บริษัท เรนาสโซ มอเตอร์ จำกัด เปิดตัว Lamborghini Urus SE ซูเพอร์เอสยูวีระบบ PHEV (Plug-in Hybrid Electric Vehicle) รุ่นแรกของ Lamborghini
The first Plug-in Hybrid Super SUV
Urus SE รถยนต์แนวใหม่ เพิ่มประสิทธิภาพอากาศพลศาสตร์ และเทคโนโลยีช่วยการขับขี่ที่เหนือชั้น และระบบส่งกำลัง 800 แรงม้า ที่มาในแบบ PHEV (Plug-in Hybrid Electric Vehicle) ถือเป็นรุ่นทอพในตระกูล Urus ทั้งในด้านความสบาย ประสิทธิภาพ และประสบการณ์ความสนุกสนานในการขับ ผสานกำลังเครื่องยนต์ และระบบไฟฟ้า ที่ทำให้ได้กำลังเครื่อง และแรงบิดสูงสุด รวมทั้งสามารถลดการปล่อยไอเสียได้มากถึง 80 %
รูปทรงเน้นภาพลักษณ์ความเป็นรถสปอร์ท และความแข็งแกร่งบึกบึน การออกแบบฝากระโปรงทรงใหม่แบบ Floating Design เสริมความลื่นไหลต่อเนื่อง เป็นการออกแบบแนวใหม่ที่เกิดขึ้นเป็นครั้งแรกในรุ่น Revuelto
นอกจากนี้ ยังเสริมด้วยองค์ประกอบใหม่ๆ อีกมากมาย ทั้งชุดไฟหน้าที่ใช้เทคโนโลยี Matrix LED สำหรับการออกแบบส่วนท้าย มีการจัดสรรพื้นที่เก็บสัมภาระใหม่ทั้งหมด โดยนำรูปทรงที่ต่อเนื่องมาจากรุ่น Gallardo โดยผสานเส้นสายต่างๆ ได้อย่างกลมกลืน เชื่อมต่อชุดไฟท้ายด้วยดวงไฟรูปตัว “Y” และดิฟฟิวเซอร์หลังรูปแบบใหม่ ซึ่งทำให้รถยนต์มีสัดส่วนคล้ายสปอร์ทมากยิ่งขึ้น ส่วนสปอยเลอร์ใหม่ยังทำงานร่วมกับดิฟฟิวเซอร์หลังในการช่วยเพิ่มแรงกดด้านหลังขณะวิ่งด้วยความเร็วสูงเพิ่มขึ้นถึง 35 % เมื่อเปรียบเทียบกับรุ่น Urus S
ด้านอากาศพลศาสตร์ Lamborghini ออกแบบท่อระบายลมที่ส่วนล่างตัวรถ และท่อลมเข้าแบบปรับปรุงใหม่ พร้อมออกแบบช่องทางลมให้ต่อเนื่องมากขึ้น เพื่อลดความร้อนของชิ้นส่วน และเครื่องยนต์ได้ดีกว่าเดิม ซึ่งมีประสิทธิภาพมากกว่ารุ่น Urus เดิมถึง 15 % การออกแบบส่วนหน้ายังผสานกับการเพิ่มประสิทธิภาพอากาศพลศาสตร์ด้านล่าง เพื่อช่วยปรับปรุงการไหลเวียนของอากาศ และระบายความร้อนให้แก่ระบบเบรค ซึ่งมีประสิทธิภาพการระบายความร้อนด้วยอากาศสูงขึ้นถึง 30 % เมื่อเปรียบเทียบกับระบบเก่า
ชุดไฟหน้าที่ใช้เทคโนโลยี Matrix LED
ชุดไฟท้ายสะดุดตาด้วยไฟรูปตัว “Y”
Urus SE มีทั้งล้ออัลลอยรุ่นอัพเดทใหม่ พร้อมดีไซจ์น Galanthus ขนาด 23 นิ้วเป็นรุ่นมาตรฐาน พร้อมยาง Pirelli P Zero รุ่นใหม่ นอกจากนี้ ยังมีโทนสีตัวรถให้เลือกมากมาย และออพชันการตกแต่งอีกมากกว่า 100 องค์ประกอบ พร้อมนำเสนอ 2 โทนสีใหม่ในวันเปิดตัว ทั้งโทนสีส้ม Arancio Egon ที่จับคู่กับการตกแต่งห้องโดยสารโทนสีส้ม Arancio Apodis และโทนสีขาว Bianco Sapphirus จับคู่กับการตกแต่งห้องโดยสารโทนสีน้ำตาลแดง Terra Kedros
การตกแต่งภายในได้รับการอัพเดทใหม่ “Feel like a pilot” โดยนำเสนอฟีเจอร์ใหม่มากมายบริเวณแผงหน้าปัดด้านหน้า และยกระดับภาพลักษณ์รถยนต์น้ำหนักเบาเหมือนกับในรุ่น Revuelto
หน้าจอขนาดใหญ่ 12.3 นิ้ว ซึ่งใหญ่กว่ารุ่นเดิม ถูกติดตั้งไว้บริเวณกลางแผงหน้าปัด และมอบการแสดงผลกราฟิค Human Machine Interface (HMI) เวอร์ชันใหม่ที่ใช้งานได้ง่ายดาย และเป็นธรรมชาติมากขึ้นเหมือนที่พบได้ในรุ่น Revuelto ทีมนักออกแบบ Lamborghini Centro Stile ยังให้ความสำคัญกับการออกแบบท่อลม โดยตกแต่งด้วยวัสดุอลูมิเนียมเคลือบผิวในรูปทรงตัว “Y” อันเป็นเอกลักษณ์ และยังหุ้มส่วนบานตกแต่ง แผงหน้าปัด เบาะนั่ง ด้วยวัสดุใหม่ นอกจากนี้ ยังออกแบบแผงปุ่มกดแบบกลไกเพื่อให้ได้สัมผัสของการกดที่สมจริง
ผู้ขับยังสามารถใช้งานทั้งแผงควบคุมรวมแบบดิจิทอลขนาด 12.3 นิ้ว และจอทัชสกรีนขนาด 12.3 นิ้ว ที่กล่าวไว้ข้างต้น ซึ่งถูกรวมเข้าไว้ด้วยกันตรงกลางแผงหน้าปัด และยังเป็นเสมือนหัวใจหลักของระบบ Lamborghini Infotainment System (LIS) นอกจากนี้ ยังนำเสนอระบบวัดระยะสำหรับรุ่น SE และจอแสดงผลแบบใหม่ที่ทำงานสัมพันธ์กับระบบช่วยขับต่างๆ ช่วยให้ผู้ขับสามารถรับรู้สภาวะรอบด้านได้ดียิ่งขึ้น
Urus SE ที่มาในแบบ PHEV เครื่องยนต์ทวินเทอร์โบ 4.0 V8 ได้รับการออกแบบใหม่เพื่อให้ทำงานร่วมกับระบบส่งกำลังไฟฟ้าได้อย่างเหมาะสม ให้กำลัง 620 แรงม้า (456 กิโลวัตต์) และแรงบิดสูงสุด 81.6 กก.-ม. (800 นิวตันเมตร) รวมกับระบบส่งกำลังไฟฟ้าที่ให้กำลัง 192 แรงม้า (141 กิโลวัตต์) และแรงบิด 49.3 กก.-ม. (483 นิวตันเมตร) กำลังรวม 800 แรงม้า (588 กิโลวัตต์) ที่ 6,000 รตน. และแรงบิดรวม 96.9 กก.-ม. (950 นิวตันเมตร) ที่ 1,750-5,750 รตน. คิดเป็นอัตราส่วนน้ำหนักต่อกำลัง 3.13 กก./แรงม้า (ขณะที่ Urus S ทำได้ 3.3 กก./แรงม้า)
อัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ในเวลาเพียง 3.4 วินาที (Urus S: 3.5 วินาที) และจาก 0-200 กม./ชม. ในเวลาเพียง 11.2 วินาที (Urus S: 12.5 วินาที) ทำความเร็วสูงสุดได้ที่ 312 กม./ชม. (Urus S: 305 กม./ชม.)
แผงควบคุม “Tamburo” ถูกติดตั้งบริเวณกลางคอนโซลเพื่อให้ผู้ขับสามารถเลือกโหมดการขับขี่ที่แตกต่างกันได้อย่างง่ายดาย และด้วยการใช้ระบบส่งกำลังแบบไฮบริด เมื่อรวมโหมดการขับขี่ของ Urus ทั้ง 6 แบบเข้ากับการทำงาน Electric Performance Strategies (EPS) แบบใหม่อีก 4 แบบ ทำให้นักขับมีตัวเลือกทั้งหมดมากถึง 11 ออพชัน โดยในรุ่นนี้ โหมดพื้นฐานทั้ง Strada, Sport, Corsa (สำหรับท้องถนน และสนามแข่ง) รวมถึง Neve, Sabbia และ Terra (สำหรับพื้นผิวที่มีการยึดเกาะที่แตกต่างจากพื้นยางมะตอย) จะสามารถทำงานร่วมกับออพชันระบบ EV Drive, Hybrid, Performance และ Recharge
ระบบ EV Drive ช่วยให้ผู้ขับได้สัมผัสประสบการณ์ และศักยภาพของพลังงานไฟฟ้าอย่างเต็มที่ โดยเฉพาะเมื่อได้รับการปรับแต่งมาเพื่อวิ่งบนท้องถนนในเมือง โดยสามารถวิ่งได้ไกลสุดถึง 60 กม. และเร่งความเร็วสูงสุดที่ 130 กม./ชม. เมื่อทำความเร็วสูงกว่านี้ เครื่องยนต์ V8 ก็จะเข้ามาสนับสนุนการทำงานของมอเตอร์ไฟฟ้า เช่นเดียวกันเมื่อผู้ขับต้องการแรงบิดที่มากกว่าระดับสูงสุดจากมอเตอร์ไฟฟ้า
ระบบ Hybrid ซึ่งสามารถเลือกใช้ได้เมื่อขับขี่ในโหมด Strada มอบประสิทธิภาพ และความสบายสูงสุดบนการทำงานที่สมดุลระหว่างเครื่องยนต์สันดาป และมอเตอร์ไฟฟ้า และแน่นอน ถือเป็นโหมดใช้งานแบบอเนกประสงค์ที่เหมาะสำหรับการขับขี่ในชีวิตประจำวัน ระบบ Recharge ซึ่งสามารถเลือกได้เมื่อใช้โหมด Strada, Sport, Corsa และ Neve โดยสามารถชาร์จไฟให้แบทเตอรีได้ถึง 80 % โดยที่ยังให้สมรรถนะการขับขี่สูงสุด ส่วนระบบ Performance เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องสัมผัสศักยภาพที่แท้จริงของ Urus SE ซึ่งไม่เพียงเลือกได้ในโหมด Strada, Sport และ Corsa เท่านั้น แต่ยังรวมถึงโหมด Sabbia และ Terra อีกด้วย โดยมอบประสิทธิภาพด้านพลศาสตร์ที่เหนือชั้นของซูเพอร์เอสยูวีตัวจริงแม้ไม่ได้วิ่งบนพื้นยางมะตอย
เมื่อวิ่งในโหมดที่แตกต่างกัน สปริงลมจะปรับเปลี่ยนการทำงานเพื่อสร้างค่าความสูงรถที่เหมาะสม ตั้งแต่การเดินทางระยะ 15 มม. ในโหมด Corsa ไปจนถึงสูงสุดที่ 75 มม. เมื่อระบบยกตัวรถทำงานเต็มที่ นอกจากนี้ พารามิเตอร์ที่คอยปรับพวงมาลัย ระบบการขับขี่ และเสียงเครื่องยนต์ทวินเทอร์โบ V8 ก็จะทำงานแบบแปรผันเช่นกัน เพื่อสะท้อนถึง “บุคลิก” ที่แตกต่างของ Urus SE
ทีมผู้พัฒนายังให้ความสำคัญอย่างมากกับระบบกันสะเทือนแบบถุงลม (Air Suspension) เพื่อเน้นประสบการณ์การขับขี่ของแต่ละโหมดให้โดดเด่นยิ่งขึ้น โดยในโหมด Strada ได้เพิ่มระดับความสบายของรถยนต์ Urus S ให้มากขึ้นไปอีก ส่วนในโหมด Sport จะเพิ่มความสนุกสนานในการขับขี่ โดยเสริมคาแรคเตอร์ของระบบส่งกำลังแบบใหม่ ในการสตาร์ท และการดริฟท์ที่มันอย่างต่อเนื่อง โหมด Corsa ออกแบบมาเพื่อการพุ่งทะยานในสนามแข่งขัน ทำให้ Urus SE โชว์ศักยภาพด้านพลศาสตร์ได้อย่างเต็มที่ด้วยการติดตั้งหน่วยควบคุมไฟฟ้า (ECU) สำหรับระบบกันสะเทือน ซึ่งช่วยควบคุมรูปแบบการเคลื่อนไหวของโครงแชสซีส์ (ทั้งการ Pitch, Yaw, Roll และ Pump) ซึ่งทำให้ตัวรถมีความเสถียรสูง และตอบสนองกับขอบสนามแข่งได้อย่างฉับไว รวมไปถึงการวิ่งบนทางขรุะขระ และพื้นผิวที่มีการยึดเกาะต่ำ ซึ่งเกิดจากการติดตั้งเหล็กกันโคลงที่ควบคุมการทำงานด้วยระบบไฟฟ้า 48V ส่วนในโหมด Neve, Stabbia และ Terra ได้ถูกปรับปรุงประสิทธิภาพใหม่เพื่อเสริมประสิทธิภาพแรงกระทำกับพื้นถนนที่สม่ำเสมอ และสร้างแรงฉุดที่ดีที่สุดบนพื้นผิวทุกประเภท
Lamborghini Urus SE ราคา 24,980,000 บาท