ธุรกิจ
Mazda ทุ่มงบกว่า 5,000 ล้าน ผลิต XEVs
Mazda (มาซดา) ประกาศวิสัยทัศน์ครั้งสำคัญเดินหน้าสู่การเปลี่ยนแปลง ภายใต้ธีม The Future, Crafted by The Joy of Driving ชูวิสัยทัศน์ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ และเทคโนโลยียานยนต์ใหม่ล่าสุด เพื่อส่งมอบความสุขในการขับขี่ตามแนวทาง Multi-Solution ตอบโจทย์ความต้องการลูกค้าควบคู่กับแผนเปิดตัวรถยนต์ใหม่ 5 รุ่นภายใน 3 ปี เชื่อมั่นระบบเศรษฐกิจ และศักยภาพของประเทศ ไทยประกาศทุ่มเงินลงทุนอีกกว่า 5,000 ล้านบาท ผลักดันโรงงานผลิตรถยนต์ในไทยขึ้นเป็นศูนย์กลางการผลิต และพัฒนารถยนต์ที่ใช้พลังงานไฟฟ้าหลากหลายรูปแบบ หรือ XEVs นำไปสู่การเปลี่ยนผ่านไปยังรถยนต์พลังงานไฟฟ้าเต็มรูปแบบในอนาคต โดยทำการผลิตรถยนต์พลังงานไฟฟ้าคอมแพคท์เอสยูวี 100,000 คัน/ปี เพื่อจำหน่ายภายในประเทศ และส่งออกไปทั่วโลก
มาซาฮิโร โมโร ประธานกรรมการบริหาร และซีอีโอ มาสด้า มอเตอร์คอร์ปอเรชั่น เปิดเผยว่า เป้าหมายของ Mazda คือ การนำเสนอรถยนต์ที่มาพร้อมพลังงานไฟฟ้าในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่งภายในปี 2573 รวมถึงรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปภายในที่มาพร้อมพลังงานไฟฟ้า Mazda คาดว่ายอดจำหน่ายของรถ BEVs อยู่ที่ประมาณ 25-40 % ของยอดจำหน่ายทั่วโลก ซึ่ง Mazda กำลังเดินหน้าตามแนวทาง Multi-Solution Strategy เพื่อเปลี่ยนผ่านไปสู่ยุคของรถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100 % ควบคู่กับการใช้แนวทาง Intentional Follower Approach โดยทำการศึกษาตลาดอย่างใกล้ชิดและรับฟังข้อคิดเห็นจากลูกค้า เพื่อให้สามารถพัฒนาผลิตภัณฑ์ยานยนต์พลังงานไฟฟ้าให้ดีที่สุด คาดว่าภายในปี 2573 Mazda จะมียอดจำหน่ายผลิตภัณฑ์รถยนต์ที่ใช้พลังงานไฟฟ้าเป็นองค์ประ กอบในการขับเคลื่อน 100 % ของยอดจำหน่ายรวมทั้งหมด แต่ในระหว่างนี้ เรากำลังเดินหน้าตามแผนพัฒนา XEVs ประกอบด้วยแผนกลยุทธ์ 3 เฟส ประกอบด้วย เฟสที่ 1 เป็นการเตรียมความพร้อม เฟสที่ 2 การเปลี่ยนผ่านอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยเริ่มจาก HEV, PHEV และ BEV จนถึงเฟสที่ 3 เป็นการแนะนำรถไฟฟ้าอย่างเต็มรูปแบบ
Mazda พร้อมเดินหน้าส่งมอบเทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้า ตามแนวทาง Multi-Solution ซึ่งรวมถึง MHEVs, HEVs, PHEVs, BEVs, R-EVs และรถยนต์ที่มีความเป็นกลางทางคาร์บอน เพื่อให้ลูกค้ามีทางเลือกของผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย และตรงกับความต้องการมากที่สุด เราเชื่อว่าแนวทางนี้จะสามารถช่วยลดการปล่อยแกสคาร์บอนไดออกไซด์สู่ชั้นบรรยากาศได้อย่างมีประสิทธิภาพ และรวด เร็วที่สุด
สำหรับประเทศไทย ซึ่งเป็นตลาดหลักที่สำคัญอันดับต้นๆ Mazda ตระหนักถึงกระแสตอบรับที่ดี และความต้องการรถไฟฟ้าที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว Mazda จึงเร่งแผนในการนำเสนอรถยนต์ไฟฟ้าให้เร็วขึ้น เพื่อตอบสนองกับความต้องการของลูกค้า โดยวางแผนในการแนะนำรถไฟฟ้าในประเทศไทยเป็นไปตามกลยุทธ์ 3 เฟส เช่นเดียวกันซึ่งเฟส 2 จะเป็นการนำเสนอรถพลังงานไฟฟ้าในไทย โดย Mazda จะทำการเปิดตัวแนะนำเทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย ทั้ง BEV, PHEV, HEV ระหว่างปี 2568-2570 โดยเริ่มจากการเปิดตัวแนะนำรถยนต์ไฟฟ้า BEV รุ่น Mazda6E ในปีนี้ซึ่งเป็นรถไฟฟ้าที่เกิดจากความร่วมมือระหว่าง Mazda และพาร์ทเนอร์ในประเทศจีน
มาซาฮิโร โมโร กล่าวเพิ่มเติมว่า Mazda ในประเทศไทยมีประวัติศาสตร์อันยาวนานมากกว่า 70 ปี ไม่ได้หมายถึงเพียงแค่ มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย)ฯ และผู้จำหน่าย Mazda เท่านั้น แต่ยังรวมถึงโรงงานผลิตรถยนต์ที่จังหวัดระยอง AutoAlliance (AAT) ที่ก่อตั้งขึ้นมาตั้งแต่ปี 2538 ทำการผลิตรถยนต์นั่ง และรถยนต์เพื่อการพาณิชย์ รวมทั้งโรงงานผลิตเครื่องยนต์ และเกียร์อัตโนมัติ Mazda Powertrain Manufacturing Thailand (MPMT) ที่ก่อตั้งเมื่อปี 2558 ทั้ง 2 โรงงานนี้ คือ รากฐานสำคัญที่ส่งเสริมให้ประเทศไทยกลายเป็นจุดศูนย์กลางในการผลิตรถยนต์ Mazda และชิ้นส่วน เพื่อจำหน่ายภายในประเทศ และส่งออกยังตลาดต่างประเทศทั่วโลก โดย Mazda ได้เตรียมความพร้อมไปอีกขั้น เพื่อส่งเสริม และสนับสนุนให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมยานยนต์ที่สำคัญในการผลิตยานยนต์พลังงานไฟฟ้า XEVs ด้วยการเพิ่มเงินลงทุนเป็นจำนวนกว่า 5,000 ล้านบาท เพื่อส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการพัฒนา และผลิตรถยนต์ที่ใช้พลังงานไฟฟ้าคอมแพคท์ เอสยูวี โดยมุ่งเน้นไปที่การประกอบรถยนต์ การผลิตเครื่องยนต์ เกียร์ และแบทเตอรี พร้อมวางเป้ากำลังการผลิตอยู่ที่ 100,000 คัน/ปี นี่คือ จุดเริ่มต้น และก้าวแรกที่ยิ่งใหญ่ต่อการลงทุนเพิ่มเติมสำ หรับประเทศไทยเพื่อผลิตรถพลังงานไฟฟ้าของ Mazda และเป็นก้าวสำคัญสู่การเติบโตอย่างยั่งยืน
ไม่เพียงเท่านี้ มาสด้า มอเตอร์ คอร์ปอเรชั่น พร้อมนำเสนอเทคโนโลยีอันล้ำสมัยที่สุดรวมทั้งการถ่ายทอดองค์ความรู้ในการประกอบรถยนต์จากประเทศญี่ปุ่นเข้ามายังประเทศไทย ควบคู่กับการพัฒ นาทักษะช่างฝีมือประกอบรถยนต์ เพื่อให้มั่นใจได้ว่ารถยนต์ที่ผลิตจากโรงงานในประเทศไทยจะเป็นไปตามมาตรฐานเดียวกันกับ Mazda ทั่วโลก และพร้อมสำหรับการเป็นศูนย์กลางในการผลิตรถ ยนต์พลังงานไฟฟ้า XEVs ในอนาคตอันใกล้นี้ต่อไป
ธีร์ เพิ่มพงศ์พันธ์ ประธานกรรมการบริหาร & ซีอีโอ บริษัท มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวถึงทิศทาง และแผนการดำเนินธุรกิจ Mazda ในประเทศไทยว่า Mazda มุ่งมั่นที่จะปฏิรูปการเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้น เพื่อเดินหน้าสู่ความสำเร็จไปพร้อมกันทั้งองค์กร ตามแนวทาง Management Policy ประกอบด้วย ผู้จำหน่าย พนักงาน และที่สำคัญสูงสุด คือ ลูก ค้าซึ่งการเปลี่ยนแปลงที่กำลังจะเกิดขึ้นทั้งหมดนี้ตั้งอยู่บนพื้นฐานความต้องการของลูกค้าเป็นสำคัญ (Customer-Centric) สำหรับการเปลี่ยนแปลงของ Mazda ที่กำลังจะเกิดขึ้น แบ่งออกเป็น 3 กล ยุทธ์หลัก ได้แก่
กลยุทธ์ที่ 1 : การปรับเปลี่ยนวัฒนธรรมองค์กรด้วย “ผู้คน”
• สร้างการเปลี่ยนแปลงองค์กร โดยมีเป้าหมายในการเป็นองค์กรที่ Agile และInsight-Driven คล่องตัว ยืดหยุ่น และขับเคลื่อนธุรกิจด้วยข้อมูลเชิงลึก ในปัจจุบันกลุ่มมิลเลนเนียล หรือ Gen-Y มีประ มาณ 70 % ของพนักงานทั้งหมด กลุ่มคนเหล่านี้มีความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยี มีการศึกษาสูง ปรับตัวได้ดี มีเป้าหมายชัดเจน มีความคิดสร้างสรรค์ และสามารถทำงานหลายอย่างพร้อมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเราจะใช้จุดแข็ง และพลังของกลุ่มมิลเลนเนียลผสานการทำงานร่วมกับ Gen-X และ Gen-Z เพื่อร่วมกันสร้างสรรค์ประสบการณ์ที่ดีกับลูกค้า
• สนับสนุนการปรับเปลี่ยนวัฒนธรรมองค์กร ด้วยโปรแกรม “Career@Mazda” ที่ออกแบบมาเพื่อพัฒนาการมีส่วนร่วมของพนักงานทั้งที่ มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย)ฯ และผู้จำหน่าย เพื่อพัฒนาทัก ษะ และส่งเสริมการสร้างความผูกพันของพนักงานกับแบรนด์ และเพื่อนร่วมงาน
• สร้างโปรแกรม “Mazda Signature Services” ซึ่งเป็นโปรแกรมที่อยู่บนพื้นฐานของการส่งมอบคุณค่าอันมีเอกลักษณ์เฉพาะของ Mazda 3 ประการ ได้แก่ “Radically Human,” การให้ความสำคัญกับมนุษย์ “Challenger Spirit,” สปิริทที่ไม่ย่อท้อ และ “Omotenashi” ให้การดูแลเช่นเดียวกับคนในครอบครัว เพื่อให้มั่นใจว่าคุณค่าของแบรนด์จะถูกถ่ายทอดไปยังลูกค้าในทุกๆ Touchpoint ของการบริการ
กลยุทธ์ที่ 2 : ยกระดับการบริการ และการสื่อสารกับลูกค้าด้วยข้อมูลเชิงลึก
ทำความเข้าใจความต้องการของลูกค้าอย่างลึกซึ้งเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการบริการและสื่อสารกับลูกค้าด้วยข้อมูลเชิงลึก ด้วยการพัฒนาพแลทฟอร์ม VOF หรือ “Voice of Fans” เพื่อช่วยวิเคราะห์ความคิดเห็นของลูกค้าแบบเรียลไทม์ พร้อมนำความคิดเห็นมาจัดเก็บเป็นข้อมูลวิเคราะห์ และตอบกลับอย่างทันท่วงที ทั้งในช่องทาง Digital และผ่านพนักงาน เพื่อปรับปรุงการบริการ และสร้างความพึงพอใจสูงสุด
นอกจากนี้ Mazda กำลังสร้างโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยีที่แข็งแกร่ง รวมถึงคลังข้อมูลที่สามารถให้ข้อมูลลูกค้าอย่างครบถ้วน อาทิ การสร้างระบบ Data Warehouse และการบริหารจัดการข้อมูลลูกค้าแบบ SCV (Single Customer View) 360 องศา รวมถึงการใช้ประโยชน์จากเครื่องมือ Social Listening เพื่อรับข้อมูลเชิงลึกแบบเรียลไทม์ นำมาออกแบบ พัฒนา และปรับปรุงประสบ การณ์ลูกค้า เพื่อให้มั่นใจว่าสิ่งที่นำเสนอนั้นตรงกับความต้องการ และความรู้สึกของลูกค้าอย่างแท้จริง
กลยุทธ์ที่ 3 : การสร้างประสบการณ์ลูกค้าแบบไร้รอยต่อทั้งออนไลน์ และออฟไลน์
ด้านออนไลน์ : มีการพัฒนาเวบไซท์องค์กรใหม่ โดยเปลี่ยนให้เป็น Mazda NEXTperience Hub ซึ่งแพลตฟอร์มนี้ได้รับการออกแบบเพื่อให้เกิดความสะดวกมากยิ่งขึ้น เพื่อให้ลูกค้าได้รับประสบ การณ์ที่ดีในการค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับแบรนด์ผลิตภัณฑ์ และเทคโนโลยี รวมถึงข่าวสาร และการให้บริการต่างๆ ไม่ว่าลูกค้าต้องการลงทะเบียนจองคิวรถเพื่อทดลองขับ หรือนัดหมายเพื่อนำรถเข้าศูนย์บริการ ซึ่งจะช่วยให้การมีปฏิสัมพันธ์กับแบรนด์เป็นไปอย่างราบรื่นขึ้น ง่ายขึ้น สะดวกขึ้น และไร้รอยต่อ
นอกจากนั้น ยังมีการพัฒนาพแลทฟอร์ม “Mazda SkyJourney” ซึ่งเป็นระบบปฏิบัติการมาตรฐานที่ผู้จำหน่าย Mazda ทุกแห่งใช้ในการดำเนินงาน ระบบนี้ถูกการออกแบบมาเพื่อให้กระบวนการทำ งานเป็นไปอย่างแม่นยำ และมีมาตรฐานสูง เพื่อให้ลูกค้าได้รับประสบการณ์ที่ราบรื่น และสะดวกสบายในทุกขั้นตอน
ด้านออฟไลน์ : มีการนำ “Mazda BASICS” แนวทางใหม่ที่ออกแบบมาเพื่อเป็นต้นแบบการดำเนินธุรกิจของผู้จำหน่าย โดยมีพื้นฐานมาจากปรัชญา และคุณค่าของแบรนด์ ซึ่งเกิดจากแนวทางที่มุ่งเน้นการให้ความสำคัญกับลูกค้าเป็นศูนย์กลาง และสปิริทของ Omotenashi หรือปรัชญาด้านการบริการแบบญี่ปุ่น คุณค่าเหล่านี้จะถ่ายทอดผ่านการพัฒนาบุคลากร และการดำเนินงานของผู้จำหน่ายทั่วประเทศ
นอกจากนี้ เพื่อให้การดำเนินงานของ Mazda ในประเทศไทยเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และสอดคล้องกับแผนพัฒนาธุรกิจในอนาคต Mazda มีแนวทางในการดำเนินงานด้านอื่นๆ ดังต่อไปนี้
ด้านการปรับโครงสร้าง และพัฒนาเครือข่ายผู้จำหน่าย
ปัจจุบัน ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล Mazda มีผู้จำหน่ายทั้งหมด 19 โชว์รูม สามารถรองรับลูกค้าที่มาเข้ารับการบริการได้ถึง 250,000 ราย/ปี หรือมากกว่า 20,000 คัน/ปี ซึ่งเพียงพอกับลูกค้าที่มีอยู่ในปัจจุบัน ในส่วนต่างจังหวัด มาสด้ากำลังเพิ่มศักยภาพของผู้จำหน่ายที่มีอยู่ทั้งหมด 65 แห่ง ให้พร้อมรองรับต่อความต้องการของลูกค้าที่จะเข้ามารับบริการ ด้วยกลยุทธ์ PMA ใหม่ ที่กำหนดขอบ เขตให้ผู้จำหน่ายที่มีศักยภาพสูงมีพื้นที่ในการดูแลลูกค้าเพิ่มขึ้น ปัจจุบัน สามารถรองรับปริมาณงานซ่อมได้สูงสุด 450,000 คัน/ปี หรือมากกว่า 37,000 คัน/เดือน สำหรับภาพรวมทั่วประเทศ ปัจจุบันเรามีลูกค้า 250,000 คัน ที่อยู่ในระบบของเรา ซึ่งเครือข่ายผู้จำหน่ายของเราทั้งหมด 84 โชว์รูม สามารถส่งมอบการบริการที่ดีที่สุดได้ครอบคลุมทุกพื้นที่ทั่วประเทศ
นอกจากนี้ เรายังนำ Mazda BASICS มาใช้ เพื่อยกระดับมาตรฐานการดำเนินงานของผู้จำหน่ายทั่วประเทศ ซึ่งจะช่วยให้ผู้จำหน่ายสามารถส่งมอบงานด้านการขาย และการบริการที่มีมาตรฐานสูง สุดได้
กลยุทธ์ด้านการสร้างแบรนด์
Mazda ในประเทศไทยมีประวัติความเป็นมาอย่างยาวนานถึง 70 ปี เรามีพันธกิจสำคัญ คือ การยกระดับประสบการณ์ และการใช้ชีวิตในทุกด้านให้กับลูกค้าทุกคนเพราะเราเชื่อว่า “ความสุขในการขับขี่รถยนต์” นำมาซึ่ง “ความสุขในการใช้ชีวิต” สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นส่วนหนึ่งของประสบการณ์การเป็นเจ้าของรถยนต์ Mazda เพราะความสุขไม่ได้หมายถึงแค่เพียงการมีรอยยิ้ม แต่คือ ความรู้สึกที่เกิดขึ้นจากภายใน คือ ความหมาย และการเติมเต็มการใช้ชีวิต สะท้อนการสร้างคุณค่าทางอารมณ์ความรู้สึก มีต้นกำเนิดจากความเข้าใจพื้นฐานของมนุษย์ และได้รับแรงบันดาลใจมาจาก“Omotenashi” หรือปรัชญาแนวคิดการบริการแบบญี่ปุ่น
หลังจากนี้ Mazda จะผลักดันธุรกิจด้วยการนำเสนอปรัชญาใหม่ของแบรนด์ นั่นคือ“Joy Drives Lives” หรือความสุขที่ขับเคลื่อนชีวิต เพื่อนำมาใช้ในการปรับเปลี่ยนประสบการณ์ลูกค้า และสร้าง Customer Journey รูปแบบใหม่ และพัฒนาประสบการณ์ของลูกค้าในทุกๆ ขั้นตอน รวมถึงการเริ่มต้นปรับรูปแบบธุรกิจในประเทศไทย (Business Transformation) โดยมุ่งให้ความสำคัญกับลูกค้าในทุกสิ่งเพื่อให้มั่นใจว่าทุกครั้งที่ลูกค้ามีปฏิสัมพันธ์กับแบรนด์ Mazda จะนำมาซึ่งคุณค่า และความสุขของการเป็นเจ้าของรถ Mazda
กลยุทธ์ด้านผลิตภัณฑ์ และเทคโนโลยีในไทย
Mazda กำลังเดินหน้าตามแผนกลยุทธ์ Multi-Solution โดยจะทำการเปิดตัวรถยนต์ที่ใช้พลังงานไฟฟ้าหลากหลายรูปแบบ ถึง 5 รุ่น ระหว่างปี 2568-2570 เพื่อสามารถตอบสนองต่อความต้องการที่หลากหลายของลูกค้า รวมถึงรถยนต์พลังงานไฟฟ้า BEV 2 รุ่น รถ PHEV 1 รุ่น และรถ HEV 2 รุ่น โดยรุ่นแรกที่ลูกค้าได้สัมผัสในเร็วๆ นี้ คือ รถยนต์ไฟฟ้า BEV รุ่น Mazda6E
กลยุทธ์ด้านการผลิต
Mazda ยังคงเดินหน้าผลักดันการผลิตที่โรงงานในประเทศไทย ทั้งที่โรงงาน AAT และ MPMT เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดจากโรงงานทั้งสองแห่ง และสร้างข้อได้เปรียบทางการแข่งขัน พร้อมผลักดันให้ประเทศไทยกลายเป็นศูนย์กลางในการผลิต และจำหน่ายรถยนต์พลังงานไฟฟ้าคอมแพคท์เอสยูวี ทั้งการจำหน่ายภายในประเทศ และส่งออกไปยังต่างประเทศทั่วโลก โดยโรงงานผลิตทั้ง 2 แห่งมีคุณภาพมาตรฐานเทียบเท่าระดับโลก นี่คือ รากฐานที่มั่นคงที่จะช่วยเสริมสร้างให้ประเทศไทยมีความพร้อมในการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคไฟฟ้าในภูมิภาคอาเซียน และเป็นศูนย์กลางที่สำคัญในการผลิตรถ XEVs ในอนาคต
ทั้งหมดนี้ คือ การเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในประวัติศาสตร์ที่กำลังจะเกิดขึ้นกับ Mazda ทั่วโลก โดยเฉพาะตลาดประเทศไทย ที่ทาง Mazda ออกมาประกาศเดินหน้าเต็มขุมกำลัง เพื่อให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางแห่งสำคัญสุดของ Mazda ในการผลิตแ ละส่งออก เพื่อให้ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งหมด ทั้งพนักงาน ผู้จำหน่าย โดยเฉพาะลูกค้าชาวไทย เพราะลูกค้า คือ หัวใจสำคัญที่สุดของการดำ เนินธุรกิจของมาสด้า ดังนั้น เราจึงมุ่งมั่นที่จะส่งมอบคุณค่า และประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้แก่ลูกค้าของเรา ซึ่งเราจะดำเนินการควบคู่ไปกับการสร้างความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้น และมั่นคงกับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง เพื่อส่งมอบประสบการณ์ความสุข และการใช้ชีวิต เพื่อให้แบรนด์ Mazdaเติบโตอย่างยั่งยืน และมั่นคงไปพร้อมๆ กับการยกระดับเศรษฐกิจ และสังคมของประเทศไทย
![](https://autoinfo.co.th/uploads/2024042121525456.jpg)