับ 10 ของโลก ซึ่งเป็นการผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศ และการผลิตเพื่อส่งออกไปยังประเทศต่างๆ ทั่วโลก โดยเป็นรถยนต์เครื่องยนต์สันดาปภายใน (Internal Combustion Engines : ICE) เกือบทั้งหมด ในปี 2566 มีมูลค่าการส่งออกสูงถึง 9.73 แสนล้านบาท ซึ่งรถพิค อัพ และอนุพันธ์ในฐานะ “Products Champion” เป็นรถที่ส่งออกมากที่สุดถึง 786,383 คัน คิดเป็น 70 % จากรถทุกประเภท
นับจากนี้ Isuzu ในฐานะผู้นำรถเพื่อการพาณิชย์ของประเทศไทยพร้อมเดินหน้าสนับสนุนนโยบายรัฐบาลไทยในการมุ่งสู่สังคมที่เป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality Society) ในปี 2593 และการปล่อยแกสเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี 2608 ตลอดจนสนับสนุนเป้าหมายของประเทศไทยในการเป็นศูนย์กลางการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าของภูมิภาคอาเซียน ด้วยแนวคิด “โซลูชันส์อันหลากหลายสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน” (Multi-Pathways to Carbon Neutrality)
การนำเสนอผลิตภัณฑ์เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคที่ซับซ้อน และแตกต่างจากรถยนต์นั่ง ซึ่งเราต้องพิจารณาถึงการใช้งานเชิงพาณิชย์ และส่วนตัว เราจึงพัฒนารถที่มี “โซลูชันส์อันหลากหลายสู่ความเป็น กลางทางคาร์บอน” (Multi-Pathways to Carbon Neutrality) ไม่ใช่เพียงแต่รถไฟฟ้าแบทเตอรี (BEV) หรือรถ ไฟฟ้าเซลล์เชื้อเพลิงไฮโดรเจน (FCEV) เท่านั้น แต่หมายรวมถึงพลังงานอื่นๆ เช่น การใช้น้ำมันเชื้อเพลิงที่มีความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutral Fuel) กับเครื่องยนต์สันดาปภายใน อาทิ น้ำมันไบโอดีเซลเจเนอเรชันใหม่จากพืชใช้แล้ว (HVO-Hydrotreated Vegetable Oil) และน้ำมันเชื้อเพลิงสังเคราะห์ (E-Fuel) เพื่อประโยชน์สูงสุดของผู้ใช้รถ Isuzu ด้วย ซึ่งในงานนี้เราได้นำรถมาจัดแสดงถึง 4 รุ่น คือ
รถพิคอัพไฟฟ้าต้นแบบ “Isuzu D-Max” (Isuzu D-Max EV Concept) ซึ่งเป็นรถพิคอัพ 4 ประตู ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อแบบ Full Time โดยใช้พแลทฟอร์มเดียวกันกับรถพิคอัพเครื่องยนต์ดีเซล ชุดมอเตอร์คู่ และเฟืองท้ายภายใต้ “E-Axle” ที่พัฒนาขึ้นใหม่ ทำงานร่วมกันทั้งด้านหน้า/หลัง ผสานกับช่วงล่างด้านหลังใหม่หมดแบบ De-Dion มั่นใจบนทุกสภาพถนน เหมาะสมกับการใช้งานของรถพิคอัพ สร้างดุลยภาพในการขับขี่ทั้งความนุ่มนวล และความสามารถในการบรรทุกอันยอดเยี่ยม จุดเด่น คือ ใช้มอเตอร์ไฟฟ้ากำลังสูง 2 ตัวแรงบิดรวมกัน 325 นิวตัน เมตร มอเตอร์ไฟฟ้าคู่กำลังสูง การออกแบบโครง และตัวถังที่แข็งแกร่งช่วยเพิ่มความสามารถในการลากจูงได้ มีแผนจะเริ่มผลิตเพื่อส่งออกอย่างเป็นทางการจากฐานการผลิตประเทศไทยในปี 2568 เนื่องจากวิธีการใช้งานของลูกค้าแตกต่างกันรถพิคอัพไฟฟ้าต้นแบบ “Isuzu D-Max” จึงเป็นอีกทางเลือกสำหรับลูกค้าผู้ใช้รถ จะเปิดตัวในประเทศภาคพื้นทวีปยุโรปบางประเทศ เช่น นอร์เวย์ ในปี 2568 จากนั้นมีกำหนดการจะเปิดตัวในสหราชอาณา จักร ออสเตรเลีย ไทย ตลอดจนประเทศหรือภูมิภาคอื่นๆ เป็นลำดับถัดไปขึ้นอยู่กับความต้องการของตลาด และความพร้อมของสาธารณูปโภคด้านสถานีชาร์จรถไฟฟ้า
รถพิคอัพ “Isuzu D-Max Hi-Lander MHEV” 4 ประตู ซึ่งเป็นระบบการทำงานร่วมกันระหว่างเครื่องยนต์ดีเซลเทอร์โบ กับมอเตอร์ไฟฟ้าขนาดเล็ก โดยการติดตั้งแบทเตอรี 48 โวลท์ ทำหน้าที่เสริมกำลังขับเคลื่อนให้แก่เครื่องยนต์ 1.9 DDI Blue Power เพื่อลดภาระการทำงานของเครื่องยนต์ในช่วงออกตัว รวมถึงช่วยลดการสั่นสะ เทือนในจังหวะสตาร์ทเครื่องยนต์ และช่วยลด CO2 ซึ่ง “Isuzu D-Max Hi-Lander MHEV” คันนี้เป็นรถทดลองประกอบเพื่อเป็นหนึ่งในทางเลือกให้แก่ลูกค้าในการลด CO2 โดยรถประเภทนี้อาจจะเหมาะกับความต้องการของลูกค้าบางกลุ่ม ซึ่งเราอยู่ในระหว่างการสำรวจตลาดก่อนกำหนดแผนการจำหน่ายต่อไป
รถบรรทุกไฟฟ้า “Isuzu Elf EV" พัฒนาขึ้นภายใต้แนวคิด “Isuzu Modular Architecture and Component Standard : I-MACS” สำหรับรถบรรทุกขนาดกลาง และขนาดใหญ่ในรูปแบบต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมการออกแบบ “Center Drive System EV” ซึ่งเป็นการออกแบบรถบรรทุกไฟฟ้าโดยเฉพาะ เนื่องจากต้องคำนึงถึงความสมดุลของการกระจายน้ำหนักรถ ระยะช่วงล้อหลัง และรัศมีวงเลี้ยวที่เหมาะสม เหมาะกับการใช้งานบรรทุกเบา วิ่งระยะสั้น อาศัยความคล่องตัว โดยใช้พแลทฟอร์มเดียวกันกับรถบรรทุกเครื่องยนต์ดีเซล ซึ่งได้เปิดตัวครั้งแรกในโลกที่ประเทศญี่ปุ่นเมื่อมีนาคม 2566 ในขณะเดียวกันเรากำลังพัฒนาเทคโนโลยีการสับเปลี่ยนแบทเตอรี (Battery Swapping System) ในระยะเวลาอันสั้นเพื่อลดระยะเวลาในการจอดเพื่อชาร์จแบทเตอรี อีกทั้งยังสามารถเลือกแบทเตอรีได้ตั้งแต่จำนวน 2-5 ก้อน เพื่อให้เหมาะกับระยะทางการขนส่ง
รถบรรทุกไฟฟ้าขนาดกลางเซลล์เชื้อเพลิงไฮโดรเจน (Isuzu Elf FCEV) การพัฒนาร่วมกันระหว่างพันธมิตรทางธุรกิจ ภายใต้โครงการ Commercial Japan Partnership Technologies Corporation (CJPT) เหมาะกับการใช้งานบรรทุกหนัก สามารถเติมเชื้อเพลิงได้รวดเร็ว และไม่ก่อให้เกิดมลพิษ เป็นการเพิ่มตัวเลือกรถบรรทุกในตลาด ตอบรับกับความต้องการก้าวสู่ยุคความเป็นกลางทางคาร์บอน โดยในญี่ปุ่นได้มีการวิ่งทดสอบตามการใช้งานจริงตามเมือง และประเภทการใช้งานต่างๆ จำนวน 90 คัน เมื่อเดือนมกราคม 2566 ที่โตเกียวฟุกุชิมะ และฟุกุโอกะ ส่วนประเทศไทยได้มีการวิ่งทดสอบแล้วจำนวน 4 คัน เมื่อเดือนกันยายน-พฤศจิกายน 2566
กิจกรรมเพื่อสนับสนุนสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน
การลงนามในบันทึกข้อตกลงการเข้าร่วมมาตรการสนับสนุนการใช้ยานยนต์ไฟฟ้ากับกรมสรรพสามิตเพื่อใช้ไทยเป็นฐานการผลิตรถไฟฟ้า Isuzu เพื่อจำหน่ายในประเทศ และเพื่อส่งออกไปยังประเทศต่างๆ ทั่วโลกเหมือนเช่นที่ผ่านมา
การลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือพัฒนาโครงการทดสอบรถยนต์กับพลังงานสะอาดเพื่อมุ่งสู่ความเป็น กลางทางคาร์บอน ระหว่าง ตรีเพชรอีซูซุเซลส์ มิตซูบิชิ คอร์ปอเรชั่น (ประเทศญี่ปุ่น) กับ ปตท. เพื่อทดสอบรถบรรทุกไฟฟ้า Isuzu วิ่งใช้งานจริง โดยใช้ไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน 100 % ผ่านระบบบริหารจัดการพลังงาน ระบบชาร์จ และ EV อีโคซิสเตมของ ปตท. และโครงการลดคาร์บอนฟุทพรินท์สำหรับรถยนต์ดีเซล โดยการทด สอบใช้ HVO น้ำมันไบโอดีเซลเจเนอเรชันใหม่จากพืชใช้แล้ว รวมทั้งร่วมกับ มิตซูบิชิ คอร์ปอเรชั่น (ประเทศญี่ ปุ่น) ศึกษาวิจัยน้ำมัน E-Fuel ซึ่งเป็นน้ำมันเชื้อเพลิงสังเคราะห์ช่วยลดการปล่อยแกส CO2 และสามารถใช้งานในเครื่องยนต์สันดาปภายในที่มีอยู่ในปัจจุบัน โดยจะเริ่มวิ่งทดสอบการใช้น้ำมัน HVO ภายใต้สภาพการใช้งานจริงร่วมกับบริษัทชั้นนำของประเทศไทยตั้งแต่กลางปีนี้เป็นต้นไป ซึ่ง Isuzu เชื่อว่าโครงการนี้จะทำให้ประเทศ ไทยเข้าสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอนได้โดยสร้างผลกระทบต่อโครงสร้างพื้นฐานทางพลังงาน รวมถึงเครือข่ายการคมนาคมไทยน้อยที่สุด
นอกจากการพัฒนาเทคโนโลยียานยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานสะอาดเพื่อมอบทางเลือกที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวด ล้อมแล้ว Isuzu ยังให้ความสำคัญกับการดำเนินกิจกรรมการตลาด และการส่งเสริมการขาย ภายใต้แนวคิด “Isuzu Life Cycle Solutions” ที่ให้การสนับสนุนผู้ใช้รถ Isuzu ด้วยการนำเสนอโซลูชันส์ทั้งในด้านเทคโนโลยีและการจัดอบรมเพื่อส่งเสริมให้เกิดการใช้งานอย่างคุ้มค่า ประหยัดพลังงาน และลดต้นทุนโดยรวม พร้อมส่งมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดตลอดอายุการใช้งาน
การสร้างจิตสำนึกด้านการประหยัดพลังงานในกลุ่ม Isuzu ด้วยการปรับปรุงสำนักงานเป็นอาคารประหยัดพลังงาน ติดตั้งแผงพลังงานโซลาร์เซลล์ที่โรงงานผลิต และขยายการติดตั้งในโชว์รูมทั่วประเทศ ช่วยลดการปล่อยแกส CO2 ไปแล้วกว่า 1,000 ตัน และลดอัตราการใช้ไฟฟ้าได้กว่า 50 % และอีกหลากหลายโครงการปลูกจิตสำนึกพนักงานในองค์กร เช่นโครงการแยกขยะ และโครงการปลูกป่า เป็นต้น
การยกระดับโครงการ “อีซูซุให้น้ำ...เพื่อชีวิต” ที่กลุ่มอีซูซุร่วมมือกับกรมทรัพยากรน้ำบาดาลกระทรวงทรัพยากร ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม มาอย่างต่อเนื่องเป็นระยะเวลากว่า 11 ปี โดยการนำพลังงานแสงอาทิตย์มาปรับใช้ในโครงการ
ตลอดระยะเวลา 67 ปี ของการดำเนินธุรกิจ Isuzu ในประเทศไทย Isuzu ได้อยู่เคียงคู่กับสังคมไทยในฐานะนิติ บุคคลที่ดีเสมอมาภายใต้ปรัชญาการดำเนินธุรกิจ “วิถีอีซูซุ” (Isuzu Spirit)--ผู้ใช้สุขใจ เพิ่มพูนรายได้ ช่วยให้สัง คมพัฒนา” ผ่านนวัตกรรมด้านผลิตภัณฑ์ และกิจกรรมสร้างสรรค์ต่างๆ และเราขอให้คำมั่นว่า เราจะยังคงยืนหยัดร่วมเป็นส่วนหนึ่งของสังคมไทยในการผลักดันให้ประเทศไทยเดินหน้ามุ่งสู่เป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอนตามที่ได้ตั้งไว้
Hyundai นำรถ Pony ให้สัมผัสผ่านโลกเสมือนจริง
บริษัท ฮุนได มอเตอร์ จำกัด พร้อมสร้างประวัติศาสตร์ของแบรนด์ไปสู่ระดับโลก ด้วยการเปิดตัวธีมย้อนยุคบน Zepeto เครือข่ายโซเชียลโลกอวตาร 3 มิติ ซึ่งกำลังเป็นที่นิยมทั่วโลก และยังมีการจัดกิจกรรมออฟไลน์เพื่อพโรโมทในภูมิภาคอาเซียน รวมถึงประเทศไทย
ธีมย้อนยุคบน Zepeto และกิจกรรมโปรโมทในภูมิภาคอาเซียนจะเน้นไปที่ Pony รถยนต์รุ่นแรกของ Hyundai และยังเป็นรถยนต์คันแรกที่พัฒนาขึ้นเองในเกาหลี สำหรับการจำหน่ายในปริมาณมาก และยังเต็มไปด้วยประวัติ ศาสตร์ของแบรนด์ Hyundai โดยกิจกรรมเหล่านี้ต่อยอดมาจากความสำเร็จของกิจกรรมที่ผ่านมาในปีก่อนทั้ง "Hyundai Reunion", "Pony, The Timeless Exhibition" และ "Pony Song"
โลกเสมือนจริงบน Zepeto ในธีมของ "กรุงโซลเหนือกาลเวลา" จะพาผู้เล่นย้อนเวลากลับไปสัมผัสบรรยากาศของกรุงโซลในยุค 1970-1980 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ Pony เป็นรถยนต์ยอดนิยมที่เกาหลีใต้ในช่วงเวลาดังกล่าว ผู้เล่นจะยังได้พบกับองค์ประกอบย้อนยุคหลากหลายรูปแบบ ทั้งร้านจำหน่ายสิ่งของ และยังมีมุมถ่ายภาพสำหรับนำไปแชร์บนสื่อโซเชียลอื่น
Hyundai Motor ขอเชิญคนรุ่นใหม่มาค้นพบ Pony สัญลักษณ์เหนือกาลเวลาของบริษัท ไปพร้อมกับการดื่มด่ำวัฒนธรรมของเกาหลีในอดีต ผ่านบรรยากาศย้อนยุค ซึ่งจะสร้างปฏิสัมพันธ์ระหว่างกันพร้อมเชื่อมต่อคนรุ่นใหม่ เข้ากับความเป็นมาของ Pony
ด้วยบรรยากาศย้อนยุคอันน่าหลงใหล Pony เป็นจุดสัมผัสอันมีเอกลักษณ์ของแบรนด์ โดยเชื่อมต่อความเป็นมาของแบรนด์เข้ากับ Ioniq 5 รุ่นล่าสุดอย่างไร้รอยต่อ เนื่องจากเป็นการนำดีเอนเอการออกแบบ มาปรับใช้ต่ออย่างภาคภูมิใจ
เพื่อพโรโมทให้ Zepeto เป็นที่รู้จักแพร่หลายยิ่งขึ้นในเขตภูมิภาคอาเซียน Hyundai Motor จะจัดกิจกรรมออฟไลน์ให้ทุกคนได้สัมผัสที่งาน บางกอก อินเตอร์เนชันแนล มอเตอร์โชว์ 2024 ระหว่างวันที่ 27 มีนาคม-7 เมษายน และที่ Hyundai Motorstudio Senayan Park ระหว่างวันที่ 28 มีนาคม-11 เมษายน โดยผู้เยี่ยมชมสามารถเข้ามาถ่ายรูปจริงได้ในโซน Zepeto พร้อมนำภาพ และเรื่องราวไปแบ่งปันได้บนโซเชียลมีเดีย เพื่อลุ้นรับของรางวัลพิเศษ ค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมของ "กรุงโซลเหนือกาลเวลา" บน Zepetoได้ผ่านช่องทางติดต่ออย่างเป็นทางการของ Hyundai Worldwide ทั้ง Instagram, Facebook และ Website
พิเศษสุดสำหรับลูกค้า Hyundai ในประเทศไทย ร่วมสนุกกิจกรรม Zepeto ก่อนใคร และสัมผัสทัพยนตกรรมครบทุกรุ่นของ Hyundai รวมถึงรุ่นใหม่ล่าสุดที่จะมาเปิดตัวในงานนี้ พร้อมพบกับที่สุดของโปรโมชัน ทั้งดอกเบี้ย 0 % และส่วนลดเงินสดสูงสุด 150,000 บาท ในโอกาสที่ ฮุนได โมบิลิตี้ (ประเทศไทย)ฯ ครบรอบ 1 ปี ทั้งหมดนี้อยู่ในบูธหมายเลข A3 ของ ฮุนได โมบิลิตี้ (ประเทศไทย)ฯ ในงาน บางกอก อินเตอร์เนชันแนล มอเตอร์โชว์ 2024 ซึ่งจะจัดขึ้นที่ ชาลเลนเจอร์ ฮอลล์ 1-3 ณ อิมแพคท์ เมืองทองธานี วันที่ 27 มีนาคม-7 เมษายน 2567
Nissan นำคอนเซพท์คาร์ ร่วมงานมอเตอร์โชว์
Nissan พร้อมสร้างความตื่นเต้นให้แก่คนรักรถ นำ 1 ใน 5 รถยนต์ต้นแบบคันล่าสุดจากเวที Japan Mobility Show 2023 มาสร้างสีสันในงานบางกอก อินเตอร์เนชันแนล มอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 45 เผยโฉม Nissan Kicks E-Power Star Edition ในชุดแต่งพิเศษสีดำสุดคูล เจาะกลุ่มคนรุ่นใหม่มีสไตล์ พร้อมรถยนต์ยอดนิยมครบทุกรุ่นจาก Nissan มาให้ลูกค้าได้สัมผัสแบบใกล้ชิด และเปิดโอกาสให้เป็นเจ้าของรถยนต์ Nissan ได้ง่ายๆ กับ “โปรโมชันใหญ่ Say Yes” ดอกเบี้ยเริ่มต้น 0 % หรือผ่อนนานสูงสุด 96 เดือน* โดยลูกค้าสามารถพบกับรถยนต์ครบทุกรุ่น และโปรโมชันพิเศษ
อิซาโอะ เซคิกุจิ ประธาน Nissan Motor ประเทศไทย และ Nissan Asian กล่าวว่า รถยนต์ต้นแบบจากงาน Japan Mobility Show ที่เราจะนำมาโชว์ในงานนี้ จะบอกถึงความเป็นผู้นำในนวัตกรรมยานยนต์รวมถึงแนวทางของยานยนต์ในอนาคตของ Nissan ทั้งในด้านการออกแบบ เทคโนโลยี และประโยชน์ใช้สอยที่จะสอดคล้องกับวิถีชีวิต และความต้องการของคนในยุคใหม่ และผู้เข้าชมงานจะได้เห็นว่าเทคโนโลยีที่กำลังจะมาถึงในอีกไม่นานจะมีอะไรล้ำสมัยแค่ไหน และจะช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของคน ช่วยให้สังคมก้าวสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืนได้อย่างไร
นอกจากรถยนต์ต้นแบบแล้ว Nissan ยังได้นำรถยนต์ยอดนิยม 3 รุ่นได้แก่ Nissan Navara, Nissan Almera และ Nissan Kicks E Power มาจัดแสดง ซึ่งไฮไลท์ในปีนี้ได้แก่ Nissan Kicks E-Power Star Edition ที่เพิ่มการตกแต่งพิเศษ เติมความสปอร์ทพรีเมียมรอบคันด้วยชุดตกแต่งวัสดุโทนสีดำ ให้แก่คอมแพคท์เอสยูวียอดนิ ยมรุ่นเดียวในตลาดที่ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า 100 % โดยไม่ต้องเปลี่ยนพฤติกรรมการขับขี่ ไม่ต้องกังวลเรื่องการหาสถานีชาร์จ ด้วยชุดแต่งพิเศษ 10 รายการ ทั้งภายนอก ภายใน ตั้งแต่กระจังหน้าตัววี คิ้วกันชนหน้าสีดำ กระจกมองข้างสีเงิน สติคเกอร์สัญลักษณ์ Star Edition ที่ตัวถังรถด้านข้าง สัญลักษณ์ Star Edition ด้านหลัง พนักพิงศีรษะคู่หน้า และคิ้วบันไดสแตนเลสส์ ชุดตกแต่งรอบปุ่มควบคุมชุดปรับอากาศสีดำ ชุดพรมพร้อมผ้า ยางปูพื้น และอุปกรณ์ชาร์จไฟแบบไร้สาย
Nissan Kicks E-Power ให้อัตราเร่งที่ทันใจจากแรงบิดสูงสุดถึง 280 นิวตันเมตร (Nm) แบทเตอรีแบบลิเธียม-ไอออนขนาด 2.06 กิโลวัตต์ชั่วโมง (kWh) ให้ประสิทธิภาพ และกำลังมากขึ้น พร้อมอัตราประหยัดน้ำมันเมื่อขับ ขี่ในเมือง สูงสุด 26.3 กม./ลิตร** เทคโนโลยีคันเร่งอัจฉริยะ "E-Pedal Step" สามารถเร่ง และชะลอความเร็วได้ในคันเร่งเดียว เทคโนโลยีความปลอดภัยขั้นสูงรอบคัน 360 Degree Safety Shield มั่นใจทุกการขับขี่ พร้อมเพิ่มความสะดวกสบายเอาใจลูกค้ายุคดิจิทอล ด้วย Wireless Charger*** และ Nissan Connect เชื่อมต่อ สมาร์ทโฟนได้ทั้ง Android Auto*** และ Apple Car Play
ส่วนรถยนต์รุ่นอื่นที่มาร่วมงาน ได้แก่ Nissan Almera ใหม่ คอมแพคท์ซีดานที่ “แรงจริง จัดให้” ด้วยเครื่องยนต์ HRA0 ขนาด 1.0 ลิตร เทอร์โบ ให้กำลังสูงสุดถึง 100 แรงม้า (Ps) และแรงบิด 152 นิวตันเมตร (Nm) ให้อัตราเร่งที่แรง และรวดเร็ว ให้ทุกการเดินทางสนุกเต็มพิกัด รูปลักษณ์ปราดเปรียวมากขึ้นด้วยกระจังหน้าคอนเซพท์ Next-Generation V-Motion และสีตัวถังทันสมัยเป็นเอกลักษณ์อย่าง Gray Sky Pearl นอกจากนี้ เทคโนโลยี Nissan Connect Services ให้การเชื่อมต่อระหว่างผู้ขับขี่ และรถผ่านสมาร์ทโฟน แอพพลิเคชัน เสริมด้วยเทค โนโลยีด้านความปลอดภัย และความสะดวกสบายจากรถพรีเมียมสู่คอมแพคท์ซีดาน อาทิ เทคโนโลยีเซนเซอร์ตรวจสอบแรงดันลมยาง (Tire Pressure Monitoring System-TPMS) เทคโนโลยีเปิด/ปิดไฟสูงอัตโนมัติ (High Beam Assist-HBA) และเทคโนโลยีแจ้งเตือนเมื่อรถออกนอกช่องทาง (Lane Departure Warning- LDW) รวมถึงการติดตั้งฟังค์ชัน SOS เพื่อขอความช่วยเหลือจากศูนย์ให้ความช่วยเหลือฉุกเฉินได้ทันทีผ่านระ บบเครื่องเสียงภายในรถยนต์ เมื่อเกิดเหตุต่างๆ
Nissan Navara รถกระบะที่ทุกรุ่นทนถึงใจ ตอบโจทย์ทุกความต้องการในการใช้งาน ไม่ว่าจะเป็น Nissan Navara แบบ Single Cab ซึ่งได้รับความเชื่อมั่นจากลูกค้าที่ต้องการรถกระบะใช้งานหนัก และวางใจได้ ด้วยโครงสร้างโมโนเฟรมแชสซีส์ทำจากเหล็กกล้าชิ้นเดียวตลอดคัน (Fully Boxed Frame) รองรับทุกการบรรทุกหนักได้อย่างจุใจ หรือ Nissan Navara Pro-4X และ Nissan Navara Calibre Black Edition ที่ให้ผู้ขับขี่สนุกกับทุกการเดินทาง การผจญภัย และการใช้งานทั่วไป Nissan Navara ทรงพลังด้วยเครื่องยนต์ YS23DDTT แบบ 4 สูบ DOHC เทอร์โบคู่ ความจุ 2.3 ลิตร ให้กำลังสูงสุด 190 hp (Ps) แรงบิดสูงสุด 450 นิวตันเมตร (Nm) เกียร์ออโทเมติค 7 สปีด สามารถเลือกโหมดการขับขี่แบบแมนวล (M Mode) ได้เพื่อความสนุกสนาน ควบคุมได้ดังใจ ให้ประโยชน์ใช้สอย และความสะดวกเต็มพิกัดกับฝาท้ายที่ช่วยผ่อนแรงในการเปิด/ปิด และขนของที่กระบะได้สะดวก ตอบโจทย์การบรรทุกสัมภาระทั้งขนาดใหญ่ และเล็ก
Nissan Terra “คันเดียวจบ ครบเกินคุ้ม” ด้วยเทคโนโลยีความปลอดภัย และความบันเทิง ห้องโดยสารกว้างขวางตอบโจทย์ทุกคนในครอบครัว เครื่องยนต์ดีเซลขนาด 2.3 ลิตร ทวินเทอร์โบ กำลังสูงสุด 190 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 450 นิวตันเมตร และเกียร์อัตโนมัติ 7 จังหวะ ให้การขับขี่นุ่มนวลแต่ทรงพลัง ประหยัดน้ำมัน ทั้งยังสามารถรองรับน้ำมันดีเซลได้ทุกชนิดทั้ง B7, B10 และ B20 ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อที่ไปได้ทุกเส้นทาง อุ่นใจกับ "360 Degree Safety Shield" เทคโนโลยีความปลอดภัยรอบคัน ระบบความบันเทิงระดับไฮเอนด์ด้วยเครื่องเสียงจาก Bose Premium Audio พร้อมลำโพงคุณภาพสูง 8 ตัว จอสัมผัสขนาด 11 นิ้ว และการเชื่อมต่อสมาร์ททีวีหรือ HDMI เพิ่มความบันเทิงให้แก่ผู้โดยสารด้านหลัง
นอกจากนี้ Nissan ยังจัด “โปรโมชันใหญ่ Say Yes” แคมเปญส่งเสริมการขายต้อนรับ บางกอก อินเตอร์เนชันแนล มอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 45 เพื่อให้ลูกค้าได้เป็นเจ้าของยนตรกรรมยอดนิยมได้ง่ายมากขึ้น ด้วยความหลากหลาย สอดคล้องกับความต้องการของลูกค้าของรถยนต์แต่ละรุ่น โดยมีตั้งแต่ดอกเบี้ย 0 % ไปจนดาวน์เริ่มต้น 9,999 บาท หรือระยะเวลาในการผ่อนนานสูงสุด 96 เดือน ซึ่งผู้ที่สนใจสามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ภายในงาน รวมถึงที่โชว์รูมผู้จำหน่าย Nissan ทั่วประเทศ หรือติดต่อสอบถามเพิ่มเติมที่ศูนย์บริการลูกค้า Nissan โทร. 0-2 401-9600 หรือเวบไซท์ของ Nissan ประเทศไทย www.nissan.co.th
*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทฯ กำหนด
** สำหรับการขับขี่ในเมือง/ตามมาตรฐาน NEDC หรือป้ายข้อมูลรถยนต์ตามมาตรฐานสากล (Eco Sticker) ซึ่งแต่ละรุ่นจะมีข้อมูลแตกต่างกันไป
*** เฉพาะสมาร์ทโฟนรุ่นที่รองรับ
VinFast เผยโฉมรถยนต์ไฟฟ้า 7 รุ่น พร้มกระบะต้นแบบ
VinFast Auto ประกาศเข้าร่วมงานบางกอก อินเตอร์เนชันแนล มอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 45 (BIMS 2024) และเปิดตัวอย่างเป็นทางการในประเทศไทย นับเป็นการขับเคลื่อนเชิงกลยุทธ์ในตลาดรถยนต์ไฟฟ้าที่คึกคักที่สุดในเอ เชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งจะช่วยผลักดันแผนการขยายตัวทั่วโลกของ VinFast และตอกย้ำถึงความมุ่งมั่นในการส่งเสริมการขับเคลื่อนด้วยพลังงานสีเขียว
ในงาน บางกอก อินเตอร์เนชันแนล มอเตอร์โชว์ 2024 VinFast จะเปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้าครบทุกรุ่นเป็นครั้งแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ประกอบด้วย VF 3 ซึ่งเป็นรถยนต์เอสยูวีขนาดเล็ก ตลอดจนรถยนต์นั่ง VF 5, VF E34, VF 6, VF 7, VF 8 และ VF 9 ที่ครอบคลุมกลุ่มรถยนต์ตั้งแต่ A-SUV-E-SUV อย่างครบครัน นอกจากนี้ บริษัทจะจัดแสดง VF Wild รถกระบะไฟฟ้าต้นแบบซึ่งได้สร้างกระแสความสนใจไปทั่วโลกนับตั้งแต่เปิดตัวที่งาน CES 2024 ในเดือนมกราคมที่ผ่านมา
สำหรับรถยนต์รุ่น VF 5, VF E34, VF 6, VF 7, VF 8 และ VF 9 ที่ VinFast นำมาจัดแสดงจะเป็นรุ่นพวงมาลัยขวาที่ออกแบบมาสำหรับตลาดประเทศไทยโดยเฉพาะ นับเป็นการเปิดตัวรถยนต์พวงมาลัยขวาครั้งที่ 2 ต่อจากงาน Indonesia International Motor Show (IIMS) 2024 ในเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา
การนำรถยนต์ไฟฟ้าที่ทันสมัย และพรั่งพร้อมด้วยระบบอัจฉริยะทั้งหมดมาสู่งาน BIMS 2024 ครั้งนี้ นับเป็นความมุ่งมั่นของ VinFast ที่จะส่งเสริมการนำรถยนต์ไฟฟ้าไปใช้ทั่วโลก การเดินหน้ากลยุทธ์ครั้งนี้ยังมีเป้าหมายเพื่อเสริมสร้างชื่อเสียง และความสามารถในการแข่งขันของ VinFast ในประเทศไทย ซึ่งเป็นประเทศที่ผลิต และส่งออกยานยนต์ที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาค หรือที่รู้จักกันดีว่าเป็น "ดีทรอยท์แห่งเอเชีย" ด้วยชื่อเสียงในระดับโลก ประ สบการณ์ และผลิตภัณฑ์รถยนต์ไฟฟ้าที่หลากหลาย VinFast มุ่งมั่นนำเสนอทางเลือกในการเดินทางที่ชาญฉลาด และน่าตื่นเต้นให้แก่ผู้บริโภคชาวไทย นอกจากนี้ VinFast ยังมีนโยบายด้านบริการหลังการขายที่เป็นเลิศ และแนวทางในการจำหน่ายที่ยืดหยุ่น โดยมีเป้าหมายเพื่อให้ทุกคนในประเทศไทยสามารถเข้าถึงรถยนต์ไฟฟ้าได้
Vu Dang Yen Hang ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ VinFast ประเทศไทย กล่าวว่า การเปิดตัวแบรนด์ของเราในประเทศไทยเป็นก้าวสำคัญภายใต้กลยุทธ์การขยายธุรกิจสู่ทั่วโลกของ VinFast ซึ่งจะเสริมสร้างฐานธุรกิจในประ เทศศูนย์กลางยานยนต์ที่คึกคักที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ การเปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้าครบทุกรุ่นของเราสะ ท้อนถึงบทบาทผู้นำของ VinFast ในการร่วมเป็นส่วนหนึ่งของปฏิวัติการขนส่งสีเขียวของประเทศไทย ซึ่งจะนำไปสู่อนาคตที่ยั่งยืนยิ่งขึ้นสำหรับทุกคน"
ประเทศไทย คือ ตลาดรถยนต์ไฟฟ้าชั้นนำในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยมีความต้องการที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจากนโยบายสนับสนุนของรัฐบาลในหลายด้าน จากข้อมูลของสมาคมยานยนต์ไฟฟ้าไทย คาดการณ์ว่ายอดขายรถยนต์ไฟฟ้าจะเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่าในปี 2567 นี้ VinFast มุ่งมั่นที่จะขยายตัวอย่างรวดเร็วในตลาดประเทศไทย และเสริมสร้างความเป็นผู้นำในการบุกเบิกการพัฒนาการขับเคลื่อนสีเขียว และยั่งยืนทั่วโลก