รายงาน(formula)
ซื้อ/ประมูลรถนำเข้า ทำอย่างไรไม่โดน “โจ้” ?!?
“รถหรูนำเข้า” กลายเป็นประเด็นร้อนทันที หลังเกิดคดี “ผู้กำกับโจ้” ดังนั้น ต่อไปนี้ ถ้าไม่อยากโดน “โจ้” หรือตกเป็นเหยื่อเครือข่ายมิจฉาชีพ ผู้ต้องการซื้อ หรือประมูลรถยนต์จากต่างประเทศ จำเป็นต้องศึกษา และปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัดซื้อรถนำเข้าให้ถูกกฎหมาย ผู้เชี่ยวชาญการนำเข้ารถหรูในประเทศไทย แนะนำว่า การซื้อ “รถหรูนำเข้า” อย่างปลอดภัย ไร้ปัญหา มีวิธีง่ายๆ คือ เลือกซื้อกับโชว์รูมรถที่ได้มาตรฐาน มีเงื่อนไขการรับประกัน และการบริการที่ชัดเจน รวมถึงเป็นสมาชิกสมาคมผู้นำเข้า และจำหน่ายรถยนต์ใหม่ พร้อมมีใบรับรองการนำเข้าจากกรมศุลกากร (แบบ 32) มาแสดง หรือซื้อจากการจัดประมูลรถของกลาง ประจำปี ของกรมศุลกากร โดยรถของกลางนี้สามารถจดทะเบียนกับกรมการขนส่งทางบกได้ เนื่องจากกรมฯ ได้ส่งรายละเอียดรถที่จะประมูลให้กรมการขนส่งทางบกตรวจสอบเรียบร้อยแล้ว ทั้งนี้ หากมีการประมูลรถไปแล้ว แต่ไม่สามารถจดทะเบียนได้ ภายในเวลา 5 เดือน สามารถนำรถที่ประมูลกลับไปที่กรมฯ เพื่อขอคืนเงินได้ ถอดบทเรียน “โจ้” รถหรูเกือบ 30 คัน ของ “ผู้กำกับโจ้” มีการตั้งข้อสังเกตว่าได้มาจากเครือข่าย GANG “ฟอกรถ” โดยอาศัยกระบวนการประมูล เริ่มจากการลักลอบนำเข้ารถหรูหลายช่องทาง ส่วนใหญ่จะซื้อจากตัวแทนจำหน่ายในประเทศเพื่อนบ้าน มาจอดทิ้งไว้ในฝั่งไทย แล้วแจ้งตำรวจยึดเป็นรถลักลอบนำเข้าผิดกฎหมาย จากนั้นชุดจับกุมจะส่งดำเนินคดี พอคดีสิ้นสุด กรมศุลกากรก็จะนำรถยนต์เหล่านั้นมาขายทอดตลาดด้วยวิธีการประมูล คนในวงการประมูลเผยว่า รถที่ขายทอดตลาดจะถูกถอดอุปกรณ์สำคัญออกไป เช่น กล่องสมองกล (ECU) เพื่อราคาจะได้ถูกลง โดยหน้าม้าของเครือข่ายจะประมูลไปใส่อุปกรณ์ แล้วขายต่อทำกำไร โดยรถที่ถูกประมูลไปเหล่านี้ สามารถนำเอกสารจากกรมศุลกากรไปยื่นจดทะเบียนเป็นรถยนต์ถูกกฎหมายได้ทันที นอกจากนี้ ยังมีผู้นำเข้ารถยนต์อิสระบางรายหาช่องทางในการนำเข้ารถหรูจากยุโรป ตามออร์เดอร์ของลูกค้าที่อยากได้ “รถหรูราคาถูก” ซึ่งในระยะหลัง จะมีบริษัทไฟแนนศ์ และบริษัทประกันภัยเข้ามาอยู่ในขบวนการด้วย โดยเพิ่มบริการ “ไฟแนนศ์เทอร์โบ” เพื่อดึงดูดลูกค้า รถประมูลมาจากไหน ? รถที่นำมาประมูลแบ่งเป็น 4 ประเภท ดังนี้ 1. รถจากสถาบันการเงิน ที่ยึดมาขายทอดตลาด 2. รถอุบัติเหตุรุนแรง เรียกง่ายๆ ขายซากนั่นเอง 3. รถปลดระวางจากบริษัท หรือหน่วยราชการ 4. รถของกลาง คือ รถที่โดนตำรวจยึดมา หรือนำเข้าผิดกฎหมาย ส่วนมากจะเป็นรถสปอร์ทหรู มาตรการสกัดขบวนการค้ารถหรู 1. ลดรางวัลนำจับ แต่เดิมรัฐจะจ่ายรางวัลนำจับ ให้แก่ สายลับในอัตรา 30 % ผู้จับกุม 25 % ของเงินที่ได้จากการขายทอดตลาด หรือค่าปรับ ปัจจุบันมีการแก้กฎหมายรางวัลนำจับ (ตาม พรบ. ศุลกากร 2560 และระเบียบกรมศุลกากรว่าด้วยการจ่ายเงินสินบน และรางวัล พศ. 2560 มีผลเมื่อ 13 พฤศจิกายน 2560) โดยปรับสูตรจ่ายแบบมีเพดานขั้นสูง ให้สายลับ 20 % ของราคารถที่ประมูลได้ แต่ไม่เกิน 5 ล้านบาท ผู้จับกุม 20 % แต่ไม่เกิน 5 ล้านบาท 2. กรมการขนส่งทางบกเข้มงวดในการจดทะเบียนรถมากขึ้น โดยก่อนที่กรมศุลกากรจะนำรถยนต์ออกขายทอดตลาด รถทุกคันต้องจดทะเบียนกับกรมการขนส่งทางบกซึ่งจะถูกตรวจสอบข้อมูลอย่างเข้มงวด เช่น สอบประวัติการแจ้งหายกับตำรวจสากล (อินเตอร์โพล) สอบถามการนำเข้าชิ้นส่วน หากมีก็จะตีเป็นรถจดประกอบ ทำให้จดทะเบียนไม่ได้ 3. ประกาศกระทรวงพาณิชย์ เมื่อวันที่ 13 มิถุนาย 2562 กำหนดให้รถยนต์ใช้แล้ว รวมถึงรถจักรยานยนต์ เป็นสินค้าที่ต้องห้าม หรือต้องขออนุญาตในการนำเข้ามาในราชอาณาจักร พศ. 2562 รถที่นำเข้ามาแบบผิดกฎหมาย ทุกคันจะต้องทำลายทิ้งสถานเดียว ห้ามนำออกไปขายทอดตลาด ทุกวันนี้รถยนต์ที่กรมศุลกากรนำออกประมูล จึงเป็นรถยนต์ตกค้างก่อนปี 2562 ซึ่งเหลือไม่มากแล้ว 4. ปรับกติกาใหม่ โดยรถที่กรมศุลกากรนำออกขายทอดตลาด ต้องสามารถขับขี่ได้ รถที่อุปกรณ์ไม่ครบ ขับเคลื่อนไม่ได้ จะไม่ถูกนำขายทอดตลาดเด็ดขาด กรมศุลกากร ยันไม่นำรถไม่สมประกอบออกประมูล พชร อนันตศิลป์ อธิบดีกรมศุลกากร เผยว่า หากตรวจสอบรถของกลางพบว่ามีอุปกรณ์ที่เป็นสาระสำคัญของรถยนต์ เช่น กล่องสมองกล (ECU) หายไป กรมฯ จะไม่นำรถคันนั้นมาประมูล นอกจากนี้ ระบบการประมูลต้องโปร่งใส โดยให้ประชาชนทั่วไปสามารถเข้าร่วมประมูลได้ และกรมฯ ไม่ได้ดำเนินการประมูลเอง แต่มอบหมายให้บริษัทมืออาชีพด้านการประมูลเข้ามาดำเนินการ พร้อมประกาศให้บุคคลทั่วไปทราบล่วงหน้า อย่างน้อย 15 วัน และให้ผู้สนใจสามารถเข้ามาดูรถได้ก่อนการประมูล โดยการประมูลครั้งล่าสุด เมื่อปี 2563 กรมฯ ได้เปิดให้มีการประมูลออนไลน์ด้วย ยกเลิกจดทะเบียนรถผิดกฎหมาย จบคดีรถหรู ? หลังมีการอุดช่องโหว่ในหลายเรื่อง ปัจจุบันกรมศุลกากรตรวจพบรถยนต์ผิดกฎหมายเฉลี่ยน้อยกว่า 100 คัน/ปี ซึ่งรวมถึงรถที่อยู่ในประเทศแล้วถูกจับ เนื่องจากเป็นพาหนะที่ใช้ในการกระทำความผิด โดยตั้งแต่ปี 2563 เป็นต้นมา กรมศุลกากร ร่วมมือกับกรมการขนส่งทางบก ยกเลิกการจดทะเบียนรถยนต์ที่ลักลอบนำเข้า และยกเลิกการประมูลด้วย ขณะนี้ยังมีรถของกลางค้างอยู่ราว 600-700 คัน จะทำลายก็ไม่ได้ เนื่องจากไม่มีกฎหมายรองรับ เพราะเป็นรถที่ผิดกฎหมายก่อนปี 2562 ก่อนที่กระทรวงพาณิชย์จะออกประกาศเรื่อง กำหนดให้รถยนต์ใช้แล้วเป็นสินค้าที่ต้องห้าม หรือต้องขออนุญาตในการนำเข้ามาในราชอาณาจักร พศ. 2562 ซึ่งกำหนดให้กรมศุลกากรทำลายรถยนต์ที่นำเข้าผิดกฎหมาย จึงยังไม่ได้ข้อสรุปว่า จะทำอย่างไรกับรถของกลางผิดกฎหมายเหล่านี้ ง่าย แถมชัวร์ ! 2 วิธีตัดปัญหาซื้อรถผิดกฎหมาย 1. ตรวจสอบเอกสารกับตัวรถ ตรวจสอบข้อมูลรายละเอียดในเล่มทะเบียนรถว่าตรงกับตัวรถหรือไม่ เช่น ยี่ห้อ รุ่น ปี เลขเครื่อง เลขตัวถัง เลขทะเบียน สี ฯลฯ 2. ตรวจสอบกับกรมการขนส่งทางบก เพื่อความมั่นใจสูงสุดว่า รถมือสองคันที่คุณจะซื้อนั้นเป็นรถที่ถูกกฎหมาย สามารถซื้อ/ขาย โอนเปลี่ยนชื่อเจ้าของได้ ไม่ใช่รถที่เคยนำไปก่อคดี ให้นำเลขทะเบียนไปตรวจสอบกับกรมการขนส่งทางบก เชครถสวมป้ายทะเบียน กรณีรถมือสอง ตัวรถ และเอกสารรถต้องตรงกัน ทั้งยี่ห้อ สี หมายเลขรถ หมายเลขตัวเครื่อง ป้ายวงกลม ป้ายทะเบียน ซึ่งต้องสังเกตให้ดี แผ่นป้ายทะเบียนจริง ด้านหน้าจะมีตัวเลข 10 หลัก ซึ่งกรมการขนส่งทางบกจะยิงด้วยเลเซอร์อยู่มุมล่างซ้ายมองเห็นชัดเจน พร้อมลายน้ำสัญลักษณ์ตรากรมการขนส่งทางบกทั้งแผ่นป้าย รวมถึงตัวอักษร ขส. ปั๊มนูนที่มุมล่างขวา กรณีรถหรูนำเข้า ต้องซื้อกับบริษัทนำเข้ารถยนต์ที่ถูกต้องตามกฎหมายและราคาไม่ควรถูกเกินจริง หากราคาถูกมากๆ ตั้งข้อสังเกตไว้เลยว่า นำเข้าแบบผิดกฎหมาย ให้นำเล่มทะเบียนไปตรวจสอบความถูกต้องกับกรมการขนส่งทางบก และตรวจสอบรถผิดกฎหมายกับกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) ห้ามนำเข้ารถใช้แล้ว ประกาศกระทรวงพาณิชย์ พศ. 2562 ห้ามนำรถยนต์ใช้แล้วเข้าประเทศ รวมถึงรถใช้แล้วที่มีอายุเกิน 100 ปี (รถโบราณ) เว้นแต่ รถยนต์ที่นำมาจัดแสดง หรือรถยนต์ของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ องค์กรสาธารณกุศล รถยนต์ที่นำเข้าโดยผู้มีเอกสิทธิ์ทางการทูต รถยนต์ที่นำเข้าตามแผนการป้องกันและบรรเทาภัยพิบัติ รถยนต์เพื่อการศึกษาและวิจัย และรถยนต์ที่นำเข้าเพื่อปรับสภาพการส่งออก เป็นต้น 7 ขั้นตอนประมูลรถยนต์ 1. ผู้เข้าร่วมประมูลต้องจ่ายมัดจำค่าป้ายหมายเลขผู้ประมูลด้วยเงินสด หรือแคชเชียร์เชค จำนวน 20,000 บาท ถ้าประมูลไม่ได้ สามารถรับเงินมัดจำคืนได้ทันทีโดยไม่หักค่าใช้จ่าย 2. ผู้ซื้อต้องตรวจสภาพรถยนต์ และข้อมูลต่างๆ ที่ตัวรถก่อนประมูล (ควรนำผู้เชี่ยวชาญมาช่วยตรวจสอบสภาพรถ) 3. หากผู้เข้าร่วมประมูลต้องการขอสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ ให้ติดต่อเจ้าหน้าที่ก่อนการประมูล 4. หากผู้ซื้อต้องการประมูลรถยนต์ ให้ยกป้ายหมายเลขประมูลเท่านั้น โดยราคาประมูลจะเริ่มต้นจากราคากลาง (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม 7 %) ซึ่งโฆษกจะปรับราคาขึ้นครั้งละ 2,000 บาท กรณีที่ราคากลางต่ำกว่า 1 ล้านบาท และจะปรับราคาขึ้นครั้งละ 10,000 บาท กรณีที่ราคากลาง 1 ล้านบาทขึ้นไป (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม 7 %) 5. ผู้เสนอซื้อรถยนต์ในราคาสูงสุดจะเป็นผู้ชนะการประมูล 6. ผู้ชนะการประมูลต้องลงลายมือชื่อในเอกสารหลักฐานการประมูล พร้อมกับชำระเงินราคารถที่จบประมูล + ภาษีมูลค่าเพิ่ม 7 % + ค่าดำเนินการเริ่มต้นคันละ 9,000 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) และค่าใช้จ่ายอื่นๆ ซึ่งจะมีข้อมูลแจ้งให้ทราบในใบรายการ 7. ผู้ประมูลตรวจสอบสภาพรถยนต์ และอุปกรณ์ต่างๆ ภายหลังการประมูล โดยจะมีใบตรวจสภาพรถให้เป็นหลักฐานเพื่อใช้ยืนยันในวันรับรถ ภาษีรถนำเข้าคิดอย่างไร ? กรมศุลกากรจะใช้ราคา CIF หรือ COST+INSURANCE+FREIGHT ซึ่งคือ ราคาขายของรถ รวมค่าอากร ค่าประกันภัย และค่าขนส่งจากต่างประเทศมาถึงที่ท่าเรือ ประเทศไทย เป็นฐานในการคำนวณภาษีรถยนต์นำเข้า ราคา CIF จะถูกกำหนดไว้ในเอกสารการนำเข้าอย่างชัดเจน โดยภาษีที่ต้องจ่ายประกอบด้วย 1. อากรขาเข้า ภาษีแรกที่ผู้นำเข้าต้องจ่าย ณ ท่าเรือก่อนนำรถออกจากท่าเรือ ในอัตรา 80 % ของราคา CIF 2. ภาษีสรรพสามิต ซึ่งกรมศุลกากรจะเก็บภาษีนี้พร้อมกับอากรขาเข้า ในอัตราต่างกันตั้งแต่ 30-50 % ขึ้นอยู่กับความจุกระบอกสูบ หรือขนาดเครื่องยนต์ เช่น รถยนต์ขนาดไม่เกิน 2,000 ซีซี จัดเก็บในอัตรา 30 % ของราคา CIF 3. ภาษีเพื่อมหาดไทย อัตรา 10 % ของภาษีสรรพสามิต เพื่อส่งให้กระทรวงมหาดไทยนำไปบริหารประเทศ 4. ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) 7 % ของราคา CIF+อากรขาเข้า+ภาษีสรรพสามิต+ภาษีมหาดไทย
ABOUT THE AUTHOR
ก
กองบรรณาธิการบทความและสารคดี formula
ภาพโดย : ฝ่ายภาพ, อินเทอร์เนทนิตยสาร 399 ฉบับเดือน พฤศจิกายน ปี 2564
คอลัมน์ Online : รายงาน(formula)