เรื่องเด่นจาก GADGET/HOW IT WORKS
SKI CAR ไม่มีอะไรเป็นไปไม่ได้ เมื่อคุณนำรถไปใส่รองเท้าสเกท
หลังจากพุ่งฝ่าหิมะในรัฐไวโอมิง NISSAN 370 ZKI (นิสสัน 370 สกี) ได้เปิดตัวที่ลานสกีในงาน CHICAGO AUTO SHOW ปี 2018 ชื่อรุ่นออกเสียงว่า 370 ZKI (370 สกี) ซึ่งแสดงให้โลกเห็นว่าจะเกิดอะไรขึ้น เมื่อคุณนำพลังของรถสปอร์ทมารวมเข้ากันกับความคล่องตัวของสโนว์โมบิล
ตัวถัง 370 ZKI นั้นเป็น 1 ในรุ่น Z ดั้งเดิมของ NISSAN ที่เปิดตัวครั้งแรกในชื่อ 240 Z เมื่อปี 1969 รุ่น Z ตั้งแต่นั้นมาได้มีการอัพเกรดหลายอย่างรวมถึงรุ่นเฉพาะสำหรับฤดูหนาวนี้ด้วยเช่นกัน NISSAN ได้ใช้สตอคโรงงาน 370 Z ROADSTER (370 เซด โรดสเตอร์) โดยนำล้อออกแล้วถูกแทนที่ด้วยสกี และสายพานด้านหลัง การติดตั้งชิ้นส่วนใหม่เข้าไปนั้น ระบบขับเคลื่อนทั้งหมดที่เชื่อมต่อเพลากับล้อของรถถูกนำออกทั้งหมด และถูกแทนที่ด้วยระบบเฉพาะ ส่วนระบบเบรคดั้งเดิมของ ROADSTER ยังคงไว้ แต่ชุดท่อไอเสียถูกย้ายที่เพื่อให้พอดีกับช่วงล่างใหม่
นอกจากนี้ ซุ้มล้อด้านหลังยังได้รับการปรับปรุงเพื่อรองรับสายพานความยาวประมาณ 1 ม. สำหรับวิ่งบนหิมะขนาดใหญ่ ส่วนล้อคู่หน้าถูกเปลี่ยนเป็นแกนสกีคู่ที่บังคับได้ของ AMERICAN TRACK TRUCK, INC.
ย้อนกลับไปเมื่อปี 2016 นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ NISSAN นำรถไปเปลี่ยนโฉมต้อนรับหน้าหนาว
NISSAN เคยเปลี่ยนล้อทั้ง 4 ของ NISSAN ROGUE (นิสสัน รก) เป็นสายพานทรงสามเหลี่ยมแบบเดียวกับ 370 ZKI และจัดแสดงที่งาน MONTREAL INTERNATIONAL AUTO SHOW ในปี 2016 รถสามารถวิ่งบนหิมะได้ด้วยความเร็วประมาณ 99.78 กม./ชม.
NISSAN 370 ZKI นับเป็นแรงบันดาลใจให้เจ้าของซูเพอร์คาร์หลายรายดัดแปลงรถของตัวเองด้วยการติดสายพานหิมะ เช่น TESLA MODEL 3 (เทสลา โมเดล 3) ในปี 2020 และ LAMBORGHINI AVENTADOR (ลัมโบร์กินี อเวนตาโดร์) เมื่อต้นปีที่ผ่านมา
เมื่อปี 2018 370 ZKI กำลังแล่นไปตามทางลาดของรัฐไวโอมิงอย่างสบายๆ
บนภูมิประเทศที่เป็นหิมะ สามารถเปลี่ยนยาง ทดแทนด้วยสายพาน 370 ZKI จึงไม่มีปัญหาเรื่องการยึดเกาะอีกต่อไป
NISSAN 370 ZKI จากรถสปอร์ทเปลี่ยนร่างเป็นสโนว์โมบิล
รู้หรือไม่ ? JOSEPH-ARMAND BOMBARDIER นักประดิษฐ์สโนว์โมบิล ได้สร้างรถลุยหิมะคันแรกของเขาตั้งแต่อายุ 15 ปี
สายพาน
สายพานหิมะสำหรับงานหนัก ทำขึ้นจากเหล็ก T1 สุดแกร่ง น้ำหนักข้างละ 80 กก.
สกี
สกีด้านหน้าได้รับการออกแบบพิเศษเพื่อให้เข้ากันกับความสูงของสายพานด้านหลังยาว 1.4 ม. เพื่อรองรับตัวรถ
ตัวถัง
NISSAN 370 Z ROADSTER รุ่นที่มีหลังคาผ้าเปิดประทุน ใช้ตัวถังหลัก
ไฟหน้า
เพื่อคงความเป็นรถสปอร์ทไว้ ไฟหน้าถูกทำเป็นสีเหลือง เปรียบเสมือนแว่นตาของนักเล่นสกี
เครื่องยนต์
370 ZKI ใช้เครื่องยนต์ 3.7 ลิตร DOHC V 6 ดั้งเดิมของ ROADSTER ซึ่งให้กำลังถึง 332 แรงม้า
ความสูง
เพื่อรองรับสายพานหิมะตัวใหม่ รถทั้งคันถูกยกสูงขึ้นกว่า 7 ซม. เพื่อรองรับสายพานหิมะตัวใหม่
ในปี 2016 NISSAN แปลงโฉมรถรุ่น ROGUE ให้เป็นสโนว์โมบิลมาแล้ว
ใส่รองเท้าสเกทของคุณเลย
NISSAN ไม่ได้เป็นเพียงเจ้าเดียวที่สนุกกับการแปลงโฉมรถยนต์ให้เป็นรถลุยหิมะ ระบบที่เป็นนวัตกรรมใหม่ อย่างเช่น TRACK N GO ได้เข้ามาช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถตกแต่งรถของคุณเพื่อต้อนรับฤดูหนาวเช่นเดียวกับการสวมรองเท้าสเกท รถของคุณสามารถเคลื่อนเข้าสู่ระบบ TRACK N GO ได้โดยใช้ทางลาดขนาดเล็ก และยึดติดเข้ากันกับล้อ เมื่อล้อรถหมุน สายพานด้านล่างก็จะหมุนตามไปด้วย ระบบยังมีการติดตั้งแรงอัดอากาศ หมายความว่า หากสายพานเข้าปะทะกับสิ่งกีดขวาง เช่น เนินหิมะ แรงกระแทกจะถูกดูดซับไว้ และตัวรถจะเคลื่อนที่ผ่านไปได้อย่างง่ายดาย สายพานเหล่านี้ ทำให้รถทำความเร็วได้ประมาณ 40.23 กม./ชม. บนพื้นหิมะ หรือ 59.54 กม./ชม. บนพื้นแข็ง ระบบนี้ยังมีบริการช่วยเหลือ และกู้ภัยฉุกเฉินในพื้นที่หิมะอีกด้วย
โลดแล่นไปกับรถที่เร็วที่สุดในโลก
ไม่มีรถคันไหนที่จะเร็วไปกว่า THRUST SSC นี่คือ เรื่องราวเบื้องหลังความเร็วที่ทำลายทุกสถิติ
เรียบเรียงโดย : MIKE JENNINGS
คุณอาจคิดว่าตัวเองขับรถเร็วบนถนนมอเตอร์เวย์ แต่ไม่มีอะไรที่จะมาเทียบกับ THRUST SSC (ธรัสต์ เอสเอสซี) ได้ เจ้าอสูรร้ายที่มีถิ่นกำเนิดจากอังกฤษคันนี้กลายเป็นรถขับเร็วที่สุดในโลกเมื่อวันที่ 15 ตุลาคม 1997 และมันก็เร็วมากเสียจนไม่มีรถคันไหนเทียบได้ตั้งแต่นั้นมา
THRUST SSC ทำความเร็วสูงสุดได้ถึง 1,227.98 กม./ชม. และกลายเป็นยานพาหนะทางบกคันแรกที่ทำความเร็วเหนือเสียงได้ และที่ไม่น่าเชื่อก็คือ นั่นเป็นการทำลายสถิติครั้งที่ 2 ของ THRUST SSC โดยมันทำลายสถิติของตัวเองที่ทำไว้เมื่อเดือนก่อนหน้านี้ที่ความเร็ว 1,149.30 กม./ชม.
ไม่น่าแปลกใจเลยว่า ทำไมรถคันนี้ถึงได้เป็นกระแส เครื่องยนต์ ROLLS-ROYCE ถูกดึงมาจากเครื่องบินขับไล่ของกองทัพอากาศ เพื่อให้ได้เสียงคำราม และกำลังมากถึง 102,000 แรงม้า ซึ่งมากกว่ารถครอบครัวธรรมดาถึง 670 เท่า THRUST SSC ทำความเร็วได้ 965.61 กม./ชม. ในเวลาเพียง 16 วินาที ก่อนที่จะเร่งทำความเร็วสูงสุดเป็นประวัติการณ์
THRUST SSC ถูกสร้างขึ้นในปี 1996 และทดสอบใน JORDAN แต่การวิ่งทำลายสถิตินั้นเกิดขึ้นที่ทะเลทราย BLACK ROCK ใน NEVADA เป็นสถานที่ที่ใช้เวลาขับรถไปไกลมาก แต่ก็สมเหตุสมผล: ทะเลทรายเคยเป็นแอ่งน้ำโบราณที่เรียกว่าทะเลสาบ LAHONTAN และปัจจุบันพื้นผิวของมันก็ราบเรียบ และเป็นดินแดนแห้งแล้งหมดแล้ว มันเรียบเนียน มั่นคง และเข้ากันได้ดีกับล้อโลหะแข็งพิเศษของ THRUST SSC
ทีมออกแบบนำโดย RICHARD NOBLE, RON AYERS, GLYNNE BOWSHER และ JEREMY BLISS ผู้อำนวยการโครงการ RICHARD NOBLE นักขับของ THRUST 2 ซึ่งเป็นพาหนะความเร็วทางบกที่เคยสร้างสถิติไว้ก่อนหน้านี้ THRUST SSC ส่วนนาวาอากาศเอก ANDY GREEN ผู้ขับ THRUST SSC เคยเป็นนักบินเครื่องบินรบของกองทัพอากาศ ดังนั้นเขาจึงคุ้นเคยกับพาหนะความเร็วสูงอยู่แล้ว จึงพูดได้เต็มปากว่า พวกเขารู้ว่ากำลังทำอะไรอยู่
THRUST SSC ถูกจัดแสดงต่อสื่อก่อนจะทำลายสถิติในปี 1997
รู้หรือไม่ ? CHUCK YEAGER ทำความเร็วเหนือเสียงได้โดยเครื่องบิน เป็นเวลา 50 ปี 1 วัน ก่อน SSC จะทำได้บนพื้นดิน
สำรวจ THRUST SSC
มันเป็นรถที่เร็วที่สุดเท่าที่เคยสร้างมา อะไรทำให้ THRUST SSC ความเร็วนรกได้ขนาดนี้ ?
พวงมาลัย
รถที่ทำลายสถิติคันนี้ควบคุมด้วย JET-STYLE แบบเดียวกับเครื่องบินเจท
จมูกปลายแหลม
อากาศพลศาสตร์ มีความสำคัญมากเมื่อใช้ความเร็วสูง และจมูกปลายแหลมของ SSC ช่วยในการแหวกอากาศได้เป็นอย่างดี
RICHARD NOBLE และ ANDY GREEN คือ 2 บุคคลสำคัญที่อยู่เบื้องหลัง SSC
แรงกดกับตัวรถ
ปีกหลังของ THRUST SSC จะสร้างแรงกดรถไว้ที่พื้น (DOWNFORCE) และช่วยให้รถนิ่งขึ้นเมื่อใช้ความเร็วสูง
ร่มช่วยเบรค
ร่มชูชีพขนาดใหญ่สามารถสร้างแรงดึงกลับได้มากถึง 400, 500 ตัน เพื่อช่วยชะลอความเร็วให้ THRUST SSC หลังจากทำความเร็วเพิ่มเพื่อทำลายสถิติ
ควบคุมอาการลื่นไถล
ล้อหลังที่ส่ายไปมาของรถนั้นควรจะต้องทำให้น้อยลง แต่จริงๆ แล้วมันทำให้เกิดความไม่มั่นคงในการขับขี่
ห้องคนขับแบบปิด
ห้องคนขับใน THRUST SSC นั้นเล็ก, คับแคบ และไม่ได้ทันสมัยอะไรมากมาย ล้อมรอบด้วยแป้นหมุน และปุ่มต่างๆ มากมาย
บูสต์ทรงพลัง
เครื่องยนต์ 2 เครื่องของ THRUST SSC มีน้ำหนักตัวละ 1,856 กก. และพวกมันเป็นเครื่องยนต์ที่พบได้ในเครื่องบินขับไล่ F-4 PHANTOM II
น้ำมันเต็มถัง
THRUST SSC กินเชื้อเพลิง 18 ลิตร/วินาที อัตราสิ้นเปลือง 0.01 กม./ลิตร
ประวัติศาสตร์ความเร็ว
63.15 กม./ชม.
1898
GASTON DE CHASSELOUP-LAUBAT ขับ JEANTAUD DUC ขนาด 36 แรงม้า เป็นพาหนะทางบกที่สร้างสถิติความเร็วครั้งแรก
105.87 กม./ชม.
1899
CAMILLE JENATZY ควบ LA JAMAIS CONTENTE รถแข่งคันแรกที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อทำความเร็ว และเป็นความพยายามครั้งแรกในการทำอัตราเร่งได้ถึง 96.56 กม./ชม
202.68 กม./ชม.
1909
สถิตินี้เกิดขึ้นที่ BROOKLANDS ใน SURREY และความพยายามจับเวลาแบบอีเลคทรอนิคเป็นครั้งแรก
235.22 กม./ชม.
1924
MALCOLM CAMPBELL ทำลายสถิติด้วย SUNBEAM 350 HP และในที่สุดเขาก็สามารถรักษาสถิติไว้ได้ถึง 8 ครั้ง
327.96 กม./ชม.
1927
HENRY SEGRAVE ขับ SUNBEAM MYSTERY ที่ชายหาด DAYTONA และเป็นรถคันแรกที่ทำความเร็วได้มากกว่า 321.86 กม./ชม.
484.62 กม./ชม.
1935
ครั้งแรกที่สถิติถูกทำลายบนที่ราบลานเกลือ BONNEVILLE ใน UTHA และหลังจากนั้นสถานที่นี้ได้กลายเป็นสนามทำลายสถิติยอดนิยม
655.72 กม./ชม.
1963
THE SPIRIT OF AMERICA ใช้เครื่องไอพ่นในการทำสถิติใหม่ แต่ด้วยความซับซ้อนของกฎหมาย จึงไม่ได้รับการรับรองว่าเป็นการทำสถิติอย่างเป็นทางการจนกระทั่งในภายหลัง
648.72 กม./ชม.
1964
DONALD CAMPBELL ทำสถิตินี้ด้วย BLUEBIRD-PROTEUS CN 7 เป็นสถิติสุดท้ายที่ทำได้ก่อนที่เครื่องไอพ่นจะกลายเป็นของธรรมดา 1,001.66 กม./ชม.
1,001.66 กม./ชม.
1970
GARY GABELICH ทำลายสถิติด้วยรถที่ชื่อว่า BLUE FLAME เป็นยานพาหนะที่ขับเคลื่อนด้วยจรวดเพียงคันเดียวที่อยู่ในสถิติ
1,019.47 กม./ชม.
1983
RICHARD NOBLE เป็นผู้ขับ THRUST 2 ทำสถิติความเร็วที่ทะเลทราย BLACK ROCK รถของเขาใช้เครื่องยนต์ไอพ่นของ ROLLS-ROYCE เพียงตัวเดียว
การขับขี่ที่ความเร็ว 1,227.92 กม./ชม. มันเป็นอย่างไรกัน ?
ANDY GREEN ผู้ขับ THRUST SSC มีมุมมองเรื่องการเดินทางด้วยความเร็วสูงที่ไม่เหมือนใคร ในขณะที่เขากำลังทำความเร็วเหนือเสียงในยานพาหนะความเร็วสูงนั้น GREEN อธิบายว่ามันจะเกิด “เสียงหวีดที่ดัง และสูงที่สุดเท่าที่ผมเคยได้ยินมา” และเมื่อคุณกำลังอยู่ที่ความเร็วระดับนั้น “ล้อจะเหินข้ามพื้นผิว และคลื่นกระแทกจะสร้างแรงปะทะที่ไม่เท่ากันออกมา” เมื่อรวมมันเข้ากันกับลมที่พัดผ่านมาจึงไม่แปลกใจเลยที่ “รถจะสไลด์ไปทั่วสนาม”
ที่จริงแล้ว รถจะถูกดึงไปทางด้านซ้ายระหว่างการเร่งความเร็ว ดังนั้น GREEN จึงต้องดึงพวงมาลัยไปทางขวา 90 องศา เพื่อให้รถยังวิ่งเป็นเส้นตรงต่อไปได้ การพยายามทำลายสถิติเกิดขึ้นประจำใน NEVADA สถานที่ที่เหมาะกับการขับขี่ด้วยความเร็วสูง
BLOODHOUND ได้ทำการทดสอบไปแล้ว แต่โครงการถูกพักไว้ชั่วคราวหลังประสบปัญหาด้านการเงิน
คู่แข่งรายใหม่ทำลายสถิติความเร็วสูงสุดของยานยนต์ทางบกได้ที่ความเร็วมากกว่า 1,609.34 กม./ชม. ?
RICHARD NOBLE ผู้อำนวยการโครงการของ THRUST SSC ได้สร้าง และขับ THRUST 2 ซึ่งเป็นรถที่ทำสถิติความเร็วทางบกตั้งแต่ปี 1983- 1997 THRUST 2 นั้นไม่ธรรมดาเลย มันมีกำลังถึง 30,000 แรงม้า จากเครื่องยนต์ JET ตัวเดียว
NOBLE ยังไม่พอใจกับ THRUST SSC ทว่าโครงการล่าสุดของเขาก็ยังไม่เป็นไปตามแผนเช่นกัน เขาช่วยพัฒนา BLOODHOUND SSC ซึ่งเป็นรถที่มีเป้าหมายว่าจะทำความเร็วให้ได้มากกว่า 1,000 ไมล์/ชม. AYERS ต้องกลับเข้ามามีส่วนร่วมอีกครั้ง และ GREEN ก็เป็นคนขับพาหนะความเร็วสูงนี้อีกครั้งเช่นกัน
BLOODHOUND ได้ทำการทดสอบที่แอฟริกาใต้ในปี 2019 แต่การระบาดของ COVID-19 เข้ามาช่วงชิงโอกาสในการวิ่งรถของทีมไป และโครงการก็ไม่มีเงินทุนเหลือพอที่จะสานต่อเครื่องยนต์ที่อาจทำความเร็วให้พวกเขาได้ถึง 1,609.34 กม./ชม.
น่าเศร้าที่โครงการต้องถูกพับไป รถก็ถูกนำไปขาย นอกเสียจากจะมีใครสักคนที่ไม่รู้จะเอาเงินไปเก็บไว้ที่ไหนนำมาสานต่อ และพวกเขาคงจะทำความเร็วได้ถึง 1,609.34 กม./ชม. ได้ไม่ช้าก็เร็ว
ภายในของเบาะนั่งมีอะไร ?
เป็นมากกว่าที่รองก้นของคุณ เพราะเทคโนโลยีของเบาะนั่งช่วยเพิ่มความสะดวกสบาย และความปลอดภัยให้ผู้ขับขี่
คุณรู้สึกอย่างไรเมื่อได้ทดลองขับรถยนต์ หรือนั่งบนที่นั่งผู้โดยสาร ? สิ่งแรกที่หลายคนจะรู้สึกได้โดยอัตโนมัติ คือ ความสะดวกสบาย ในฐานะที่เป็นหนึ่งในคุณสมบัติหลักที่สำคัญของรถที่ควรต้องพิจารณา เมื่อเราต้องเลือกรถที่เหมาะกับการเดินทางไกล เบาะนั่งได้ถูกพัฒนาให้ท่าทางในการขับขี่ของเราอยู่ในท่าที่สมบูรณ์แบบ และรองรับทุกตำแหน่งของร่างกายที่มีการเกร็งมากที่สุด
การเลือกใช้วัสดุนั้นมีผลอย่างมากต่อความรู้สึกของการเดินทางด้วยรถยนต์ โดยทั่วไปแล้ว ที่นั่งควรจะมีสัดส่วนอยู่ที่ประมาณ 6 % ของมวลรถทั้งหมด ผู้ผลิตพยายามอย่างต่อเนื่องในการใช้วัสดุน้ำหนักเบาชนิดใหม่ๆ ที่จะช่วยในเรื่องการประหยัดน้ำมัน ตัวเลือกในการใช้วัสดุน้ำหนักเบาสำหรับเบาะนั่งที่คัดสรรมาแล้ว เช่น พลาสติคเสริมเส้นใยคาร์บอน, แมกนีเซียม และอลูมิเนียมที่มีความแข็งแรงสูงจะช่วยลดน้ำหนักของเบาะนั่งบางส่วนได้มากถึง 30 % เมื่อเทียบกับการผลิตเบาะนั่งส่วนใหญ่ที่ใช้โครงเหล็กชิ้นเดียว
องค์ประกอบที่สำคัญที่ต้องพิจารณาไม่ว่าจะเป็นการออกแบบส่วนไหนของรถก็ตาม คือ ความปลอดภัย และความสะดวกสบายของเบาะนั่งก็สามารถสัมพันธ์กับความปลอดภัยได้โดยตรง จุดมุ่งหมายของผู้ขับขี่คือ การดึงความสนใจทั้งหมดไปยังถนนที่อยู่ด้านหน้า หากขาเริ่มปวด และหลังเริ่มแข็ง มันอาจเป็นเรื่องยากที่จะไม่ให้สิ่งเหล่านี้เข้ามามีผลต่อคุณภาพในการขับขี่ของคุณ
สรุปว่า ตั้งแต่เทคโนโลยีที่อยู่เบื้องหลังทำให้เบาะนั่งสามารถมอบให้ทั้งความหรูหรา และความปลอดภัย
รัดเข็มขัดไปกับเบาะนั่งแห่งอนาคต
หากคุณเป็นคนขับที่ต้องใช้เวลาหลายชั่วโมงนั่งอยู่หลังพวงมาลัย ในอนาคตที่นั่งของคุณจะคุ้นเคยกับคุณเหมือนกับที่คุณคุ้นเคยกับมัน เบาะนั่งแบบ BIOMETRIC SEATS กำลังอยู่ในระหว่างการพัฒนา เป้าหมายเพื่อตรวจสอบความตึงเครียดของผู้ขับขี่ในระหว่างการเดินทาง เซนเซอร์ที่มีปฏิกิริยาตอบสนองไวจะเก็บข้อมูลทางสรีระไว้ เช่น อุณหภูมิร่างกาย, การหายใจ และอัตราการเต้นของหัวใจ รวมถึงการเคลื่อนไหวของร่างกายขณะนั่งบนที่นั่ง เช่น การขยับตัวแก้เมื่อยระหว่างการขับขี่ที่ยาวนาน ด้วยข้อมูลทั้งหมดนี้ เบาะนั่งอัจฉริยะจะแจ้งเตือนผู้ขับขี่ทันที หากข้อมูลที่รวบรวมมาได้นั้นบอกว่า มีส่วนใดส่วนหนึ่งกำลังอยู่ภายใต้แรงกดที่มากเกินไป และจะส่งผลกับการขับขี่ที่ปลอดภัย
เมื่อการขับขี่อัตโนมัติเป็นที่แพร่หลาย วิศวกรก็กำลังวางแผนจะออกแบบเบาะนั่ง ที่สามารถตรวจจับได้ว่าบุคคลที่กำลังนั่งอยู่นั้นกำลังขับรถเองหรือไม่
BIOMETRIC CAR SEAT สามารถตรวจจับความเหนื่อยล้าได้โดยการสังเกตจากอัตราการเต้นของหัวใจ และการทำงานของกล้ามเนื้อ
พนักพิงศีรษะของเบาะรถยนต์ถูกคิดค้นขึ้นในปี 1921
ภายใต้ที่นั่ง
ส่วนประกอบเหล่านี้ทำงานอย่างไร ในการช่วยรองรับแผ่นหลังของคุณ ?
พนักพิงศีรษะ
ส่วนนี้ของที่นั่งจะช่วยจำกัดการเคลื่อนไหวของศีรษะในระหว่างเกิดการชน และป้องกันการสะบัด พนักพิงศีรษะที่เคลื่อนไหวเองได้จะเคลื่อนที่ไปข้างหน้าโดยอัตโนมัติทันทีที่มีแรงกระแทก เพื่อลดระยะห่างระหว่างศีรษะ และเบาะนั่ง
การระบายอากาศ
เบาะนั่งถูกทำขึ้นโดยใช้วัสดุตาข่ายที่มีการซึมผ่านได้ เพื่อมีช่องให้อากาศถ่ายเท เบาะนั่งบางประเภทจะมีเครื่องปรับอากาศที่มีพัดลมภายในช่วยเป่าลมผ่านเข้าไป
เพิ่มความร้อน
เบาะนั่งบางประเภทจะติดตั้งคอยล์ร้อนไว้ด้านล่าง เมื่อกระแสไฟฟ้าไหลผ่านตัวที่นั่ง ตัวคอยล์จะต้านทานการไหลผ่านแรงเสียดทานที่เกิดขึ้นจากปฏิกิริยานี้จะก่อให้เกิดความร้อน
รองรับต้นขา
ส่วนล่างของที่นั่งจะมีเบาะ เพื่อรองรับต้นขาของคุณ และส่วนนี้จะถูกยกสูงขึ้น เพื่อป้องกันไม่ให้คุณถลามาข้างหน้าเมื่อมีการเบรค
รองรับส่วนเอว
ที่นั่งมักจะมีส่วนโค้งเพื่อให้พอดีกับช่วงหลังด้านล่างของคุณ ส่วนนี้สามารถปรับให้ตรงกับสรีระของแต่ละคนได้
เบาะด้านข้าง
รองรับส่วนหลัง ส่วนด้านข้างโค้งไปด้านหน้า เพื่อโอบรับช่วงลำตัว และประคองให้ผู้ขับขี่นั่งตัวตรง
ตัวปรับสไลด์
ในการปรับระยะห่างระหว่างที่นั่งกับพวงมาลัย คันโยกจะปลดตัวลอคที่ลอคเก้าอี้กับราวเหล็ก เพื่อให้ผู้ขับขี่สามารถเลื่อนเก้าอี้ไปด้านหน้า หรือถอยหลังได้
ABOUT THE AUTHOR
H
HOW IT WORKS
ภาพโดย : HOW IT WORKSนิตยสาร 399 ฉบับเดือน พฤษภาคม ปี 2565
คอลัมน์ Online : เรื่องเด่นจาก GADGET/HOW IT WORKS
คำค้นหา