นิคิ เลาดา เป็นคนแรกที่ทำให้ผม (ซึ่งตอนนั้นเพิ่งเป็นวัยรุ่น และสนใจแต่ฟุตบอล) ได้รู้ว่า โลกนี้มีการแข่งขันรถ “ฟอร์มูลา วัน” ก่อนที่จะรู้ว่า เมืองไทยมีนิตยสารรถยนต์ชั้นนำ ชื่อ “ฟอร์มูลา” เสียด้วยซ้ำอย่างไรก็ตาม เหตุที่ทำให้ผมรู้จักนักแข่งชื่อดังชาวออสเตรีย แห่งทีม แฟร์รารี ไม่ใช่เพราะการคว้าแชมพ์โลก “ฟอร์มูลา วัน” ครั้งแรกในปี 1975 แต่เป็นเพราะอุบัติเหตุร้ายแรงที่เกิดกับเขาในปีถัดมา ระหว่างการแข่งขันเยอรมนี กรองด์ปรีซ์ ในสนาม นืร์บวร์กริง ซึ่งเล่นงานเขาถึงขนาด “ลุกเป็นไฟทั้งตัว” กลายเป็นข่าวดังไปทั่วโลก แน่นอน เขาบาดเจ็บสาหัส และหมอลงความเห็นว่าไม่มีโอกาสรอด ลูกเมียเชิญบาทหลวงมาสวดส่งวิญญาณข้างเตียง แต่ปาฏิหาริย์ก็เกิดขึ้น เมื่อเขาไม่เพียงแต่ฟื้นคืนชีพ หากยังสามารถกลับลงสนามได้อีก ด้วยหูที่เหลือเพียงข้างซ้ายข้างเดียว พร้อมร่องรอยบาดแผลทั่วศีรษะ และใบหน้า แถมยังจบฤดูกาลนั้นด้วยตำแหน่งรองแชมพ์โลก โดยแพ้คู่ปรับ เจมส์ ฮันท์ ที่ขับเคี่ยวกันมาตลอดทั้งปี เพียงแต้มเดียว ! ที่น่าทึ่ง คือ ในปีถัดมา เลาดา ครองแชมพ์โลกได้อีกครั้ง จากนั้นเลิกขับไปพักใหญ่ ก่อนจะหวนคืนสนามกับทีม แมคลาเรน และคว้าแชมพ์โลกครั้งสุดท้ายสำเร็จในปี 1984 รวมเป็นแชมพ์ทั้งหมด 25 รายการ ก่อนแขวนถุงมือ (ส่วน เจมส์ ฮันท์ เสียชีวิตไปตั้งแต่ปี 1993 ในวัยเพียง 45 ปี) สังเวียน ฟอร์มูลา วัน สร้างนักแข่งระดับยอดฝีมือมาแล้วหลายคน ไม่ว่าจะเป็น ไนเจล แมนเซล ไอร์ทัน เซนนา อแลง พโรสต์ มิคาเอล ชูมาเคร์ ฯลฯ แต่ไม่มีใครได้รับการเล่าขานเป็นตำนานเท่า นิคิ เลาดา จากการรอดชีวิตหลังอุบัติเหตุรุนแรงอย่างเหลือเชื่อ และยังสามารถกลับมาครองแชมพ์โลกได้อีกถึง 2 ครั้ง แม้จะแข็งแกร่ง และทรหดสักเท่าใด ก็หนีสัจธรรมไม่พ้น นิคิ เลาดา เสียชีวิตในวัย 70 ปี เมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม ที่ผ่านมา ด้วยโรคเกี่ยวกับปอด ซึ่งเป็นผลสืบเนื่องจากการถูกไฟเผาผลาญ ในสนาม นืร์บวร์กริง เมื่อ 40 กว่าปีก่อน ใครที่คิดถึง หรือเกิดไม่ทัน แต่อยากรู้จัก นิคิ เลาดา มากขึ้น นอกจากคลิพในยูทูบแล้ว อยากแนะนำให้ชมภาพยนตร์เรื่อง RUSH (ปี 2013) ผลงานกำกับของ รอน โฮเวิร์ด ที่เล่าถึงห้วงเวลาแห่งโศกนาฏกรรม และการชิงชัยอันบ้าระห่ำ ระหว่าง เลาดา กับ ฮันท์ ในปี 1976 เพื่อเติมจินตนาการ และหาคำตอบว่า เหตุใด นิคิ เลาดา จึงเป็นอีกชื่อที่โลกจะไม่มีวันลืม