ข่าวจากสหรัฐอเมริกา ระบุว่า Hispano Suiza แบรนด์ผู้ผลิตรถเก่าแก่ที่เคยประสบวิกฤตจนหายไป จนกลับมาอีกครั้งเมื่อหลายปีก่อน โดยผลิตรถรุ่นแรกเมื่อปี 2564 ด้วย Hispano Suiza Carmen Boulogne ซูเพอร์คาร์ไฟฟ้าพลัง 1,100 แรงม้า ที่ราคาประมาณ 1.5 ล้านยูโร (ประมาณ 58.84 ล้านบาท) และเปิดตัวรุ่นใหม่ คือ Carmen Sagrera ในโอกาสฉลองครบรอบ 120 ปีการก่อตั้งบริษัทผู้ผลิตรถจากสเปน
ข้อมูลจำเพาะของตัวรถยังคงเดิม ด้วยโครงสร้างหลักแบบโมโนคอก และชิ้นส่วนตัวถังคาร์บอนไฟเบอร์ โดยได้พัฒนาแพคแบทเตอรีใหม่ ขนาด 103.0 กิโลวัตต์ชั่วโมง และมีน้ำหนัก 1,350 ปอนด์ (เทียบกับรุ่นแรกใช้แพคแบทเตอรีขนาด 80.0 กิโลวัตต์ชั่วโมง แต่มีน้ำหนัก 1,750 ปอนด์) รับกระแสชาร์จสูงสุด 100 กิโลวัตต์ เพิ่มขึ้นจากเดิมที่รองรับ 80 กิโลวัตต์ และมีระยะเดินทางเพิ่มเป็น 300 ไมล์ (762 กม.) ตามมาตรฐานการทดสอบ WLTP หากใช้มาตรฐานการทดสอบ EPA จะมีระยะเดินทาง 250 ไมล์ (635 กม.) และเมื่อแบทเตอรีมีน้ำหนักลดลงทำให้การกระจายน้ำหนัก หน้า:หลัง ดีขึ้นจนเกือบจะเท่ากับ 50:50
Hispano Suiza Carmen Sagrera ใช้มอเตอร์ไฟฟ้ากำลัง 202 กิโลวัตต์/275 แรงม้า จำนวน 4 ตัว แยกขับเคลื่อนเฉพาะล้อหลังฝั่งละคู่ โดยมอเตอร์แต่ละคู่ส่งกำลังผ่านเกียร์แบบอัตราทดเดียว เพื่อขับเคลื่อนล้อหลังในแต่ละข้าง จึงให้กำลังขับเคลื่อนสุทธิ 1,100 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 1,159 นิวทันเมตร/118.2 กก.ม. เท่ากับ Carmen Boulogne ในรุ่นแรกของบริษัทฯ แม้ใช้มอเตอร์แยกขับในแต่ละข้าง แต่มีการควบคุมพลังขับเคลื่อนล้อหลังด้วยระบบเฟืองขับเสมือน "virtual differential" ที่ใช้ซอฟท์แวร์ในการควบคุมการส่งแรงบิดไปยังแต่ละล้อ แทนการใช้เฟืองขับแบบกลไก
Sagrera ได้รับการปรับปรุงด้านสมรรถนะให้เหนือกว่ารุ่นแรก ตั้งแต่การเปลี่ยนมาใช้ปีกดักลมหลังทรง “ปีกนกกระสา” ที่คล้ายกับมีปีกยื่นออกมาสองข้างจากส่วนกลางตัวรถ, ปรับปรุงระบบระบายความร้อน โดยเพิ่มช่องรับลมทั้งหน้า และหลังรวมถึงบริเวณโป่งล้อหน้าด้วย, นอกจากนั้นยังใช้สีบรอนซ์ที่เสริมความโดดเด่น, ระบบรองรับเปลี่ยนมาใช้วัสดุน้ำหนักเบา ทั้งปีกนก และชอคอับปรับได้, ใช้ระบบเบรคจานแบบคาร์บอนเซรามิค และคาลิเพอร์โมโนบลอค
ภายในห้องโดยสารได้รับการปรับปรุงใหม่หมด โดยสำนัก Italdesign จากอิตาลี ออกแบบห้องโดยสารใหม่ โดยเฉพาะส่วนคอนโซลกลาง รวมถึงแผงปุ่มควบคุมด้วย
ขณะนี้บริษัทได้ส่งมอบรุ่น Carmen ให้แก่ลูกค้า 4 คัน และอีก 4 คันกำลังอยู่ในระหว่างการผลิต รถแต่ละคันจะใช้เวลาถึง 9 เดือน ตั้งแต่รับสั่งจองจนถึงการส่งมอบ แต่ละคันมีราคาเริ่มต้นที่ 2.5 ล้านยูโร และกำลังมีแผนจะวางตลาดสหรัฐ โดยมีตัวแทนจำหน่ายแห่งแรกในไมอามี