เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ผมได้ชมวีดีโอของพิธีกรคนหนึ่ง ซึ่งมาแนะนำวิธีปฏิบัติตนแก่ผู้ใช้รถ เมื่อรถที่ขับ หรือนั่งอยู่ มีปัญหากลางทาง และไม่สามารถขับต่อไปได้บนทางด่วน และทางหลวงระหว่างจังหวัด เพราะถนนดังกล่าวเหล่านี้ มักไม่มีเนื้อที่ด้านข้างเพียงพอ ที่จะให้เราหยุดรถได้อย่างปลอดภัย ระหว่างรอความช่วยเหลือ โดยแนะนำให้นั่งรอความช่วยเหลืออยู่ในรถ ผมเห็นแล้วขนลุกด้วยความรู้สึกสยองครับ เพราะเป็นการกระทำที่เสี่ยงอันตรายถึงชีวิต ถ้าจะเรียกอย่างไม่เป็นทางการว่า เป็นวิธี “ฆ่าตัวตายโดยไม่เจตนา” ก็คงพอได้ครับ
วิธีปฏิบัติตนในการขอความช่วยเหลือนั้น เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้ว ผมจึงขอไม่กล่าวถึง แต่จะเน้นไปที่การปฏิบัติตน ก่อนและหลังการขอความช่วยเหลือ ก่อนอื่นใดต้องรีบเปิดไฟฉุกเฉินครับ หากอาการของรถไม่ถึงขั้นต้องหยุดรถทันที และเกิดขึ้นบนทางด่วน ให้ขับต่อไปช้าๆ จนถึงตู้โทรศัพท์ฉุกเฉิน แต่ยังไม่ต้องรีบใช้โทรศัพท์ ให้นำสิ่งของที่ไม่ใช่ของมีค่า และมีขนาดใหญ่พอที่ผู้ใช้ถนนจะมองเห็นได้แต่ไกล เดินย้อนกลับไปสักประมาณ 200 เมตร ด้วยความระมัดระวัง แล้ววางสิ่งนั้นในตำแหน่งเดียวกับล้อด้านขวาของรถของเรา จะล้ำไปในผิวจราจรบ้างก็ไม่เป็นไร เพราะเราต้องการเตือนไม่ให้เขาขับมาชนท้ายรถของเรา
ถ้าเป็นรถ “สายพันธุ์” ยุโรป ผู้ผลิตจะให้ป้ายสามเหลี่ยมเตือนภัยฉุกเฉิน สำหรับตั้งบนผิวถนน แถมมากับรถเสมอครับ กรณีนี้ช่วยให้เราไม่ต้องมองหาสิ่งของที่ว่า และอาจจะไม่เจออะไรที่เหมาะเลยก็ได้ ก็คงจะต้องใช้ “สูตร“ ของคนขับรถส่งของ คือ หากิ่งไม้ข้างทาง ที่ขนาดใหญ่พอ และยังมีใบไม้ติดกิ่งอยู่มากพอสมควร อย่าเพิ่งนึกดูถูกป้ายสามเหลี่ยมที่ว่านี้นะครับ เพราะมันจะสำแดงประโยชน์ที่สำคัญของมันให้ประจักษ์
ถ้าความโชคร้ายของเราเกิดขึ้นในยามวิกาล และโดยเฉพาะหากบังเอิญ ถนนนั้นไม่มีไฟส่องสว่างข้างทาง หรือมีแต่ไม่ใกล้รถของเรา เพราะป้ายสามเหลี่ยมนิรภัยฉุกเฉินนี้ สามารถสะท้อนแสงเข้าตาของผู้ที่ขับรถเข้าใกล้ ได้อย่างเพียงพอ เมื่อตั้งป้าย หรือวางสิ่งของเสร็จ รีบออกจากผิวถนนทันที
ผมไม่ได้หมายถึงแค่ผิวจราจร ที่ล้อรถแล่นทับเท่านั้นนะครับ แต่รวมถึงขอบถนนด้วย ไม่ว่าผิวจะเป็นดิน หรือถูกโรยด้วยหินก็ตาม ห้ามอยู่บนนั้นเด็ดขาด ถ้าเป็นท้องร่องที่ไม่ลึก และแห้ง ลงไปหลบอยู่ในนั้นเลยครับ หรือไม่ก็ปีนขึ้นไปอยู่อีกด้านของท้องร่อง ถ้าเป็นทางที่มีรั้วเหล็ก รีบปีนข้าม หรือมุดลอดออกไปทันทีครับ
ถ้าเป็นทางด่วนยกระดับ แน่นอนว่าหมดหนทางที่จะหลบแบบที่ว่ามา เพราะจะมีกำแพงคอนกรีทกั้นไว้ตลอด ให้รีบเดินชิดกำแพงย้อนไปทางด้านหลัง จนเลยป้ายสามเหลี่ยม หรือสิ่งของอื่นที่วางเตือนผู้ใช้รถไว้ แล้วยืนแนบกำแพงขณะรอความช่วยเหลือครับ ถ้ามีเหตุจำเป็นใดก็ตาม ที่ทำให้เราต้องไปรอในทิศหน้ารถแทน ให้รีบเดินไปให้ไกลกว่าระยะระหว่างรถ และป้ายสามเหลี่ยม แล้วยืนรอครับ ที่ต้องอยู่ให้ห่างจากรถของเรายิ่งกว่าการรอด้านหลัง เพราะมีโอกาสสูง ที่จะมีคน “เฮงซวย” มันขับมาชน หรือเฉี่ยวรถเราด้วยความเร็วสูง แบบวินาศสันตโร แล้วเสียหลักไถลมาจนถึงตัวเราจนได้
อย่าเห็นว่าสิ่งที่ผมแนะนำนี้ ไร้สาระ หรือมาจากความกลัวจนเกินเหตุนะครับ น้อยคนนักที่จะทราบว่า ทุกวันนี้มีพวกเศษสวะเดนมนุษย์ มันนั่งอยู่หลังพวงมาลัยบนท้องถนนกันมากมายเพียงใด เมาแอลกอฮอล เมายาบ้า (ไม่แปลกครับ เพราะพกไว้ไม่เกิน 5 เม็ด และอยู่ในประเทศที่ยาบ้าราคาถูกกว่ายาแก้ไข้) อดนอนเพราะดื่มเหล้าจนถึงเช้า กับอีกพวกที่ถ้าพิจารณาให้ชัดเจน ก็ต้องถือว่ามันเลวพอกัน มันคือพวกกากเดนหลังพวงมาลัย ที่พร้อมจะเป็นฆาตกรฆ่าผู้บริสุทธิ์บนท้องถนนได้ตลอดเวลา เพราะพวกมันก้มหน้าดูวีดีโอที่หน้าจอโทรศัพท์ นานกว่าเวลาที่มันเงยหน้ามามองถนนเสียอีกครับ
ผู้อ่านบางท่านอาจจะกำลังนึกว่า ที่อ่านมาถึงตอนนี้ ก็ดูมีเหตุผลที่ใช้ได้ แต่ใครมันจะนึกออก ในเวลาที่เกิดปัญหาจริงขึ้นมา ไม่แปลกครับ ถ้านึกไม่ออก หรือนึกได้ไม่ครบ ให้จินตนาการว่า กำลังมีฆาตกรโรคจิต มันกำลังขับรถมาถึงจุดนี้ในอีกไม่กี่นาที เพื่อชนเราให้ตาย สมอง และสัญชาตญาณเอาตัวรอดเมื่อภัยมา จะบอกเราเองว่าควรทำอย่างไร และการกระทำไปตามสัญชาตญาณที่ว่านี้ ก็จะใกล้เคียงกับคำแนะนำของผมอยู่ดีครับ
ขอเปลี่ยนมาเล่าเรื่องที่ดี และถูกต้องบ้างครับ วันรุ่งขึ้นผมก็ได้ชมวีดีโอแสดงปฏิบัติการของเจ้าหน้าที่เขตป้อมปราบ ที่ได้ลงมือขนย้ายสิ่งกีดขวางผิวจราจร ซึ่งส่วนใหญ่ก็คือโครงเหล็กที่ทำไว้ เพื่อให้รถปีนขึ้นไปบนทางเท้า และนำมาวางโดยพลการ ทั้งๆ ที่มีกฎหมายห้ามการกระทำดังกล่าวนี้อยู่ ในเมื่อตักเตือนแล้ว ก็ไม่มีอะไรดีขึ้นเลย ถ้าใช้คำโบราณ ก็เข้าข่ายเสมือน “ตักน้ำรดหัวตอ” จึงต้องใช้มาตรการที่จริงจัง คือ นำรถบรรทุกมาขนไปทิ้ง เพราะแม้จะเห็นซึ่งๆ หน้า ว่าผู้กระทำการก็คือเจ้าของร้าน ที่เจ้าชิ้นโลหะที่ว่านี้มันถูกวางอยู่นั่นแหละ แน่นอนว่าไม่มีใครยอมแสดงตัวเป็นเจ้าของ และผู้รับผิดชอบอยู่แล้ว จึงย่อมไม่มีใครกล้ามาขัดขวาง หรือท้วงติง
งานนี้ “ได้ใจ” ประชาชนพอสมควรครับ เพราะอัดอั้นกันมานานแล้ว แต่ก็มีเสียงแว่วมาเข้าหูจนได้ว่า “ผักชี” บ้าง “ไฟไหม้ฟาง” บ้าง ผมยังไม่อยากเชื่อครับ เพราะในช่วงสิบกว่าปีที่ผ่านมานี่ ผมได้เห็นพัฒนาการด้านที่ดีของพวกเราคนไทย และของข้าราชการไทย มากพอสมควร (ไม่ได้ต้องการพาดพิงทางการเมืองนะครับ แต่ผมจำเป็นต้องบอกว่า ทุกอย่างที่ดีขึ้นนั้น เกิดขึ้นก่อนที่เราจะมีรัฐบาลชุดปัจจุบันทั้งสิ้น) ผมก็หวังว่าคำสบประมาทที่มาเข้าหูผมนั้น จะไม่เป็นความจริง ง่ายมากครับ ถ้าผมเป็นผู้อำนวยการเขต ผมจะให้เจ้าหน้าที่ออกตรวจตราทุกๆ 2 วัน เช่น วันจันทร์ พุธ และศุกร์ และจะไม่ทำเป็นกิจวัตรนะครับ บางสัปดาห์อาจเปลี่ยนเป็นวันอังคาร และพฤหัสแทน พูดง่ายๆ ก็คือ อย่าให้ใครคาดเดาล่วงหน้าได้ เพราะฉะนั้นจะไม่มีใครกล้าลงทุน สร้างเจ้าเหล็กที่ว่านี้ เพื่อใช้งานเพียงไม่กี่วัน แล้วถูกริบอย่างแน่นอน
บทความแนะนำ