รอบรู้เรื่องรถ
คุณรู้หรือไม่ ? น้ำมันเบรค ไม่ใช่น้ำมัน
ผมเขียนเรื่องน้ำมันเบรคไปครั้งสุดท้าย น่าจะหลายปีมาแล้วครับ มานึกขึ้นได้ว่าควรจะเขียนเรื่องนี้อีก ก็ตอนที่เห็นโฆษณาชวนเชื่อในทำนองว่าบางตราใช้แล้วทำให้รถของเราเบรคได้ดีขึ้น รวมทั้งคำถามของผู้ใกล้ชิด เรื่องการเลือกใช้ และกำหนดเปลี่ยนถ่ายด้วย
มารู้จักหน้าที่ของมันกันก่อนครับ น้ำมันเบรคเป็นของเหลว มีหน้าที่หลักในการส่งแรงจากแม่ปั๊มเบรค ที่มีขาและแป้นเหยียบ ต่อยื่นมาให้เราใช้แรงขาและเท้าในการควบคุมแรงเบรค ไปยังก้ามเบรค ของเบรคแบบจาน ที่ล้อหน้าของรถยุคนี้ หรือไปยังกระบอกเบรคของเบรคแบบดุม ที่ล้อหลังของรถพิคอัพทุกรุ่นและรถเก๋งบางรุ่น แรงที่ว่านี้ ถูกส่งไปในรูปของความดันในเนื้อของน้ำมันเบรค ถ้าพิจารณากันอย่างเคร่งครัดแล้ว “น้ำมันเบรค” ไม่ใช่น้ำมัน (OIL) ครับ
ผมเชื่อว่าสาเหตุที่คนไทยเรียกมันว่าน้ำมันเบรค เพราะมันมีความคล้าย คือ มีความข้นพอสมควร อย่างน้อยก็ข้นกว่าน้ำ แล้วเอามือจับดู ก็มีความลื่นคล้ายน้ำมัน ถ้าเราดูชื่อเรียกน้ำมันเบรคในภาษาอื่นๆ ที่ค่อนข้างคุ้นเคย จะไม่มีคำว่าน้ำมันครับ เขาจะเรียกว่าของเหลว หรือ ของไหล (FLUID) แต่ถ้าจะให้ผมตั้งชื่อมันใหม่ ยอมรับว่าตั้งไม่ได้ครับ ก็เลยขอใช้ชื่อนี้ต่อไปเช่นเดิม
น้ำมันเบรคเป็นของเหลว ที่มีไกลคอล-อีเธอร์ เป็นฐาน มีเหตุผลสำคัญมาก ที่ไม่มีการนำของเหลวจำพวกน้ำมัน (OIL) มาใช้เป็นน้ำมันเบรค นั่นคือ อุณหภูมิของน้ำมันเบรคขณะถูกใช้งาน โดยเฉพาะที่ก้ามเบรคหน้าสูงเกิน 100 องศาเซลเซียส ถ้าใช้น้ำมันเบรคที่เป็นน้ำมัน แล้วมีน้ำหลงเข้าไปในระบบ ซึ่งเรารู้กันอยู่แล้วว่า น้ำมีความหนาแน่นมากกว่าน้ำมัน และจะไม่ละลายในน้ำมันด้วย น้ำก็จะไปอยู่ที่จุดต่ำสุดปลายทาง คือ ก้ามเบรค และจะเดือดเมื่ออุณหภูมิถึงจุดเดือด คือ ประมาณ 100 องศาเซลเซียส สูงหรือต่ำกว่าบ้าง ขึ้นอยู่กับความดัน และเมื่อน้ำแปรสภาพเป็นไอน้ำปนอยู่กับน้ำมันเบรค น้ำมันเบรคจะไม่สามารถส่งแรงในรูปของความดันไปให้ลูกสูบในก้ามเบรคได้เลยครับ เมื่อเราเหยียบเบรค ความดันที่เพิ่ม จะทำให้ไอน้ำกลับกลายสภาพเป็นของเหลวหรือน้ำ เป็นการหดตัว หรือลดปริมาตรของมันลงอย่างมาก แป้นเบรคจึงยุบจนถึงพื้นรถโดยไม่เกิดความดัน ถึงจะ “ย้ำ” แป้นเบรคแบบที่เชื่อกันว่าช่วยได้ ก็ไม่มีประโยชน์ครับ เพราะพอเราถอนเท้าขึ้นจากแป้นเบรค ความดันที่มีอยู่นิดหน่อยเท่านั้น ก็จะลดลงอีก น้ำก็จะแปรสภาพเป็นไอตามเดิม
สมมติว่าเราสามารถมองผ่านท่อน้ำมันเบรคได้ ก็จะเห็นฟองไอน้ำเต็มไปหมด ถ้าสภาพที่ว่านี้เกิดที่ล้อหน้า เราก็จะเหลือเพียงเบรคของล้อหลังเท่านั้น ที่ยังทำงานได้ตามปกติ เพราะฉะนั้นคุณสมบัติที่สำคัญของน้ำมันเบรคข้อแรก ก็คือ ต้องยังทำหน้าที่ได้อย่างสมบูรณ์ แม้จะมีน้ำปนอยู่ นี่คือสาเหตุที่ไม่มีการนำน้ำมันมาใช้เป็น “น้ำมันเบรค” ตั้งแต่เริ่มมีการใช้ระบบเบรคแบบไฮดรอลิค (ที่ทำงานโดยอาศัยของเหลวเป็นตัวกลางส่งแรง) นี้
คุณสมบัติอื่นที่น้ำมันเบรคต้องมี คือ ต้องมีจุดเดือดสูง คือ ไม่เดือดง่ายเมื่อร้อนนั่นเอง และต้องมีความหนืด หรือความข้น เหมาะแก่การใช้งานในทุกสภาวะ คือ ไม่ใสเกินไปเมื่อร้อน และที่สำคัญต้องไม่ข้นมากเมื่อเย็นจัด ลองนึกถึงรถที่อยู่ในประเทศใกล้ขั้วโลกดูนะครับ
ต้องไม่ทำให้โลหะเกิดการกัดกร่อนโดยเฉพาะเหล็ก ต้องถูกน้ำมันเบรคแล้วไม่เกิดสนิม
ต้องไม่หดตัวเมื่ออยู่ภายใต้ความดันสูง ข้อนี้เป็นเรื่องง่ายครับ เพราะเป็นคุณสมบัติของของเหลวเกือบทุกชนิดอยู่แล้ว
และข้อสุดท้ายต้องหาง่าย ผลิตง่าย และราคาไม่สูงเกินไป เราก็เลยได้น้ำมันเบรคที่มีไกลคอล-อีเธอร์เป็นพื้นฐาน พร้อมกับต้องยอมรับเอาสิ่งที่ไม่ต้องการมาด้วยบ้าง เช่น คุณสมบัติในการ “กัด” หรือละลายสารหลายอย่างได้ด้วย เวลาเติมน้ำมันเบรค หรือทำงานเกี่ยวกับระบบเบรค จึงต้องระวังไม่ให้กรด กระเด็นถูกส่วนของตัวถังรถที่เคลือบสีไว้
คุณสมบัติของน้ำมันเบรค ถูกแบ่งตามมาตรฐานของกรมการขนส่งของสหรัฐอเมริกา หรือชื่อย่อ DOT ภายใต้มาตรฐานของสมาคมวิศวกรยานยนต์ของสหรัฐอเมริกา หรือ SAE ของยุโรปก็มีมาตรฐานเป็นของตนเองเหมือนกันครับ แต่ไม่แพร่หลายเท่า มีตัวเลขกำกับหลังคำว่า DOT ระดับที่ใช้กันอยู่ทั่วไป คือ DOT 3 DOT 4 และ DOT 5.1 ซึ่งสำหรับใช้กับระบบเบรคที่มีอุณหภูมิสูงมาก ไม่ถึงขั้นที่จะต้องหามาใช้กับรถของเรา เพราะไม่ได้ใช้งานหนักเป็นพิเศษครับ ส่วน DOT 5 นี่ มีความพิเศษหน่อย คือ เป็นแบบที่ใช้ซิลิโคนเป็นพื้นฐาน อย่าเพิ่งไปสนใจครับ และจะเอามาผสมกับ 3 แบบแรก ไม่ได้เด็ดขาด พูดง่ายๆก็คือ ถ้าหยิบมาดู แล้วเห็นคำว่า DOT 5 เฉยๆ ไม่มี .1 ตามหลัง รีบวางคืนไปเลยครับ
มาตรฐานน้ำมันเบรคที่สำคัญ แบ่งตามจุดเดือด หรืออุณหภูมิสูงสุดที่ยังทำงานได้ ทั้งตั้งแต่ยังไม่มีน้ำเข้าไปละลายปะปนในเนื้อเลย เราเรียกว่าจุดเดือดแห้ง กับเมื่อมีน้ำละลายปนอยู่ 3.7 % โดยวัดปริมาตร เราเรียกว่าจุดเดือดเปียก ดังนี้
น้ำมันเบรคระดับใด เหมาะกับรถของเรา ดูได้ที่ฝาของถ้วยน้ำมันเบรคครับ กับในคู่มือประจำรถแต่ละรุ่น ข้อสำคัญ อย่าใช้น้ำมันเบรคมาตรฐานสูงเกินกว่าที่ผู้ผลิตรถ (หรือผู้ผลิตระบบเบรค) เขากำหนดไว้ครับ ไม่ใช่แค่เปลืองเงิน แต่อาจจะมีผลเสียตามมา เช่น คู่มือกำหนดให้ใช้แบบ DOT 3 แต่ใส่ DOT 4 แทน ชิ้นส่วนที่เป็นยางอาจเสื่อมเร็ว เมื่อถูกน้ำมันเบรค DOT 4 ยิ่ง DOT 5 ยิ่งมีปัญหามากครับ ใครจะใช้ต้องใช้มาตั้งแต่ต้น ถ้าเปลี่ยนจากที่เคยใช้ DOT 4 ต้องล้างน้ำมันเบรคเก่าให้เกลี้ยง หรือไม่ก็รื้อเป็นชิ้นส่วนออกมาทำความสะอาดก่อน เพราะความเหลวพื้นฐานเป็นคนละประเภท
มีคำถามว่า DOT 3 กับ DOT 4 ปนกันได้ไหม ถ้าจำเป็น หาไม่ได้ ต้องใช้แทน ไม่มีปัญหาครับ แต่คุณสมบัติที่ดีจะลดลงไป เมื่อแก้ปัญหาเฉพาะหน้าเสร็จแล้ว ควรถ่ายทิ้ง แล้วใช้น้ำมันเบรคที่ “ถูกต้อง” เติมใหม่ทั้งหมด
ต้องเปลี่ยนน้ำมันเบรคบ่อยแค่ไหน ?
ถ้าเราอ่านในคู่มือ มักจะกำหนดระยะเวลาใช้งานไว้ 1 ถึง 2 ปี จากประสบการณ์ของผม ไม่ควรเกิน 1 ปีครับ ค่าใช้จ่ายก็น้อยมาก เพียงไม่กี่ร้อยบาท วิธีเปลี่ยนที่ดี ไม่ว่าจะทำเอง หรือจ้างช่างทำก็ตาม ต้องไม่ให้อากาศเข้าไปในระบบ โดยดูดน้ำมันเบรคในถ้วยให้หมด แล้วเติมน้ำมันเบรคใหม่จนเต็มถ้วย จากนั้นไล่น้ำมันเบรคเก่าออกทีละล้อ โดยสังเกตจากสีของน้ำมันที่ต่างกัน วิธีนี้จะง่ายประหยัดเวลา และไม่ทำความสึกหรอให้กับแม่ปั๊มด้วย แค่เหยียบ 10 กว่าครั้ง น้ำมันเบรคใหม่ก็มาถึงก้ามเบรคแล้วครับ แม้จะเป็นล้อไกลที่สุด ผมเห็นช่างซ่อมนิยมคลายสกรู ปล่อยน้ำมัน เบรคออกทั้ง 4 ล้อพร้อมกัน โดยไม่เติมน้ำมันเบรคใหม่ ทั้งระบบจึงมีแต่อากาศ จากนั้นช่างจะปิดสกรู เติมน้ำมันเบรคลงถ้วย แล้วเริ่มทำการไล่อากาศ หรือที่เรียกกันว่า “ไล่ลม” เหยียบแป้นเบรคกัน ล้อละเป็น 100 ครั้ง กว่าจะครบทุกล้อ แหวนยางครูดกับผนังกระบอกแม่ปั๊มเบรคจนสึก คราวนี้ถึงจะไม่มี “ลม” หรืออากาศในระบบแล้ว ก็อาจมีอาการเบรคจม เกิดการเถียงกันระหว่างช่างกับเจ้าของรถ ว่าก่อนเปลี่ยนน้ำมันเบรค ไม่เห็นเป็นอะไร พอเปลี่ยนเสร็จมาบอกว่า แม่ปั๊มเบรคเสียแล้ว
ทำไมต้องเปลี่ยนน้ำมันเบรค ?
ถึงไม่มีสิ่งแปลกปลอมเข้ามาปะปนได้ แต่น้ำมันเบรคก็เสื่อมสภาพไปตามกาลเวลาครับ เมื่อถูกความร้อน แต่ที่สำคัญกว่าก็คือ มีน้ำปนอยู่ในน้ำมันเบรค เพิ่มขึ้นตามอายุของมัน ถ้าเป็นรถยุคหลาย 10 ปีก่อน ที่ฝาถ้วยน้ำมันเบรค จะมีรูระบายอากาศอยู่ น้ำมันเบรคจึงเผชิญกับความชื้นในอากาศโดยตรง มันจะดูดไอน้ำหรือน้ำ เข้าไปในเนื้อมันตลอดเวลา เป็นคุณสมบัติไม่พึงประสงค์ ที่เราต้องยอมรับครับ ก็เพราะเราต้องการของเหลว ที่สามารถละลายเป็นเนื้อเดียวกับน้ำที่หลงเข้าไปในระบบนี่ครับ ชื่อคุณสมบัตินี้ทางวิชาการ คือ ไฮโกรสกอพิค (HYGROSCOPIC) แปลง่ายๆ คือ ชอบน้ำ หรือ รักน้ำ ทำนองนี้แหละครับ คือ เจอน้ำเมื่อไร ดูดเข้าหาตัวทันที ถึงแม้รถรุ่นใหม่จะมีแผ่นยางกั้นที่ฝาถ้วยน้ำมันเบรค แต่ไอน้ำซึ่งอยู่ในสถานะแกส ก็ยังซึมผ่านได้ครับ
อีกที่ที่ไอน้ำซึมผ่านอยู่ตลอดเวลา คือ ท่ออ่อนเบรคของแต่ละล้อ หรือแต่ละเพลา ถ้าไม่ใช่ล้ออิสระ อาจจะมีใครบอกว่า ถ้าไม่ใช้งานหนัก น้ำมันเบรคจะไม่มีทางเดือด จนมีอาการเบรคจม หรือ เวเพอร์ลอค (VAPOUR LOCK) เพราะถึงจะมีน้ำปนอยู่ จุดเดือดก็ยังอยู่แถวๆ 150 องศาเซลเซียส ก็จริงอยู่ครับ แต่น้ำที่ละลายอยู่ในน้ำมันเบรค จะทำให้กระบอกแม่ปั๊มเบรค ลูกสูบและภายในของก้ามเบรคเป็นสนิม โดยเฉพาะที่ผนังด้านในของแม่ปั๊มเบรค พอเกิดสนิมผิวจะเป็นรูพรุน มีขอบรูหรือหลุมคมมาก และจะครูดแหวนยาง (ช่างจะเรียกว่าลูกยาง) จนสึก น้ำมันเบรคเล็ดลอดผ่านได้ อาจเกิดอาการ “เบรคจม” คือ เหยียบแป้นเบรคจนยันพื้นแล้วไม่เกิดแรงเบรคครับ ซึ่งอันตรายมาก
ส่วนวิธีตรวจระดับน้ำมันเบรคในถ้วยน้ำมันเบรค แต่ถ้าจะให้แน่ใจเปิดฝาดูครับ ถ้าไม่อยากมือเลอะ มองด้านนอกอาจผิดพลาดได้ เพราะมีฝุ่น หรือคราบจับ หรือไม่เนื้อของถ้วยอาจขุ่นฝ้าไปตามกาลเวลา ให้ใช้ไฟฉายส่องสวนทางกับทิศที่เรามองครับ ระดับน้ำมันเบรคจะลดลง ตามความสึกหรอของผ้าเบรค แต่ถ้าพร่องเร็วผิดปกติ แสดงว่ามีการรั่วที่ใดที่หนึ่ง และอาจไม่มีร่องรอยให้เราเห็นเลยก็ได้ เช่น รั่วที่แม่ปั๊มเบรค น้ำมันเบรคจะไหลย้อนออกมาขังอยู่ในหม้อลมเบรคได้เหมือนกันครับ
มาตรฐาน | จุดเดือดแห้ง (องศา เซลเซียส) | จุดเดือดเปียก (องศา เซลเซียส) |
DOT 3 | 205 | 140 |
DOT 4 | 230 | 155 |
DOT 5 | 260 | 180 |
DOT 5.1 | 270 | 191 |
เรื่องโดย : เจษฎา ตัณฑเศรษฐี
ภาพโดย : อินเตอร์เนท
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน กันยายน ปี 2566
คอลัมน์ Online : รอบรู้เรื่องรถ
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/464349