ธุรกิจ
สรยท. จัดเสวนา อนาคตอุตสาหกรรรมยานยนต์ไทย ปี พศ. 2569
สมาคมผู้สื่อข่าวรถยนต์และรถจักรยานยนต์ไทย (สรยท.) จัดเสวนาในหัวข้อ “อนาคตอุตสาหกรรรมยานยนต์ไทย ปี 2569 : นโยบาย ทิศทาง และการแข่งขัน” โดยมีวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิทั้งภาครัฐ และเอกชน ประกอบด้วย พธู ทองจุล ผู้อำนวยการ กองนโยบายอุตสาหกรรมรายสาขา 1 สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) กระทรวงอุตสาหกรรม, สุวัชร์ ศุภกาญจน์เดชากุล นายกสมาคมอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย (TAIA) และ รศ.ดร.ยศพงษ์ ลออนวล นายกสมาคมกิตติมศักดิ์ และที่ปรึกษา สมาคมยานยนต์ไฟฟ้าไทย (EVAT) ร่วมฉายภาพความเห็นการแข่งขันของตลาดยานยนต์ในประเทศไทยตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ ปลายน้ำ ที่จะเกิดขึ้นในปี 2569 ภายใต้เงื่อนไขทางภาษีต่างๆ จากภาครัฐที่กำลังจะเปลี่ยนแปลง และมีผลบังคับใช้ 1 มกราคม 2569 โดยมี สุรศักดิ์ จรินทร์ทอง นายกสมาคมผู้สื่อข่าวรถยนต์และรถจักรยานยนต์ไทย (สรยท.) หรือ Thai Automotive Journalists Association (TAJA) กล่าวรายงานถึงวัตถุประสงค์ของการจัดเสวนาในครั้งนี้ต่อ ขวัญชัย ปภัสร์พงษ์ ประธานจัดงาน “มหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 42” ประธานในพิธี, วิทยากร และสื่อมวลชน ณ ห้องจูปิเตอร์ 4-5 อาคารชาลเลนเจอร์ IMPACT เมืองทองธานี
ขวัญชัย ปภัสร์พงษ์ ประธานจัดงาน “มหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 42” กล่าวเปิดการสัมมนาว่า การเสวนา “อนาคตอุตสาหกรรรมยานยนต์ไทย ปี 2569 : นโยบาย ทิศทาง และการแข่งขัน” เป็นประเด็นสำคัญของผู้ที่อยู่ในแวงวงยานยนต์ทั้งผู้ผลิต ผู้ประกอบการ และผู้บริโภค ซึ่งเป็นช่วงที่อุตสาหกรรมยานยนต์ของไทยกำลังอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านครั้งใหญ่ ตั้งแต่เทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้า การลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ การปรับภาษี การเข้ามาของผู้ผลิตรายใหม่ รวมถึงการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้บริโภคที่ผันแปรไปตามปัจจัยแวดล้อมต่างๆ ที่เกิดขึ้น
“หากมองถึงยอดขายรถยนต์ 9 เดือน ปี 2568 ชี้ให้เห็นสัญญาณการฟื้นตัวอย่างช้า โดยมียอดขาย 478,000 คัน หรือเพิ่มขึ้นประมาณ 2 % ส่วนเดือนกันยายน 2568 มียอดขายเพิ่มขึ้น 48,350 คัน เพิ่มขึ้น 24 % จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า ซึ่งจะส่งผลดีต่อยอดขายรวมเติบโตขึ้นกว่าปีที่ผ่านมาพอสมควร การเสวนาครั้งนี้จะเป็นเวทีการแลกเปลี่ยนข้อมูลนำไปสู่การกำหนดนโยบาย และแนวทางการปฏิบัติได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันระดับภูมิภาค ระดับโลกได้อย่างรวดเร็ว และยั่งยืนอีกด้วย”
สุรศักดิ์ จรินทร์ทอง นายกสมาคมผู้สื่อข่าวรถยนต์และรถจักรยานยนต์ไทย (สรยท.) หรือ Thai Automotive Journalists Association (TAJA) กล่าวว่า “ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา อุตสาหกรรมยานยนต์มีความเปลี่ยนแปลงทั้งภาครัฐ และเอกชน ทั้งการปรับเปลี่ยนกฎข้อบังคับระเบียบกติกา มาตรการด้านภาษี ดังนั้น เพื่อให้ผู้อยู่ในอุตสาหกรรมยานยนต์ปรับตัวให้สอดคล้องกับสภาพตลาดที่เปลี่ยนไป สมาคมฯ จึงจัดเสวนาในหัวข้อ “อนาคตอุตสาหกรรรมยานยนต์ไทย ปี 2569 : นโยบาย ทิศทาง และการแข่งขัน” เพื่อเป็นเวทีแลกเปลี่ยนความรู้ มุมมอง ภาพรวม และชี้ทิศทางของอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย ที่กำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ทั้งนโยบายภาครัฐ เทคโนโลยี และการแข่งขันที่รุนแรง
“การเสวนาในครั้งนี้ได้รับเกียรติจากสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) กระทรวงอุตสาหกรรม, สมาคมอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย (TAIA) และสมาคมยานยนต์ไฟฟ้า ไทย (EVAT) มาเป็นวิทยากรให้ข้อมูลเชิงลึก ร่วมมองไปข้างหน้าถึงโอกาส และความท้าทายของอุตสาหกรรมยานยนต์ในปี 2569 และในปีต่อไป คิดว่าเวทีการเสวนาวันนี้จะเป็นประโยชน์กับทุกฝ่าย อีกทั้งสื่อมวลชน และผู้เข้าร่วมเสวนาครั้งนี้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งส่งต่อข้อมูลที่ถูกต้องสู่สาธารณะในวงกว้างต่อไป”
พธู ทองจุล ผู้อำนวยการกองนโยบายอุตสาหกรรมรายสาขา 1 สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) กระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวด้วยว่า ในปี 2569 อุตสาหกรรมยานยนต์ไทยมีผลกรทบทั้งทางบวก และทางลบอันเนื่องมาจากต้องการปรับโครงสร้างภาษีสรรพสามิต โดยจะมีผลตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2569 เป็นต้นไป ซึ่งแนวทางการปรับโครงสร้างภาษีใหม่ จะมีกรอบครอบคลุมตั้งแต่ขนาดของเครื่องยนต์ และประเภทของยานยนต์ไฟฟ้า (xEV), อัตราการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2), การใช้ชิ้นส่วนภายใสประเทศ, มาตรฐานความปลอดภัยของตัวรถ และการติดตั้งระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ขั้นสูง (ADAS) ซึ่งจะมีข้อกำหนดในการติดตั้ง ADAS แตกต่างกันไปตามประเภทรถยนต์ และได้รับอัตราภาษีที่แตกต่างกันไปด้วย ขณะที่รถยนต์ไฟฟ้า ตามโครงการ EV3.0 และ 3.5 ก็ให้อยู่ในข้อกำหนดตามมาตรการนั้นๆ
“ถ้ารถยนต์รุ่นใดไม่ร่วมโครงการ อาทิ รถยนต์ไฮบริด (HEV) เครื่องยนต์สันดาปภายในร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้าขนาดเล็ก (MHEV) จะต้องได้รับผลกระทบทางภาษีปรับขึ้นเป็นขั้นบันได หรือถ้าเข้าร่วมโครงการจะได้รับการลดหย่อนภาษีตามเงินลุงทุน, การใช้แบทเตอรี และการใช้ชิ้นส่วนภายในประเทศเข้ามาเป็นเงื่อนไขในการพิจารณาภาษี และระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ขั้นสูง (ADAS) ซึ่งในปี 2569 จะมีรถยนต์กลุ่มพิคอัพบางยี่ห้อเข้าเกณฑ์ได้รับอัตราภาษีใหม่ 2-3 % เท่านั้น ส่วนรถยนต์นั่งส่วนบุคคลเครื่องยนต์สันดาป (ICE) ก็มีบางรุ่นได้รับการปรับฐานภาษีใหม่ด้วย แม้สัดส่วนการลดหย่อนภาษีจะน้อยกว่ารถยนต์กลุ่มปิกอัพก็ตาม”
อย่างไรก็ตาม การปรับโครงสร้างภาษีรถยนต์ใหม่ในปี 2569 จะส่งผลดีกับการส่งเสริมการผลิตรถยนต์ในประเทศแล้ว ยังเป็นการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมรถยนต์ในประเทศไทยให้สอดคล้องกับอุตสาหกรรมยานยนต์โลกอีกด้วย ส่วนมาตรการกำจัดซากรถยนต์ไฟฟ้าและแบทเตอรียังอยู่ระหว่างกระบวนการออกมาตรการมารองรับปริมาณรถยนต์ไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นจำนวนมากในช่วงที่ผ่านมา
สุวัชร์ ศุภกาญจน์เดชากุล นายกสมาคมอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย (TAIA) กล่าวว่า ปัจจุบันประเทศไทยผลิตรถยนต์เป็นอันดับ 10 ของโลก ในปี 2567 ผลิตรถยนต์ลดลง 19.9 % ซึ่งผลิตได้เพียง 1.47 ล้านคัน ลดลงจากปี 2566 ประมาณ 23 % ขณะที่ประเทศจีนผลิตรถยนต์เพิ่มขึ้น 27 % โดยไทยได้เปลี่ยนนโยบายไปผลิตรถยนต์เพื่อการส่งออกแทนยอดขายภายในประเทศที่ลดลงในช่วงที่ทผ่านมา อันเนื่องประเทศจีนได้ก้าวเข้าสู่การผลิตรถยนต์สมัยใหม่ที่เป็นรถยนต์ไฟฟ้าอย่างรวดเร็ว
“ตลาดส่งออกของรถยนต์ 80 % ที่ผลิตจากประเทศไทยประกอบด้วย เอเชีย, ออสเตรเลีย/โอเชียเนีย และตะวันออกกลาง มีออสเตรเลียเป็นตลาดใหญ่ของพิคอัพที่ผลิตจากไทย ปัจจุบันเริ่มได้รับผลกระทบจากรถไฟฟ้าจีนบ้างแล้วจากการกำจัดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) เพราะพิคอัพ 99.5 % เป็นเครื่องยนต์สันดาป (ICE) ขณะที่รถยนต์นั่งอีก 33 % ก็ยังเป็นเครื่องยนต์สันดาป (ICE) จึงเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ประเทศไยต้องปรับกลยุทธ์ให้ส่งออกรถยนต์ให้มาขึ้นทดแทนตลาดในปะเทศ ทั้งนี้พฤติกรรมของผู้บริโภคก็เปลี่ยนไป เนื่องจากมีรถยนต์ทางเลือกมากขึ้น โดยพฤติกรรมการเลือกซื้อรถยนต์ในปัจจุบัน ผู้บริโภคให้ความสำคัญไปที่ค่าใช้จ่ายเชื้อเพลิง, สิ่งแวดล้อม และประสบการณ์การขับขี่รถยนต์ไฟฟ้า ส่วนข้อกังวลก็ยังมีเรื่องสถานีชาร์จแบทเตอรี เวลาที่ใช้ในการชาร์จ และราคาแบทเตอรี”
ทางด้านโครงการส่งเสริมตลาดรถยนต์ไฟฟ้า EV3.0 ใน 2 ปีแรกรัฐบาลส่งเสริมให้นำรถยนต์ไฟฟ้าสำเร็จรูป (CBU) เข้ามาจำหน่าย โดยสนับสนุน 150,000 บาท/คัน แต่ใน 2 ปีหลังให้ผู้นำเข้าผลิตรถยนต์ชดเชย 1:1 ซึ่งโครงการ EV 3.0 จะสิ้นสุดในวันที่ 31 ธันวาคม 2568 นี้ แต่รัฐบาลอนุโลมให้จดทะเบียนได้-31 มกราคม 2569 หลังจากนี้จะยังเหลือเพียงโครงการ EV3.5 ที่จะต้องเดินหน้าต่อไป
สำหรับแนวโน้มอุตสาหกรรมยานยนต์ของประเทศไทยในปี 2569 ตลาดยังมีดความเชื่อมโยงกับอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจ คาดว่าผลิตภัณฑ์มวลรวม (GDP) ในประเทศไทยปี 2568 จะอยู่ประมาณ 2.8 % หากมองไปถึงปี 2569 ผลิตภัณฑ์มวลรวม (GDP) ในประเทศไทยจะอยู่ประมาณ 2.4 % ขณะที่นโยบายส่งเสริมอุตสาหกรรมยานยนต์ของรัฐบาลส่งผลให้ราคารถยนต์นั่งปรับราคาขึ้นเล็กน้อย ส่วนรถยนต์พิคอัพราคาลดลงเล็กน้อย ภารกิจของรัฐบาลต้องเร่งเจรจาภาษีกับคู่ค้าให้ได้ภาษีรถยนต์ที่จะส่งออกที่เหมาะเพื่อให้รถยนต์จากไทยแข่งขันในตลาดโลกได้
“ตลาดรถยนต์ของไทยผูกกับการส่งออก เมื่อใดที่ไทยได้รับผลกระกับการส่งออกตลาดรถยนต์ก็จะได้รับผลกระทบไปด้วย นอกจากนี้อัตราดอกเบี้ยยังเป็นปัจจัยลบที่ส่งผลโดยตรงต่อกำลังซื้อภายในประเทศ ถึงอย่างไรก็ยังคาดว่า ตลาดรถยนต์ในปี 2569 จะเป็นบวกเล็กน้อย โดยเศรษฐกิจการเมืองมีผลกระทบกับตลาดรถยนต์โดยตรง อยู่ทีการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ และการเมืองของรัฐบาล”
รศ.ดร.ยศพงษ์ ลออนวล นายกสมาคมกิตติมศักดิ์ และที่ปรึกษาสมาคม สมาคมยานยนต์ไฟฟ้าไทย (EVAT) กล่าวถึงสถานการณ์ยานยนต์ไฟฟ้าว่า ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาได้มองเห็นความก้าวหน้าของยานยนต์ไฟฟ้าอย่างต่อเนื่อง ยานยนต์ไฟฟ้ามีข้อดีในเรื่องของการลดการใช้พลังงานจากน้ำมัน และยังใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ สามารถลดมลพิษ อีกทั้งยังช่วยแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมอีกด้วย และปัจจุบันรถยนต์ไฟฟ้าได้รับความนิยมจากผู้บริโภคชาวไทยมากขึ้น ตั้งแต่เดือนมกราคม -กรกฎาคม 2568 มีรถยนต์ไฟฟ้าจดทะเบียนคิดเป็นสัดส่วน 15.6 % ของตลาดในประเทศไทย ตั้งแต่มีรถยนต์ไฟฟ้าเข้ามาจำหน่ายในประเทศไทยปัจจุบันมียอดจะทะเบียน 229,562 คัน ส่วนหนึ่งเป็นผลจากโครงการ EV3.0 ทำให้ผู้ประกอบการรายใหม่นำรถยนต์ไฟฟ้าเข้ามาทำตลาดในประเทศไทยจำนวนมาก
“ตลาดรถยนต์ไฟฟ้าบ้านเรายังมีแนวโน้มการเติบโต แม้ที่ผ่านผู้บริโภคจะตอบรับจำนวนมาก สิ่งที่กังวลยังเป็นเรื่องสถานีชาร์จที่ยังไม่เพียงพอ ซึ่งรัฐบาลจะต้องส่งเสริมการลงทุน ปัจจุบันสถานีชาร์จในบ้านเรามี 3,800 แห่ง หรือประมาณ 10,000 ชาร์จ มีสัดส่วน 30 คัน/หัวชาร์จ แต่เป็นตลาดที่มีการแข่งขันรุนแรง ส่วนใหญ่อยู่ในกรุงเทพฯและปริมณฑล ซึ่งยังไม่ตอบโจทย์การเดินทางผู้ที่ใช้รถยนต์ไฟฟ้า”
สำหรับในปี 2568 มีทางรถยานยนต์ไฟฟ้าจากแบรนด์ต่างเข้ามาทำตลาดในประเทศไทยประมาณ 100 รุ่น ทำให้ตลาดมีการแข่งขันราคากันอย่างรุนแรง แต่มาตรฐานการพัฒนาแบทเตอรีระยะทางในการวิ่งต่อการชาร์จแบทเตอรีของแต่ละเซกเมนท์เริ่มนิ่ง ทำให้ผู้บริโภคมีความมั่นใจในการตัดสินใจ หลังจากนี้รถยนต์ไฟฟ้าจะก้าวเข้าสู่การแข่งขันสิ่งอำนวยความสะดวกสบายต่างๆ โดยตลาดรถยนต์ไฟฟ้านับจากนี้ไปจะอยู่ที่นโยบายด้านสรรพสามิตที่จะส่งผลให้มีการผลิตรถยนต์ไฟฟ้ามากขึ้น และมีการถ่ายทอดเทคโนโลยี และใช้ชิ้นส่วนในประเทศมากขึ้น











