"มหกรรมยานยนต์ปารีส" ครั้งล่าสุดที่ผมเพิ่งไปชมบรรดารถไฮบริด และรถพลังไฟฟ้า เริ่มกลายเป็นพระเอกของงาน ตามกระแสรักษาสิ่งแวดล้อม ที่พุ่งเป้าไปที่การกำจัดมลพิษซึ่งเกิดจากรถยนต์ฝรั่งเศสเป็นหนึ่งในประเทศที่มีปัญหาเรื่องมลพิษในอากาศสูง แม้รัฐบาลจะส่งเสริมให้ประชาชนใช้รถที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม โดยยอมจ่ายเงินคืนแก่ผู้ซื้อรถที่ปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ ต่ำกว่า 120 กรัม/กม. (มีข่าวว่าจะลด หรือเลิกชดเชยในเร็วๆ นี้) แต่ขณะเดียวกัน ก็ยังอุดหนุนราคาน้ำมันดีเซล ทำให้จำนวนรถเครื่องยนต์ดีเซลในปารีสขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ด้วยเหตุนี้เอง ปริมาณฝุ่นละอองในอากาศของกรุงปารีส ซึ่งเชื่อว่าส่วนใหญ่เกิดจากเขม่าควันของเครื่องยนต์ดีเซล จึงมีค่าสูงกว่าหลายๆ เมืองในยุโรป โดยวัดได้ถึง 147 ไมโครกรัม/ลูกบาศก์เมตร ขณะที่บรัสเซลส์ วัดได้ 114 ไมโครกรัม อัมสเตอร์ดัม 104 ไมโครกรัม เบร์ลิน 81 ไมโครกรัม และลอนดอน 78 ไมโครกรัม ทางการฝรั่งเศส พยายามแก้ปัญหานี้ด้วยการเปิดบริการรถขนส่งประชาชนฟรี และจัดระบบคาร์พูลรถพลังไฟฟ้า รวมถึงออกมาตรการใช้รถยนต์สลับวัน ในกรุงปารีส โดยให้ใช้รถได้เฉพาะวันคู่ และวันคี่ตามเลขท้ายป้ายทะเบียน เรื่องการใช้รถยนต์สลับวัน บ้านเราเคยคิดจะทำเหมือนกัน แต่ก็ต้องพับแผนเก็บไป เช่นเดียวกับมาตรการจำกัดการใช้รถส่วนตัวอื่นๆ รวมถึงแผนการแบ่งโซนเก็บค่าเข้าย่านธุรกิจ อย่างในสิงคโปร์ เนื่องจากไม่มีระบบขนส่งมวลชน รองรับอย่างเพียงพอ และถ้าอัตราความเร็วในการพัฒนาระบบขนส่งมวลชนบ้านเรายังอยู่ในระดับเต่าคลานแบบนี้ พนันได้เลยว่า มาตรการจำกัดรถยนต์ส่วนตัว หรือการรณรงค์ให้เลิกใช้รถชั่วครั้งชั่วคราว ไม่มีวันประสบความสำเร็จในเมืองไทย แม้แต่ในปารีส ที่เริ่มบังคับใช้มาตรการสลับวันมาตั้งแต่เดือนมีนาคม การจราจรที่นั่นตอนต้นเดือนตุลาคมก็ยังคงหนาแน่นอยู่เหมือนเดิม และผมไม่ทันได้สังเกตด้วยว่า เลขท้ายป้ายทะเบียนรถที่วิ่งอยู่บนท้องถนน ตรงกับวันคู่วันคี่ หรือเปล่า อย่างไรก็ตาม ถึงอากาศจะมีค่าฝุ่นละอองสูง รถราจะติดขัด และสองฟากฝั่งถนนชอง-เอลิเซ จะคลาคล่ำไปด้วยฝูงชน แต่ปารีส ยังคงเป็น "THE CITY OF LIGHT" มหานครที่ผมหลงรัก แบบจริงใจ จริงจัง และยั่งยืน เหมือนนโยบายท่านนายกตู่ ยังไงยังงั้น