ธุรกิจ
ข่าวเด่นในรอบสัปดาห์
Chery ประกาศนโยบายรุกไทยเต็มสูบ
Omoda & Jaecoo (โอโมดา แอนด์ เจคู) และ Chery (เชอรี) ภายใต้บริษัท Chery Automoble ผู้นำนวัตกรรมยานยนต์ระดับโลก ประกาศวิสัยทัศน์นำประเทศไทยตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมยานยนต์ระดับโลก เปิดตัวเทคโนโลยีระบบขับเคลื่อนไฮบริดเจเนอเรชันใหม่ หัวหอกสำคัญในการทำตลาดปีนี้ พร้อมประกาศความเคลื่อนไหวเชิงรุกของ Chery และ Omoda & Jaecoo ในไทย เตรียมเปิดสายการผลิตโรงงานไทยไตรมาส 3 พร้อมประกาศเปิดตัวรถใหม่ปีนี้ และประกาศความร่วมมือกับรัฐบาลไทย เพื่อร่วมกันพัฒนาแบรนด์รถยนต์ไฟฟ้า (EV) สัญชาติไทย โดยได้รับการสนับสนุนอย่างเต็มที่จากกระทรวงพาณิชย์ ซึ่งนับเป็นอีกก้าวสำคัญในการยกระดับศักยภาพอุตสาหกรรมยานยนต์ของประเทศไทย สู่การเป็นกลางการผลิต EV ในภูมิภาค พร้อมขับเคลื่อนประเทศเข้าสู่ยุคใหม่แห่งพลังงานสะอาด และนวัตกรรมยานยนต์อย่างยั่งยืน
เฉิน ซุนชิง รองประธาน Chery International กล่าวว่า ประเทศไทยเป็นตลาดยุทธศาสตร์สำคัญของ Chery และ Omoda & Jaecoo ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ การประกาศความพร้อม และแผนการลงทุนในครั้งนี้ สะท้อนความมุ่งมั่นอย่างแรงกล้าที่เรามีต่อตลาดไทย และเป็นก้าวสำคัญในวิสัยทัศน์ระยะยาวเพื่อสร้างฐานการผลิตที่แข็งแกร่งในภูมิภาค เรามีความพร้อมในทุกมิติ ทั้งด้านผลิตภัณฑ์ที่มีนวัตกรรม และเทคโนโลยีล้ำหน้า การพัฒนาด้านการขาย และการบริการหลังการขายโดยร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจ ตลอดจนการพัฒนาฐานการผลิตในไทยที่ทันสมัยระดับโลก เรามั่นใจอย่างยิ่งว่ากลยุทธ์ธุรกิจของ Chery และ Omoda & Jaecoo จะตอบความต้องการของผู้บริโภศไทย และเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญของอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยสู่อนาคตที่ยั่งยืน
พร้อมเปิดตัวเทคโนโลยีระบบขับเคลื่อนไฮบริดเจเนอเรชันใหม่ ที่มาพร้อมสมรรถนะ ความปลอดภัย และประสิทธิภาพพลังงานระดับสูงสุด เพื่อก้าวสู่ยุคใหม่แห่งพลังงานสะอาดด้วยการนำเสนอเทคโนโลยีไฮบริด CHS (Chery Hybrid System)/SHS (Super Hybrid System) ล้ำสมัย โดดเด่น 4 ด้านหลัก
1. ประสิทธิภาพพลังงานสูงสุด : เครื่องยนต์ไฮบริดเฉพาะทาง 1.5T GDI ให้ประสิทธิภาพทางความร้อนสูงถึง 44.5 % สูงที่สุดในอุตสาหกรรม
2. พลังขับเคลื่อนระดับโลก : ระบบส่งกำลัง DHT 230/280 สามารถให้กำลังสูงสุดถึง 280 กิโลวัตต์ และรอบเครื่องถึง 24,000 รตน.
3. ความปลอดภัยเหนือมาตรฐาน : ระบบตัดพลังงานฉุกเฉินภายใน 2 มิลลิวินาที และการปกป้องในทุกสภาพอากาศ รวมถึงการลุยน้ำลึกถึง 700 มม.
4. ความสามารถรอบด้าน (AIl Scenario) : ระบบบริหารพลังงานล่วงหน้า (Predictive Energy Management) ลดการใช้พลังงานลง 15 % และสามารถกู้คืนพลังงานจากเบรคได้ถึง 80 %
พร้อมกันนี้ Omoda & Jaecoo เตรียมเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่หลายรุ่นที่มาพร้อมเทคโนโลยี SHS (Super Hybrid System), เครื่องยนต์ BEV (Battery Electric Vehicle), HEV (Hybrid Electric Vehicle) และ REEV (Range-Extended Electric Vehicle) เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคยุคใหม่ โดยมีกำหนดเปิดตัว Jaecoo 5 EV (เจคู 5 อีวี) และ Jaecoo 6T EV (เจคู 6 ที อีวี) ภายในไตรมาส 3 ตามมาด้วย Omoda C7 SHS (โอโมดา ซี 7 เอสเอชเอส) และ Omoda C9 SHS (โอโมดา ซี 9 เอสเอชเอส) ในไตรมาส 4 ของปีนี้ และเพื่อสร้างการรับรู้ และเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายมากขึ้น Omoda & Jaecoo เตรียมเปิดตัว Brand Ambassador ของ Jaecoo หรือ Mr.J เร็วๆ นี้
ขณะเดียวกัน ยังได้ปรับราคา Omoda C5 EV Long Range (โอโมดา ซี 5 อีวี ลอง เรนจ์) รุ่นใหม่ โดยยังคงไว้ซึ่งสมรรถนะ และฟังค์ชันเดิมอย่างครบถ้วน ได้แก่ Omoda C5 EV Long Range Dynamic ราคา 649,000 บาท และ Omoda C5 EV Long Range Max ราคา 699,000 บาท และยังมีโปรโมชันดาวน์เริ่มต้น 8,888 บาท ผ่อนนานสูงสุด 84 เดือน
- ฟรี ประกันภัยชั้น 1 นาน 1 ปี*
- บริการช่วยเหลือฉุกเฉินตลอด 24 ชม. 5 ปี*
- โฮมชาร์เจอร์พร้อมติดตั้ง (เฉพาะ Omoda C5 EV Long Range Max)
- การรับประกันครอบคลุมระยะเวลา 8 ปี หรือระยะทาง 200,000 กม.*
สำหรับ Jaecoo 6 EV 4WD มีโปรโมชันพิเศษภายในเดือนพฤษภาคม-มิถุนายนนี้เท่านั้น โดยมอบส่วนลดสูงสุดมูลค่ากว่า 150,000 บาท สำหรับสี Forest Green และ Lunar Silver*
- ฟรี ประกันภัยชั้น 1 นาน 1 ปี*
- บริการช่วยเหลือฉุกเฉินตลอด 24 ชม. 5 ปี*
- โฮมชาร์เจอร์พร้อมติดตั้ง*
- การรับประกันครอบคลุมระยะเวลา 8 ปี หรือระยะทาง 200,000 กม.*
ขณะเดียวกัน Jaecoo 7 SHS (เจคู 7 เอสเอชเอส) ที่พิสูจน์ความสามารถด้วยสถิติการขับขี่ระยะทางไกลถึง 1,433 กม. ด้วยน้ำมันเพียง 1 ถัง และการชาร์จแบทเตอรีเพียง 1 ครั้ง ซึ่งถือเป็นระยะทางขับขี่ที่ไกลที่สุดในประเทศไทย และติดอันดับ 5 ของโลกจากการแข่งขันระดับนานาชาติ Jaecoo 7 SHS Global Super Hybrid Marathon นอกจากนั้น Jaecoo ได้จัดแคมเปญ ECO Bonus มอบส่วนลดพิเศษ 10,000 บาท สำหรับลูกค้าที่เป็นเจ้าของรถยนต์ประเภทเครื่องยนต์สันดาป (ICE) หรือไฮบริด (HEV) พร้อมฟรีค่าบำรุงรักษารถ (ค่าแรง และค่าอะไหล่) เป็นระยะเวลา 2 ปี หรือ 30,000 กม. (แล้วแต่อย่างใดอย่างหนึ่งถึงก่อน) 2 ปี หรือ 30,000 กม. (แล้วแต่อย่างใดอย่างหนึ่งถึงก่อน) 2 ปี ฟรี โฮมชาร์เจอร์ และสายชาร์จ V-2-L สำหรับผู้จอง และรับรถภายในวันที่ 30 มิถุนายน 2568 เท่านั้น
สำหรับ Chery พร้อมเปิดตัวรถใหม่ เริ่มเจาะตลาดด้วยไลน์อัพรถรุ่น Tiggo (ทิกโก) ซึ่งเน้น Comfortable Space และ Sale and Reliable เป็นหัวใจหลัก ด้วยการดึงจุดเด่นของห้องโดยสารอเนกประสงค์ สามารถรองรับการใช้งานหลากหลายรูปแบบรวมไปถึงให้ความสำคัญกับความปลอดภัยแบบเหนือมาตรฐานด้วยอุปกรณ์ และระบบช่วยขับขี่ระดับสูง โดยวางแผนเตรียมเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่หลายรุ่น เช่น Chery Tiggo 8, Chery V23 (iCAR V23), Chery Tiggo Cross และ Chery Tiggo 7 เดินหน้าขยายเครือข่ายผู้จำหน่ายทั่วประเทศไทย ให้ครบ 30 แห่งในประเทศไทย เพื่อให้บริการลูกค้าอย่างครอบคลุม มุ่งมั่นสร้างความแตกต่างจากคู่แข่งในตลาด และมอบประสบการณ์การใช้งานที่เหนือระดับให้แก่ผู้บริโภคชาวไทย กระจายตัวในทุกภูมิภาค ได้แก่ ภาคเหนือ 3 แห่ง ภาคกลาง 4 แห่ง ภาคใต้ 4 แห่ง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 4 แห่ง และในเขตกรุงเทพฯ และปริมมณฑล อีกถึง 15 แห่ง สะท้อนความมุ่งมั่นของแบรนด์ในการดูแลลูกค้าตลอดเส้นทางการใช้งานอย่างมืออาชีพ และทั่วถึงภายในปีนี้
ซุนชิง กล่าวเพิ่มเติมว่า Chery และ Omoda & Jaecoo ในส่วนของโรงงานที่ประเทศไทย ที่มีการลงทุนไปทั้งสิ้น 5,000 ล้านบาท พร้อมเริ่มเดินสายการผลิตที่โรงงานในไตรมาส 3 ปี 2568 ด้วยเป้าหมายกำลังการผลิต 80,000 คัน/ปี ภายในปี 2571 โดยเริ่มการผลิต Jaecoo 6 EV เป็นรุ่นแรก เพื่อเป็นศูนย์กลางการผลิต ส่งออกในเอเชีย โรงงานแห่งนี้จะเน้นการผลิตแบบ Completely Knocked Down (CKD) พร้อมติดตั้งหุ่นยนต์เชื่อมอลูมิเนียมที่แม่นยำ นอกจากนี้ ในอนาคตยังมีแผนการลงทุนในการผลิตยานยนต์เพิ่มเติม ทั้งขยายกำลังการผลิต และโมเดลไฟฟ้าไฮบริด (HEV) รถยนต์รุ่นอื่นๆ ของ Chery Group และการจัดตั้งโรงพ่นสีภายในปี 2570 รวมถึงการให้ความสำคัญในการจัดจ้างงานสำหรับการทำงานในโรงงาน โดยเริ่มต้นจะเป็นแรงงานไทย 150 คน สำหรับการทำงานกะเดียว และจะขยายโรงงาน และอัตราการจ้างแรงงานไทยเพิ่มขึ้น ตามการขยายตัวของตลาดรถยนต์ไฟฟ้าของประเทศไทย โดยจะเปิดตัวอย่างเป็นทางการประมาณปลายไตรมาส 3 หรือต้นไตรมาส 4 นี้
ฉี เจี๋ย ประธาน บริษัท โอโมดา แอนด์ เจคู (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า การเดินสายการผลิตที่โรงงานระยองนับเป็นก้าวสำคัญที่ไม่เพียงแสดงถึงความมุ่งมั่นในการลงทุนระยะยาวในประเทศไทย แต่ยังเป็นการตอกย้ำความเชื่อมั่นของเราในศักยภาพของไทยในฐานะศูนย์กลางการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าในภูมิภาค การเริ่มต้นด้วย Jaecoo 6 EV คือ การนำเสนอนวัตกรรมระดับโลกสู่ตลาดไทย
และเราตั้งใจที่จะผสานเทคโนโลยีล้ำสมัยกับความเชี่ยวชาญของบุคลากรไทย เพื่อสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์คุณภาพสูงที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคทั้งในประเทศ และภูมิภาค นี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของการเดินทางอันยาวไกล และเรามุ่งมั่นที่จะเติบโดไปพร้อมกับอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าของไทยอย่างยั่งยืน
สำหรับแผนการผลิตที่สำคัญอีกอย่าง ซึ่งเร็วๆ นี้ Chery Automobile ผู้นำด้านเทคโนโลยียานยนต์ระดับโลก และ Omoda & Jaecoo ร่วมกับกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม กระทรวงพาณิชย์ Chery King Gen เตรียมพัฒนารถต้นแบบสัญชาติไทย ผลิตรถยนต์ไฟฟ้า 3 ประเภท ได้แก่ 1. รถตู้ รถเชิงพาณิชย์ 2. กระบะ 3. เอสยูวี โดยจะทำการผลิตที่โรงงานจังหวัดระยอง ตั้งเป้าคอนเทนท์ไว้มากกว่า 50 %
การผลิตแบรนด์สัญชาติไทยครั้งนี้ เพื่อยกระดับอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยสู่การเป็นศูนย์กลางการผลิต EV ในภูมิภาคอาเซียน โดยความร่วมมือครั้งนี้มุ่งเน้นพัฒนาแบรนด์ EV แห่งชาติของไทย ส่งเสริมขีดความสามารถด้านเทคโนโลยี EV ภายในประเทศ และสนับสนุนผู้ผลิตชิ้นส่วนในประเทศให้เข้าสู่ห่วงโซ่อุปทานระดับโลก โดยมุ่งเน้นการจำหน่ายในประเทศไทย ชูจุดเด่นด้านเทคโนโลยี EV และราคาที่เข้าถึงได้สำหรับผู้บริโภคชาวไทย เพื่อสนับสนุนให้คนไทยสามารถเปลี่ยนมาใช้รถยนต์พลังงานใฟฟ้าได้ง่ายขึ้น
นอกจากนี้ ทางโครงการยังใช้ข้อได้เปรียบด้านภาษีในฐานะรถยนต์สัญชาติไทยเพื่อสร้างระบบราคาที่เหมาะสม พร้อมกระตุ้นห่วงโซ่การผลิตภายในประเทศ ตั้งแต่การจัดหาชิ้นส่วน การจ้างงาน ไปจนถึงการพัฒนาเครือข่ายบริการหลังการขายให้ครอบคลุมยิ่งขึ้น
.................................................................................................
Changan ลงทุนเพิ่ม 30,000 ล้านบาท เพิ่มกำลังการผลิต
Changan Automobile (ฉางอัน ออโทโมบิล) ผู้นำเทคโนโลยียานยนต์อัจฉริยะคาร์บอนต่ำ ประกาศแผนลงทุนเพิ่ม 30,000 ล้านบาท เพิ่มกำลังการผลิต ฉลองเปิดโรงงานฉางอัน ออโทโมบิล ระยอง (Changan Automobile Rayong Factory) ปักธงฐานการผลิตรถยนต์พลังงานใหม่ครบวงจรแห่งแรกในต่างประเทศ ที่จังหวัดระยอง ประเทศไทย พร้อมประกาศความสำเร็จในการผลิตรถยนต์คันที่ 28.59 ล้าน ซึ่งเป็น Deepal S05 (ดีพอล เอส 05) เดินหน้าศักราชใหม่ของการดำเนินกลยุทธ์การขยายธุรกิจระดับโลก
จู หัวหรง ประธาน Changan Automobile เปิดเผยว่า Changan ประกาศแผนลงทุนเพิ่ม 30,000 ล้านบาท เพื่อขยายกำลังการผลิตในเฟสใหม่ โดยโรงงานของ Changan ตั้งอยู่บนที่ดินขนาด 250 ไร่ ประกอบด้วยพื้นที่สำหรับดำเนินการผลิตอย่างครบวงจรไม่ว่าจะเป็น การเชื่อมประกอบตัวถัง, การพ่นสี, การประกอบเครื่องยนต์ และการประกอบแบทเตอรี มีมูลค่าการลงทุนด้านการผลิต 10,000 ล้านบาท ด้านวิจัย และพัฒนาอีก 10,000 ล้านบาท ซึ่งนับเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญในการขยายธุรกิจระดับโลก และตอกย้ำความมุ่งมั่นระยะยาวต่อภูมิภาคอาเซียน และประเทศไทย โดยโรงงานแห่งนี้ตั้งอยู่ในทำเลยุทธศาสตร์ และจะเป็นศูนย์กลางการผลิตสำหรับตลาดอาเซียน และตลาดรถพวงมาลัยขวาทั่วโลก ยกระดับความแข็งแกร่งให้แก่ประเทศไทย ในฐานะศูนย์กลางการผลิตยานยนต์ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
สำหรับเริ่มต้นมีกำลังการผลิตที่ 100,000 คัน/ปี โดยใช้หุ่นยนต์ 39 ตัว ในพื้นที่เชื่อมประกอบตัวถัง และใช้หุ่นยนต์ 29 ตัว สำหรับกระบวนการพ่นสีที่ต้องอาศัยความละเอียดสูง เพื่อให้สีบนตัวรถมีความทนทานมากกว่า 10 ปี พร้อมทั้งลดการปล่อยมลภาวะได้ถึง 40 % นอกจากนี้ ยังใช้เทคโนโลยีการผลิตแบบอัตโนมัติ 18 ระบบ และแบบกึ่งอัตโนมัติ 125 ระบบ จึงสามารถผลิตรถยนต์หลายรุ่นที่ใช้ระบบส่งกำลังต่างกันได้พร้อมกัน ทั้งยังมีระบบดิจิทอลช่วยให้ดำเนินงาน และจัดการผ่านออนไลน์ได้ 100 % ลดระยะเวลาจากการสั่งซื้อถึงการส่งมอบจาก 21 วัน เหลือเพียง 15 วัน โดยตั้งเป้าเพิ่มกำลังการผลิตเป็น 200,000 คัน ในเฟสที่ 2
โรงงานแห่งนี้ได้รับการออกแบบให้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ใช้อุปกรณ์ที่มีประสิทธิภาพสูง กระบวนการทำงานที่ทันสมัย และปล่อยคาร์บอนต่ำ โดย Changan มีแผนที่จะติดตั้งระบบพลังงานแสงอาทิตย์ขนาด 14 เมกะวัตต์ ซึ่งจะสามารถจ่ายกระแสไฟฟ้าได้ถึง 45 % ของพลังงานไฟฟ้าทั้งหมดที่ใช้ในโรงงาน ช่วยลดการปล่อยแกสคาร์บอนไดออกไซด์อย่างมีประสิทธิภาพ เสริมด้วยส่วนประกอบที่ส่งเสริมความยั่งยืนอีกมากมาย อาทิ ระบบระบายอากาศหมุนเวียน, ระแนงระบายความร้อน, การใช้แสงธรรมชาติ และระบบรีไซเคิลน้ำฝน คาดว่าจะช่วยลดต้นทุนพลังงานลง 20 % นอกจากนี้ การเปิดโรงงานยังจะสร้างโอกาสการจ้างงานมากกว่า 30,000 ตำแหน่ง ตลอดห่วงโซ่คุณค่า ซึ่งจะมีส่วนสำคัญต่อการเติบโตของเศรษฐกิจในพื้นที่อีกด้วย
การเปิดโรงงานแห่งนี้เป็นก้าวสำคัญสำหรับ Changan ที่ยกระดับจากการส่งออกรถยนต์สู่การสร้างระบบนิเวศในประเทศไทย ควบคู่ไปกับการเดินหน้า 3 แผนธุรกิจหลัก ได้แก่ Green Changan, Smart Changan และ Global Changan โดยจะเริ่มเดินสายการผลิตที่โรงงานในจังหวัดระยอง ตอกย้ำความมุ่งมั่นในระยะยาวต่อประเทศไทย และปรัชญาที่มุ่งพัฒนาการดำเนินงานในท้องถิ่นให้สร้างประโยชน์ต่อชุมชน เราออกแบบโรงงานแห่งนี้โดยให้โดดเด่นด้านความยั่งยืน และนวัตกรรม ใช้กระบวนการผลิตที่มุ่งเน้นการเพิ่มประสิทธิภาพสูงสุด (Lean Manufacturing Processes) ระบบที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และเทคโนโลยีล้ำสมัย สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของ Changan ต่ออนาคตที่ยั่งยืนมากขึ้น รวมทั้งส่งเสริมเป้าหมายของเราที่ต้องการให้ประเทศไทยเป็นประตูสู่ภูมิภาค และตลาดรถพวงมาลัยขวาที่สำคัญ ครอบคลุมทั้งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ เราจะยังคงยึดมั่นในกลยุทธ์ "In Thailand, For Thailand" พร้อมทั้งส่งมอบเทคโนโลยีล้ำสมัยที่ให้ความสำคัญกับ AI, ระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ขั้นสูง (ADAS) หุ่นยนต์ฮิวแมนนอยด์ และยานพาหนะไฟฟ้าที่สามารถบินขึ้น และลงจอดในแนวดิ่งได้ (eVTOL)
พร้อมประกาศความสำเร็จในการผลิตรถยนต์คันที่ 28.59 ล้าน ซึ่งเป็น Deepal S05 (ดีพอล เอส 05) เดินหน้าศักราชใหม่ของการดำเนินกลยุทธ์การขยายธุรกิจระดับโลก
นอกจากนี้ ตามเป้าหมายของการขยายตัวในเวทีตลาดโลก โรงงานในประเทศไทยจะผลิตรถทั้งพวงมาลัยขวา และพวงมาลัยซ้าย ที่พร้อมจะขยายไปในภูมิภาคอื่นๆ ทั้งในภูมิกาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ตะวันออกกลาง อเมริกา ยุโรป และกลุ่มยูเรเซีย รวมถึงจะมีการผลิตรถหลากหลายประเภท ตามความต้องการของตลาด ตั้งเป้าภายใน 3 ปี สินค้าที่ผลิตในไทย 30 % จะส่งออกไปจำหน่ายทั่วโลก ตามเป้าหมายที่จะให้ Changan เป็นแบรนด์ระดับโลก ที่พร้อมจะลงทุนอีก 10,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
Changan มียอดขายเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องทั่วโลก โดยในปี 2567 ที่ผ่านมา มียอดขายถึง 2.68 ล้านคัน เพิ่มขึ้น 5.1 % เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า และในจำนวนดังกล่าวป็นรถยนต์พลังงานใหม่ถึง 735,000 คัน เพิ่มขึ้นประมาณ 52.8 % เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า Changan วางเป้าหมายที่จะมียอดขาย 5 ล้านคัน/ปี ภายในปี 2573 โดยที่ 3 ล้านคันของจำนวนดังกล่าวจะเป็นยานยนต์พลังงานใหม่
เซิน ซิงหัว กรรมการผู้จัดการ บริษัท ฉางอาน ออโต้ เซ้าท์อีส เอเชีย จำกัด และกรรมการผู้จัดการ บริษัท ฉางอาน ออโต้ เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า เราให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับตลาดประเทศไทย และรักษาความเป็นเลิศในการผลิตเพื่อให้เกิดประโยชน์โดยตรงต่อผู้บริโภคทั้งในไทย และทั่วภูมิภาค โรงงานที่จังหวัดระยองจึงเป็นตัวแทนของความสำเร็จสำหรับ Changan หลายด้าน ทั้งการเป็นโรงงานผลิตยานยนต์พลังงานใหม่แห่งแรก และโรงงานผลิตแบบครบวงจรแห่งแรก โดยมีกระบวนการตรวจสอบคุณภาพกว่า 90 % เป็นระบบอัตโนมัติ ตอกย้ำความเป็นผู้นำของเราในอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย ทั้งยังช่วยให้เราสามารถขยายกลุ่มผลิตภัณฑ์ นำเสนอโซลูชันการเดินทางอันชาญฉลาด และรักษ์โลกได้ดียิ่งขึ้น ตลอดจนช่วยลดต้นทุนการดำเนินงาน และผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ที่สำคัญ การเปิดโรงงานแห่งนี้สอดคล้องกับกลยุทธ์ของรัฐบาลไทยที่ต้องการให้ประเทศเป็นศูนย์กลางการผลิตยานยนต์ของภูมิภาค เราภาคภูมิใจที่จะได้ขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านไปสู่โซลูชันด้านการคมนาคมที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมยิ่งขึ้น พร้อมทั้งร่วมพัฒนาเศรษฐกิจ และเป้าหมายด้านความยั่งยืนให้แก่ประเทศ เพื่อสร้างคุณค่าให้แก่ลูกค้า และชาวไทยทุกคน
ภายในงาน Changan ได้ตอกย้ำความมุ่งมั่นที่จะพลิกโฉมวงการยานยนต์ไทยผ่านการจัดแสดงนวัตกรรมมากมาย ไม่ว่าจะเป็น แบทเตอรี CTV, Super Integrated E-Drive และเทคโนโลยี Range Extender รวมถึงยนตรกรรมหลากหลายรุ่น ทั้งจากแบรนด์ Deepal (รุ่น S05, E07, S07, L07 และ G318) แบรนด์ Avatr (อวาทาร์) (รุ่น 11, 12 และ 07) และรถยนต์บินได้ด้วยระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติ EHang ให้สื่อมวลชน และแขกผู้มีเกียรติได้สัมผัสโซลูชันล้ำสมัยมากมายที่ Changan กำลังนำเสนอสู่ตลาดประเทศไทย
Changan มีแผนที่จะเปิดตัวรถใหม่อีก 12 รุ่น ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ภายในระยะเวลา 3 ปี โดยทั้งหมดจะเป็นยานยนต์พลังงานใหม่เพื่อขยายพอร์ทโฟลิโอผลิตภัณฑ์ให้ครอบคลุมยิ่งขึ้น รวมถึงสร้างคลังอะไหล่สำหรับตลาดรถพวงมาลัยขวา โดยเมื่อแล้วเสร็จจะเก็บชิ้นส่วนได้ถึง 98 % ของจำนวนอะไหล่ทั้งหมด และมีเป้าหมายในการจัดส่งอะไหล่ภายใน 24 ชั่วโมง นอกจากนี้ ยังจะอัพเกรดพแลทฟอร์มดิจิทอลในประเทศไทย ที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี AI เพื่อให้พร้อมมอบบริการได้แบบเรียลไทม์ผ่านระบบอัจฉริยะ ทั้งการควบคุมยานพาหนะ, การบำรุงรักษา, การตรวจสอบแบทเตอรี และการเชคสภาพจากระยะไกล
การเปิดโรงงานที่จังหวัดระยองจึงไม่เพียงตอกย้ำความมุ่งมั่นของ Changan ที่มีต่อประเทศไทย และตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แต่ยังจะช่วยส่งเสริมการเติบโตในภูมิภาคให้แก่บริษัทอย่างยั่งยืน ตลอดจนช่วยพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์ และขับเคลื่อนเป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อมของประเทศไทย
.................................................................................................
ไซม์ ดาร์บี้ ออโต้ สปอร์ตฯ เปิดโชว์รูมพร้อมศูนย์บริการ Porsche Centre Pattaya
บริษัท ไซม์ ดาร์บี้ ออโต้ สปอร์ต จำกัด เปิดตัว Porsche Centre Pattaya โชว์รูม และศูนย์บริการระดับโลกแห่งใหม่บนถนนสุขุมวิท บางละมุง พัทยา บนพื้นที่กว่า 5,300 ตรม. ด้วยสถาปัตยกรรมใหม่ล่าสุดจาก Porsche (โพร์เช) ภายใต้แนวคิด "Destination Porsche" เพื่อยกระดับประสบการณ์ลูกค้าในภาคตะวันออก
แอนดรูว์ บาแชม กรรมการผู้จัดการ ไซม์ มอเตอร์ส กล่าวว่า ความร่วมมืออันยาวนานระหว่างเรากับ Porsche ดำเนินมายาวนานกว่าทศวรรษ และครอบคลุมหลายประเทศ รวมถึงมาเลเซีย ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ และปัจจุบัน คือ ประเทศไทย เส้นทางความร่วมมือของเราเต็มไปด้วยความสำเร็จที่น่าจดจำ ตั้งแต่การก่อตั้งโรงงานประกอบรถ Porsche แห่งแรกนอกยุโรป ที่เมืองอิโนโคม ไปจนถึงการผลิตรถ Porsche Cayenne (โพร์เช คาเยนน์) เพื่อส่งออกมายังประเทศไทย เรายังคงมุ่งมั่นที่จะรักษามาตรฐานระดับโลก พร้อมเดินหน้าพัฒนาขับเคลื่อนวงการยานยนต์ให้ก้าวหน้ายิ่งขึ้นทั่วทั้งภูมิภาค
ฮานเนส รูออฟ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Porsche Asia Pacific เผยว่า Porsche ยังคงเติบโตอย่างแข็งแกร่ง และต่อเนื่องในประเทศไทย โดยปี 2567 ถือเป็นปีแห่งความสำเร็จที่โดดเด่น ตั้งแต่การนำเข้า Cayenne S E-Hybrid Coupe (คาเยนน์ เอส อี-ไฮบริด คูเป) รุ่นแรกที่ประกอบในภูมิภาค ไปจนถึงการเปิด Porsche Design Tower Bangkok และพอพอัพคอนเซพท์ Curvistan Bangkok และในวันนี้ เราก้าวไปอีกขั้นในการขยายเครือข่ายตัวแทนจำหน่ายด้วยการเปิด Porsche Centre Pattaya แห่งใหม่ เพื่อส่งมอบประสบการณ์สุดพิเศษ และความประทับใจที่ให้แก่เจ้าของ Porsche ในภาคตะวันออกของประเทศไทย พร้อมเดินหน้าไปกับพันธมิตรทางธุรกิจของเรา เพื่อสร้างความเป็นเลิศในการให้บริการ และตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าทั่วภูมิภาค
ไมเคิล เวทเตอร์ กรรมการผู้จัดการ Porsche ประเทศไทย กล่าวเสริมว่า Porsche ประเทศไทย ภูมิใจอย่างยิ่งที่ได้ต้อนรับ Porsche Centre แห่งที่ 4 เข้าสู่เครือข่ายของเรา ซึ่งบริษัท ไซม์ ดาร์บี้ ออโต้ สปอร์ต จำกัด ถือว่าเป็นพันธมิตรทางธุรกิจที่มีประสบการณ์อันยาวนานในวงการ Porsche โดยลูกค้า และแฟนของ Porsche มั่นใจได้ว่า รถสปอร์ทในฝันของคุณจะได้รับการดูแลอย่างดีที่สุด ภายใต้บริการที่มีมาตรฐานระดับโลก
อาร์นท์ เบเยอร์ กรรมการผู้จัดการ ไซม์ ดาร์บี้ ออโต้ สปอร์ตฯ กล่าวว่า รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้เปิดตัว Porsche Centre Pattaya ซึ่งเพียบพร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกที่ทันสมัย พนักงานทุกคนผ่านการฝึกอบรมระดับสูง และใส่ใจในทุกรายละเอียด พวกเราพร้อมให้บริการระดับพรีเมียม และรอต้อนรับลูกค้าทั่วภูมิภาคตะวันออกของประเทศไทย ทั้งในชลบุรี ระยอง จันทบุรี ตราด และพัทยา เข้าสู่ครอบครัว Porsche
สัมผัสประสบการณ์ "Destination Porsche"
Porsche Centre Pattaya เป็นหนึ่งในศูนย์แห่งใหม่แห่งแรกของ Porsche ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิค ที่ผสมผสานแนวคิดสถาปัตยกรรมล่าสุดภายใต้แนวคิด "Destination Porsche" ส่วนหน้าของโชว์รูมภายนอกโดดเด่นด้วยการออกแบบในโทนสีแดงตัดกับสีเงินคลาสสิค ซึ่งสะท้อนถึงความหลงใหล และมรดกอันล้ำค่าของ Porsche พร้อมสื่อถึงจิตวิญญาณแห่งนวัตกรรมอันไม่หยุดนิ่ง ซึ่งเป็นคุณค่าที่ฝังแน่นอยู่ในรถสปอร์ททุกคันของ Porsche
โชว์รูมแห่งนี้โดดเด่นด้วยการออกแบบในเรื่องการประหยัดพลังงาน อาทิ หลังคา ผนัง และกระจกที่เป็นฉนวนกันความร้อนสูงเพื่อลดการได้รับความร้อน และทำให้ใช้พลังงานต่ำลง มีการนำระบบกักเก็บน้ำฝนมาใช้ร่วมกับอุปกรณ์ประหยัดน้ำ เพื่อลดการพึ่งพาแหล่งพลังงานที่ไม่สามารถหมุนเวียนได้ ทำให้สามารถลดการใช้น้ำได้มากถึง 50 % หรือมากกว่า 255,000 ลิตร/ปี นอกจากนี้ ยังติดตั้งระบบผลิตพลังงานไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์บนหลังคา ที่มีกำลังการผลิตสูงสุด 261 กิโลวัตต์ชั่วโมง ช่วยให้ผลิตไฟฟ้าได้มากถึง 50 % ของการใช้ไฟฟ้าทั้งหมด ภายในโชว์รูมกว้างขวางทันสมัย มี "Racing Line" พื้นที่จัดแสดงยนตรกรรมชั้นเลิศได้ถึง 8 คัน มีแสงธรรมชาติส่องผ่านเข้ามา ช่วยทำให้รถโดดเด่นยิ่งขึ้น
นอกจากนี้ ยังมีสิ่งอำนวยความสะดวกด้านดิจิทอลมากมาย รวมถึง Porsche Car Configurator พื้นที่ที่ออกแบบมาเพื่อใช้งานได้หลากหลาย เช่น Co-Working Space และการจัดกิจกรรมในโชว์รูม นอกจากนี้ ยังมีมุมสำหรับคอลเลคชันสินค้าไลฟ์สไตล์ของ Porsche ที่นำเข้าจากเยอรมนี ทั้งรถจำลอง เครื่องแต่งกาย และอุปกรณ์เสริมสุดเอกซ์คลูซีฟ ที่ช่วยให้ลูกค้าได้เติมเต็มจิตวิญญาณ Porsche ในทุกช่วงเวลา
Porsche Service Pattaya การฝึกอบรม และการให้บริการระดับพรีเมียม
Porsche Centre Pattaya พร้อมส่งมอบประสบการณ์ด้านบริการที่ครอบคลุมครบวงจรตอบโจทย์ผู้ใช้รถยนต์ Porsche ทุกรุ่น รองรับด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย และทีมงานที่ผ่านการฝึกอบรมขั้นสูง มั่นใจได้ว่ารถยนต์ของท่านจะได้รับการบำรุงรักษา และซ่อมแซมอย่างดีที่สุด
ภายในศูนย์บริการครบครันด้วยสิ่งอำนวยความสะดวก และเครื่องมือเฉพาะทาง อาทิ ห้องซ่อมแบทเตอรี สำหรับ Porsche EV แบทเตอรีแบบโมดูลาร์ ห้องซ่อมเครื่องยนต์-ระบบส่งกำลัง ระบบทดสอบไฟหน้าพร้อมระบบกล้อง เครื่องถ่วงล้ออัตโนมัติที่จำลองแรงเสียดทานจริง รวมถึงการตั้งศูนย์ล้อ 3D แบบออนไลน์ และเครื่องเปลี่ยนยางแบบไร้คานงัด โดยเครื่องมือทั้งหมดได้รับการรับรองมาตรฐานสูงสุดเหมือนกับศูนย์บริการ Porsche ทุกแห่ง นอกจากนี้ ยังมีการติดตั้งรอกยกแบบฝังใต้ดิน ทำให้สภาพแวดล้อมดูสะอาดตา และใช้พื้นที่อย่างคุ้มค่า สามารถเข้าถึงช่วงล่างของรถ และห้องโดยสารได้อย่างสะดวกสบาย โดยรอกแบบฝังใต้ดินนี้ยังปลอดภัย และมีความทนทานมากกว่าเมื่อเทียบกับรอกที่อยู่เหนือพื้นดิน บนชั้น 2 ของศูนย์บริการเป็นห้องทำสี และซ่อมตัวถังมาตรฐานโลก รับรองโดย VAS พร้อมห้องเชื่อมควบคุมอุณหภูมิ เพื่อการประมวลผลการซ่อมแซมตัวถังเหล็ก และอลูมิเนียม นอกจากนี้ ยังมีห้องเตรียมสีแบบปิด 2 ห้อง พื้นที่ทำงาน และห้องพ่นสีทันสมัย 2 ห้องที่พร้อมดูแลซ่อมแซม Porsche ทุกคัน อีกทั้งยังมีบริการเสริมหลากหลาย อาทิ การเคลือบสี ติดตั้งฟีล์มกันรอย (PPF) ฟีล์มกรองแสงสำหรับซันรูฟ และมูนรูฟ งานตกแต่งภายใน และการดูแลเบาะหนัง
ทีมงาน Porsche Service Pattaya รวบรวมทีมงานที่มีประสบการณ์สูงทั้งช่างเทคนิคที่มีทักษะ และผู้เชี่ยวชาญด้านตัวถัง และสี ที่ได้รับการฝึกอบรมด้านการดูแลรักษารถยนต์ Porsche โดยเฉพาะ ซึ่งพร้อมที่จะให้บริการลูกค้า Porsche ทุกคนในภาคตะวันออกของประเทศไทย
.....................................................................................................................
OR เผยผลประกอบการไตรมาสแรก 2568
OR เผยผลการดำเนินงานไตรมาส 1 ปี 2568 มีกำไรสุทธิ 4,380 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 46 % จากไตรมาสก่อน คิดเป็นกำไร/หุ้น 0.36 บาท และมี EBITDA จำนวน 6,484 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 32.7 % จากไตรมาสก่อน โดยเพิ่มขึ้นจากทุกกลุ่มธุรกิจ พร้อมเดินหน้าขยาย และสร้างความแข็งแกร่งของของธุรกิจ เพื่อสร้างการเติบโตร่วมกันอย่างยั่งยืน
หม่อมหลวงปีกทอง ทองใหญ่ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานของ OR ในไตรมาสแรกของปี 2568 มีรายได้ขาย และบริการ 182,422 ล้านบาท ลดลง 3,482 ล้านบาท หรือลดลง 1.9 % จากไตรมาสก่อนหน้า มีกำไรสุทธิ จำนวน 4,380 ล้านบาท ปรับตัวดีขึ้นจากไตรมาสก่อน 46 % และมี EBITDA จำนวน 6,484 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,597 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 32.7 % เมื่อเทียบกับไตรมาสที่แล้ว โดยเป็นการเพิ่มขึ้นจากทุกกลุ่มธุรกิจ โดยกลุ่มธุรกิจ Mobility เพิ่มขึ้น 39.6 % จากภาพรวมกำไรขั้นต้นเฉลี่ย/ลิตรที่ดีขึ้น กลุ่มธุรกิจ Lifestyle เพิ่มขึ้น 9.8 % จากเพิ่มขึ้นทั้งธุรกิจค้าปลีกอาหาร และเครื่องดื่ม และธุรกิจอื่นๆ เช่นเดียวกับกลุ่มธุรกิจ Global เพิ่มขึ้น 30.8 % จากการฟื้นตัวของผลประกอบการในประเทศฟิลิปปินส์ ส่วนภาพรวมของค่าใช้จ่ายดำเนินงานสุทธิลดลง
ทั้งนี้ ในไตรมาส 1 ที่ผ่านมา OR ยังคงขยายธุรกิจด้านไลฟ์สไตล์อย่างต่อเนื่อง ทั้งด้านสุขภาพ และความงาม (Health & Beauty) โดยล่าสุดขยายเครือข่ายร้าน Found & Found เป็น 10 สาขา ครอบคลุมทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด สะท้อนความแข็งแกร่งของรากฐานสำหรับการเติบโตในอนาคต โดยในปีนี้ เปิดสาขาใหม่ที่ PTT Station พระราม 4 The Glass Market บางนา และเดอะมอลล์ บางแค พร้อมวางเป้าหมายขยายเป็น 50 สาขา ภายในปี 2569 อีกทั้งยังได้จัดตั้งบริษัทย่อยเพื่อดำเนินธุรกิจ และการลงทุนที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจอาหาร และเครื่องดื่ม ซึ่งเป็นการเพิ่มศักยภาพในการแข่งขัน และสอดคล้องกับกลยุทธ์สร้างการเติบโตในธุรกิจ Lifestyle ในอนาคต นอกจากนี้ ยังได้เปิด Cafe Amazon Concept Store แห่งแรกในกัมพูชา ด้วยเมนูเครื่องดื่ม และอาหารที่รังสรรค์มาเป็นพิเศษให้แก่ผู้บริโภคชาวกัมพูชา พร้อมเสริมสร้างความเจริญเติบโตที่ยั่งยืนร่วมกับประเทศกัมพูชา ตามแนวคิด "They Grow-We Grow" ซึ่งเป็นแนวทางที่ OR ยึดถือในการดำเนินธุรกิจในต่างประเทศ และล่าสุด OR ได้รับการจัดอันดับเครดิทองค์กรที่ระดับ “AA+” จาก Tris Rating (Tris) ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิทคงที่ (Stable) ต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 สะท้อนถึงการบริหารสถานะทางการเงินที่เข้มแข็ง และความแข็งแกร่งของบริษัทในฐานะผู้นำตลาดค้าปลีกน้ำมันของประเทศ
หม่อมหลวงปีกทอง กล่าวเพิ่มเติมว่า OR จะมุ่งเน้นการขับเคลื่อนองค์กรอย่างรอบด้าน ด้วยการลงทุนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน โดยเฉพาะเทคโนโลยีดิจิทอล เพื่อเพิ่มความสามารถทางการแข่งขัน พร้อมทั้งหาโอกาสต่อยอดทางธุรกิจ และขยายเครือข่ายลูกค้า โดยการผนวกผลิตภัณฑ์ และการบริการทางการเงินของ Virtual Bank เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้มากยิ่งขึ้น และรองรับการเติบโตทางธุรกิจในอนาคตอย่างยั่งยืน
.........................................................................................................................
Volvo เตรียมเปิดศูนย์บริการแรกในไทย
วอลโว่ คาร์ (ประเทศไทย)ฯ ประกาศเตรียมความพร้อมเปิดศูนย์บริการแห่งแรกในประเทศไทย บริเวณพื้นที่ย่านบางบัวทอง ซึ่งจะบริหารงานโดย บริษัท นิวตัน เพรสทีจ ออโต จำกัด เพื่อขยายความสามารถในการให้บริการให้มีความครอบคลุม และรวดเร็วมากยิ่งขึ้น ยกระดับคุณภาพการบริการ และการซ่อมบำรุงหลังการขาย เพื่อเสริมความพึงพอใจให้แก่ลูกค้ามากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งลูกค้าในพื้นที่บางบัวทอง, ปากเกร็ด, นนทบุรี และบางใหญ่ โดยศูนย์บริการแห่งใหม่นี้คาดว่าจะพร้อมเปิดให้บริการได้ในไตรมาสที่ 3 ของปี
คริส เวลส์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท วอลโว่ คาร์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ตลอดระยะเวลาการดำเนินธุรกิจในประเทศไทย การนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพอันมาพร้อมเทคโนโลยีที่ล้ำสมัย และการยกระดับการบริการเพื่อสร้างความพึงพอใจอันสูงสุดแก่ลูกค้า เป็นเรื่องที่ Volvo (โวลโว) ให้ความสำคัญเสมอมา การเปิดศูนย์บริการแห่งแรกในประเทศไทย คือ การสานต่อความมุ่งมั่นดังกล่าว เพื่อมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดในการเป็นเจ้าของรถ Volvo ให้แก่ลูกค้า ผ่านการบริการที่รวดเร็ว สะดวกในการเข้าถึง เนื่องจากศูนย์บริการมีพื้นที่ที่ครอบคลุมยิ่งขึ้น ซึ่งศูนย์บริการแห่งนี้จะเป็นศูนย์นำร่อง และเราได้มีการวางแผนที่จะเปิดศูนย์บริการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องทั่วประเทศ”
ศูนย์บริการแห่งใหม่นี้ออกแบบมาเพื่อเสริมประสิทธิภาพการให้บริการที่สะดวก รวดเร็ว และครอบคลุมมากยิ่งขึ้น โดยลูกค้าสามารถนำรถเข้าไปรับบริการบำรุงรักษา และงานซ่อมทั่วไป จากช่างผู้ชำนาญการ ซึ่งผ่านการอบรมตามหลักสูตรที่มีมาตรฐานจาก Volvo โดยศูนย์บริการสาขาบางบัวทองนี้ ให้บริการบนพื้นที่ขนาด 3,200 ตรม. ซึ่งนอกเหนือจากการบำรุงรักษา และงานซ่อมแล้ว ศูนย์บริการดังกล่าวยังมีพื้นที่รับรองลูกค้า และพื้นที่จำหน่าย รถผู้บริหาร และรถออกศูนย์ที่ได้รับการรับรองตามมาตรฐานของ Volvo Car-Volvo Selekt Certified Used Cars โดยหลังจากเปิดบริการคาดว่าจะรองรับการให้บริการลูกค้าได้มากถึง 130-150 คัน/เดือน
.........................................................................................................................
Lenso เปิดตัวล้อแมกใหม่
บริษัท เลนโซ่ วีล จำกัด ผู้ผลิตล้อแมก เปิดตัวล้อแมกรุ่นใหม่ล่าสุด Lenso Jager Astra เน้นย้ำจุดยืนของแบรนด์ในฐานะผู้นำด้านนวัตกรรมล้อแมกที่ตอบโจทย์ทั้งดีไซจ์น สมรรถนะ และความต้องการของผู้บริโภครุ่นใหม่
พิชชา วีรพร Senior Marketing Manager บริษัท เลนโซ่ วีล จำกัด กล่าวว่า ล้อรุ่นใหม่ Jager Astra ได้รับแรงบันดาลใจจากดวงดาว ถ่ายทอดผ่านเส้นสายดีไซจ์นเฉียบคม และโครงสร้างที่ผลิตด้วยเทคโนโลยีล่าสุด LiteTech+ จาก Lenso เริ่มด้วยการออกแบบ และปรับแต่งล้ออย่างละเอียด (Design & Weight Optimization) จนลงตัว ผ่านโปรแกรม Finite Element จากนั้นจึงนำมาผลิตด้วยเทคนิค Flow Forming โดยใช้กระบวนการรีดที่อุณหภูมิต่ำ (Cold Form) ช่วยให้โครงสร้างของอนุภาคโลหะมีทิศทางการเรียงตัวที่เป็นระเบียบ ส่งผลให้ล้อมีความเบา แข็งแรง และทนทานต่อการใช้งานเป็นพิเศษ
ล้อ Jager Astra ได้รับการรับรองการผลิตมาตรฐานระดับโลก JWL+ จึงมีความมั่นใจในคุณภาพ โดยการรับประกันโครงสร้างล้อ 10 ปี และสีล้อ 2 ปี
จุดเด่นสำคัญของรุ่นนี้ คือ ฟังค์ชัน “Duo Look Design cap” ซึ่งเป็นระบบฝาแคพที่สามารถเปลี่ยนได้เองง่ายๆ เพียงเปิด หรือปิด เพื่อสลับสไตล์ของล้อระหว่างแนวหรูหรา (Luxury) และแนวสปอร์ท (Sport) ได้ตามต้องการ ถือเป็นนวัตกรรมที่เพิ่มความยืดหยุ่นในการแต่งรถให้หลากหลายมากยิ่งขึ้น
นอกจากนี้ Lenso ยังเชิญอินฟลูเอนเซอร์ชื่อดังในวงการยานยนต์ 3 ราย ได้แก่ “โน๊ต” จาก JS Racing ผู้เชี่ยวชาญด้านรถสปอร์ทหรูสมรรถนะสูง “ดรีม” จาก RaceSpec Wheel ที่ปรึกษาด้านล้อแมก และ Fitment และ “ส้ม” จาก AC Power ยูทูเบอร์สายแต่งรถผู้มีประสบการณ์สูง เพื่อเสริมความน่าเชื่อถือของผลิตภัณฑ์ พร้อมร่วมแลกเปลี่ยนแนวโน้มการแต่งรถในปี 2025 พร้อมทดลองเปลี่ยน Duo Look Design Cap ด้วยตนเอง และให้ความเห็นในเชิงเทคนิคเกี่ยวกับสมรรถนะ และดีไซจ์นของล้อ Jager Astra ซึ่งได้รับเสียงตอบรับในแง่บวก โดยเฉพาะเรื่องความง่ายในการปรับเปลี่ยน และน้ำหนักที่เบาเป็นพิเศษ
Jager Astra มีให้เลือก 6 สี ตามสไตล์การแต่งรถ ได้แก่ สีดำเงา, ดำด้าน, น้ำตาลไหม้, Hyper Black, Hyper Dark และ Bright Gold พร้อมรับประกันสี 2 ปี
