รถล่าสุด
MG เปิดตัว 4 รุ่นรวด ! MG Cyberster 2,499,000 บาท/MG4 XPower 1,119,900 บาท/MG4 Electric (CKD) 709,900-889,900 บาท/MG5 Pro 629,900-669,900 บาท/MG Maxus 7 เปิดจอง ยังไม่เผยราคา
บริษัท เอสเอไอซี มอเตอร์-ซีพี จำกัด และบริษัท เอ็มจี เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิต และผู้จำหน่ายรถยนต์ MG ในประเทศไทย ฉลองครบรอบ 100 ปี พร้อมเดินหน้าสร้างสีสันวงการยานยนต์ไทย ส่งยนตรกรรมใหม่เปิดตัวต่อเนื่อง นำโดย MG Cyberster สปอร์ทโรดสเตอร์ไฟฟ้าแบบเปิดประทุน 2 ที่นั่ง รุ่นพวงมาลัยขวา ที่เปิดตัวอย่างเป็นทางการครั้งแรกในภูมิภาคอาเซียน พร้อมด้วยแฮทช์แบคไฟฟ้าที่ขับสนุก และเร้าใจอย่าง MG4 Electric นำโดยรุ่น XPower และอีก 2 รุ่นที่ผลิตภายในประเทศ กับรุ่น Standard Range และรุ่น Long Range ชูความเป็นสปอร์ทคูเปซีดานที่แตกต่างกว่าใครกับ MG5 Pro โฉมล่าสุด มาพร้อมห้องโดยสารที่กว้างที่สุดในเซกเมนท์ และการออกแบบโฉมใหม่ที่ดูโฉบเฉี่ยวกว่าเดิม และเปิดโอกาสให้คนไทยได้สัมผัส และเป็นเจ้าของก่อนใคร กับ E-MPV ไซซ์ส์กลาง อย่าง MG Maxus 7
MG Cyberster ครั้งแรกในภูมิภาคอาเซียน กับสปอร์ทโรดสเตอร์ EV รุ่นสำคัญฉลองครบรอบ 100 ปี
MG Cyberster ราคา 2,499,000 บาท
มาพร้อมแนวคิด “การกลับมาอีกครั้งของตำนานสปอร์ทโรดสเตอร์” ในรูปแบบพลังงานไฟฟ้าแบบเปิดประทุน 2 ที่นั่ง อย่าง MG Cyberster ยนตรกรรมที่สร้างตำนานบทใหม่ให้แก่ MG ด้วยภารกิจฉลองครบรอบ 100 ปี อย่าง “Charging into The Future” กับการเดินทางข้ามผ่านเส้นทางมากกว่า 25 ประเทศ รวมระยะทางกว่า 16,000 กม. โดยฝาแฝด “The Turner Twins” ได้เดินทางมาเยือนประเทศไทยเมื่อต้นเดือนมีนาคมที่ผ่านมา และในวันนี้ MG Cyberster พวงมาลัยขวา พร้อมเปิดตัวเป็นประเทศแรกของภูมิภาคอาเซียน โดยถือเป็นยนตรกรรมรุ่นเรือธงของ MG ในการบุกตลาด EV ทั่วโลก ด้วยดีไซจ์นที่โดดเด่นจากการออกแบบโดย SAIC’s Advanced Design Studio เมืองลอนดอน ประเทศสหราชอาณาจักร
สะกดทุกสายตาด้วยประตูปีกนกแบบปุ่มสัมผัสเปิด/ปิด และหลังคาซอฟท์ทอพ กระจังหน้าเรียวยาว ไฟหน้าออกแบบภายใต้แนวคิด Eye of the Storm ไฟท้ายได้รับแรงบันดาลใจจากธงยูเนียนแจค เส้นด้านข้างของตัวรถมีความโค้งมน พร้อมล้อแมกขนาด 20 นิ้ว ภายในห้องโดยสารสีทูโทน ตกแต่งด้วยวัสดุ Soft touch เบาะนั่งแบบ Y-Shape ที่ออกแบบตามหลักสรีรศาสตร์ ใช้วัสดุพรีเมียมอย่างหนังแบบ Nappa สลับหนัง Alcantara อัดแน่นด้วยเทคโนโลยีสุดล้ำ ไม่ว่าจะเป็น จอ Dashboard Triple-Screen ขนาด 7 นิ้ว ขนาด 10.25 นิ้ว และขนาด 7 นิ้ว จำนวน 3 จอเรียงต่อกัน พร้อมระบบอัจฉริยะ i-SMART ระบบเสียงคุณภาพจาก Bose พร้อมลำโพง 8 ตำแหน่ง
ในแง่ของสมรรถนะ อัดแน่นด้วยขุมพลังมอเตอร์คู่ ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ ให้พละกำลังสูงสุดที่ 544 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 74.0 กก.-ม. อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ภายในเวลาเพียง 3.2 วินาที มาพร้อมแบทเตอรี Ultra-Thin Rubik‘s Cube ความจุ 77 กิโลวัตต์ชั่วโมง ระยะทำการสูงสุดที่ 503 กม./การชาร์จเต็ม 1 ครั้ง (มาตรฐาน NEDC) ระบบเบรคแบบจาน 4 ล้อ พร้อมระบบช่วงล่างด้านหน้าแบบอิสระ ดับเบิลวิชโบน และด้านหลังแบบอิสระ มัลทิลิงค์ จัดเต็มด้วยระบบความปลอดภัยมาตรฐาน 26 ระบบ ซึ่งครอบคลุมระบบความปลอดภัย ADAS ไว้อย่างครบถ้วน
MG4 Electric ต่อยอดความสำเร็จกับหลากหลายรุ่นของแฮทช์แบคพลังไฟฟ้า
MG4 XPower ราคา 1,119,900 บาท
MG4 Electric Standard Range D ราคา 709,900 บาท
MG4 Electric Standard Range X ราคา 809,900 บาท
MG4 Electric Long Range V ราคา 889,900 บาท
MG4 ELectric รถแฮทช์แบคพลังงานไฟฟ้า 100 % บนพแลทฟอร์ม Nebula Pure Electric Platform ที่ดีไซจ์นมาเพื่อรถยนต์ไฟฟ้าโดยเฉพาะ พร้อมจุดเด่นอันหลากหลาย อาทิ การกระจายน้ำหนัก แบบสมมาตร 50:50 ตัวถังมีจุดศูนย์ถ่วงต่ำ ช่วงล่างด้านหน้าแบบอิสระ แมคเฟอร์สันสตรัท และด้านหลังอิสระ แบบไฟว์ลิงค์ ซัสเปนชัน ทำให้ MG4 Electric มีสมรรถนะ และการควบคุมที่ดีเยี่ยม พร้อมระบบความปลอดภัยมาตรฐาน 26 ระบบ โดย MG ได้ต่อยอดความสำเร็จของยนตรกรรมรุ่นนี้ ด้วยการเพิ่มรุ่นย่อยของ MG4 Electric อย่าง XPower ที่มาพร้อมขุมพลังจากมอเตอร์ไฟฟ้าคู่กับระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ ให้พละกำลังสูงสุด 435 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 61.2 กก.-ม. อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ในเวลาเพียง 3.8 วินาที แบทเตอรี Rubik’s Cube Battery ขนาดความจุ 64 กิโลวัตต์ชั่วโมง ระยะทำการสูงสุด 480 กม./การชาร์จ 1 ครั้ง (มาตรฐาน NEDC) ภายนอกตัวถังสีใหม่สีเขียว Wild Hunter Green พร้อมด้วยหลังคาแบบทูโทน ล้อแมกขนาด 18 นิ้ว ภายในให้ความสปอร์ทพรีเมียมด้วยวัสดุที่ใช้หุ้มเบาะที่ผสมผสานระหว่างหนังสังเคราะห์ และหนังอัลคันทารา พร้อมเพิ่มเติมระบบ One Pedal เข้ามา เฉพาะในรุ่น XPower
ถัดมา คือ รุ่นที่ผลิตจากสายการผลิตในไทยอย่าง รุ่น Standard Range (แบทเตอรีความจุ 49 กิโลวัตต์ชั่วโมง) ระยะทำการสูงสุด 423 กม./การชาร์จเต็ม 1 ครั้ง (มาตรฐาน NEDC) และรุ่น Long Range (แบทเตอรีความจุ 64 กิโลวัตต์ชั่วโมง) ระยะทำการสูงสุด 540 กม./การชาร์จเต็ม 1 ครั้ง (มาตรฐาน NEDC) โดยทั้ง 2 รุ่น มาพร้อมมอเตอร์ไฟฟ้า ให้พละกำลังสูงสุดที่ 170 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 25.5 กก.-ม.
พร้อมปรับเปลี่ยน และเพิ่มเติมฟังค์ชันทั้งภายนอก และภายในรถ อาทิ Adaptive Grille ช่วยระบายความร้อนของรถแบบอัตโนมัติ รวมถึงติดตั้งใบปัดน้ำฝนด้านหลัง หน้าจอสีระบบสัมผัสที่ปรับให้ใหญ่ขึ้นจาก 10.25 นิ้ว เป็นขนาด 12 นิ้ว เพิ่มช่องวางแก้วด้านข้างประตู และเพิ่มราวมือจับสำหรับผู้นั่งโดยสาร 3 ตำแหน่ง สำหรับรุ่น Standard Range มาพร้อมล้อแมกขนาด 17 นิ้ว พร้อม Aero Wheel Cover และในรุ่น Long Range มาพร้อมล้อแมกขนาด 18 นิ้ว พร้อมสีตัวถังใหม่สีส้ม (Fizzy Orange)
MG5 Pro กล้าเป็นตัวเองในแบบฉบับที่ไม่เหมือนใคร
MG5 Pro D ราคา 629,900 บาท
MG5 Pro X ราคา 669,900 บาท
MG5 Pro กับจุดเด่นของการเป็นซีดานสไตล์สปอร์ทคูเป โดยโฉมล่าสุดนี้ MG ปรับรูปทรงให้โฉบเฉี่ยวกว่าเดิม ไม่ว่าจะเป็น กระจังหน้าดีไซจ์นใหม่ Black Chrome Gladius Grille Design เสริมความเป็นสปอร์ทพรีเมียมด้วยวัสดุ Smoke Chrome รอบคัน และล้อแมกขนาด 17 นิ้วสีดำ ไฟหน้า และไฟท้ายแบบ LED ดีไซจ์นใหม่ คงจุดเด่นด้วยห้องโดยสารที่กว้างสุดในเซกเมนท์ จัดเต็มด้วยฟังค์ชันที่ให้มาครบครัน พร้อมดีไซจ์นสุดล้ำ โดยเฉพาะการออกแบบคอนโซลกลางแบบ Driver-focus Cockpit ที่ให้องศาที่เหมาะกับตำแหน่งคนขับ เบาะนั่งคนขับปรับไฟฟ้า 6 ทิศทาง หลังคาซันรูฟขนาดใหญ่ และคำนึงถึงผู้ใช้รถด้วยช่องแอร์สำหรับผู้โดยสารตอนหลัง หน้าจอระบบสัมผัสขนาด 10 นิ้ว และหน้าจอแสดงผลอัจฉริยะแบบดิจิทอลขนาด 7 นิ้ว รองรับระบบเชื่อมต่อมัลทิมีเดีย Apple CarPlay และ Android Auto แบบไร้สาย
รวมถึงระบบกุญแจแบบ Digital Key ที่สามารถรับ/ส่งโค้ดผ่านทางแอพพลิเคชัน i-SMART ของ MG5 Pro โดยผู้ขับขี่ไม่ต้องใช้กุญแจในการสตาร์ท ให้ผู้ใช้งานรถมั่นใจด้วยระบบความปลอดภัยมาตรฐานยุโรปที่ทำงานประสานกันเป็นหนึ่งเดียว สร้างความมั่นใจให้แก่ผู้ที่ขับขี่ ไม่ว่าจะเป็นดิสค์เบรค 4 ล้อ มาพร้อมระบบป้องกันล้อลอค ABS พร้อมระบบกระจายแรงเบรค EBD และระบบเสริมแรงเบรคด้วยอีเลคทรอนิคส์ EBA ระบบช่วยเตือนเมื่อต้องการเปลี่ยนเลน ระบบช่วยเตือนมุมอับสายตา Blind Spot Detection System ระบบกล้องมองภาพรอบทิศทาง 3 มิติ ระบบควบคุมการทรงตัวในขณะเข้าโค้ง ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี และการลื่นไถล ระบบช่วยการออกตัวบนทางลาดชัน ถุงลมนิรภัย 6 จุด มาพร้อมสีตัวถังที่มีให้เลือกมากถึง 6 สี โดยมีสีใหม่อย่างสีเขียว Mineral Green ส่วนเครื่องยนต์ คือ เบนซิน ขนาด 1.5 ลิตร กำลังสูงสุด 114 แรงม้า
MG Maxus 7 เอมพีวีพลังไฟฟ้าขนาดกลาง ตอบโจทย์กลุ่มลูกค้ากลุ่มครอบครัวสมัยใหม่
MG Maxus 7 ยังไม่ระบุราคา แต่เปิดจองแล้วตอนนี้
MG Maxus 7 การเผยโฉมครั้งแรกในประเทศไทยกับเอมพีวีพลังไฟฟ้าขนาดกลาง 7 ที่นั่ง มาพร้อมฟังค์ชัน และฟีเจอร์ที่ทันสมัย งานดีไซจ์นที่โดดเด่นตามแบบฉบับของ MG Maxus Series ทั้งงานออกแบบ และฟังค์ชันการใช้งาน ไม่ว่าจะเป็น ประตูสไลด์ด้านข้างเปิด/ปิดด้วยไฟฟ้า พร้อมฝาท้ายไฟฟ้า ที่เปิดประตูแบบเก็บซ่อนในตัวรถ หลังคาพาโนรามิคซันรูฟ ภายในดูเรียบ และหรู ด้วยโทนสีดำ และสีน้ำตาล ดีไซจ์นคอนโซลหน้าแบบ Dual Layer พร้อมที่วางแก้ว และรองรับการชาร์จแบบไร้สาย เบาะคนขับปรับไฟฟ้า 6 ทิศทาง ห้องโดยสารให้ความสบายที่มากกว่า พร้อมที่นั่งแบบ Captain Seat ในแถวที่ 2 ที่โอบรับกระชับทุกสรีระ นอกจากนี้ ยังช่วยอำนวยความสะดวกสบายในการขับขี่ และการใช้งานฟังค์ชันต่างๆ ด้วยหน้าจอแสดงผลอัจฉริยะแบบดิจิทอลขนาด 12.3 นิ้ว เชื่อมต่อกัน รวมถึงระบบเชื่อมต่อมัลทิมีเดีย Apple CarPlay และ Android Auto และยังสามารถเปลี่ยนรถให้เป็นแหล่งพลังงานได้ด้วยระบบ V2L ที่สามารถจ่ายกระแสไฟฟ้าระดับ 6.6 กิโลวัตต์
MG Maxus 7 ยังเป็นยนตรกรรมที่มีสมรรถนะชั้นเยี่ยม ด้วยขุมพลังจากมอเตอร์ไฟฟ้าให้กำลังสูงสุดที่ 245 แรงม้า แรงบิดที่ 35.7 กก.-ม. พร้อมแบทเตอรีลิเธียม-ไอออน ความจุ 90 กิโลวัตต์ชั่วโมง ทำให้มีระยะทำการสูงสุดที่ 480 กม./การชาร์จเต็ม 1 ครั้ง (ตามมาตรฐาน WLTP) นอกจากนำมาจัดแสดงก่อนการเปิดตัวอย่างเป็นทางการ MG ยังได้เปิดโอกาสให้คนไทยได้ Pre-Booking เป็นเจ้าของ MG Maxus 7 ก่อนใครในงานนี้ โดยสามารถจองล่วงหน้าผ่านช่องทางออนไลน์ของ MG ตั้งแต่วันที่ 25 มีนาคม-30 เมษายน 2567 ด้วยข้อเสนอพิเศษ จอง 10,000 บาท สามารถใช้เป็นส่วนลดได้ 20,000 บาท