ที่จริงผมไม่อยากใช้คำนี้ เป็นคำสุดท้ายของชื่อเรื่องสำหรับเดือนนี้เลย เพราะรู้สึกว่าเป็นคำที่น่าจะใช้ใน “ภาษาพูด” มากกว่าใน “ภาษาเขียน” แต่หลังจากพยายามหาคำอื่นมาแทนอยู่นานพอสมควร ปรากฏว่าไม่มีคำใดที่จะนำมาทดแทนได้เลย ในการบ่งบอกบุคลิกด้านลบอย่างหนึ่ง ของตัวประกอบในเรื่องนี้ ความหมายของคำว่า จองหอง อย่างถูกต้องเป็นทางการ มีดังนี้ครับ “หมายถึงอาการเย่อหยิ่ง ทะนงตัว ถือดี หรืออวดดี โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อแสดงออกในลักษณะที่ลบหลู่ดูหมิ่นผู้อื่น” อ่านเรื่องนี้จบแล้ว ค่อยกลับมาอ่านความหมายนี้อีกครั้งนะครับ ว่าตรงกันไหม
ผมขอตัดตอน โดยเริ่มที่ต้นกำเนิดของรถบแรนด์นี้เลย เพราะถ้าเริ่มที่ประวัติของ FERRUCCIO LAMBORGHINI (แฟร์รุชโช ลัมโบร์กินี) ตั้งแต่วัยเยาว์ (ซึ่งที่จริงแล้วก็น่าสนใจมาก สำหรับผู้ที่กำลังอยากได้ตัวอย่างที่ดี ในการก่อร่างสร้างตัว ถ้ามีโอกาส หรือมีผู้สนใจมากพอ อาจจะนำเสนอได้ในโอกาสหน้า) คงต้องใช้เนื้อที่เพิ่มอีกหนึ่งตอน เราเริ่มกันช่วงที่ FERRUCCIO กำลังมีชีวิตรุ่งโรจน์ จากการเป็นผู้ผลิตรถทแรคเตอร์ที่ดีที่สุดในประเทศอิตาลี แต่จะขายได้มากที่สุดด้วยหรือเปล่านั้น ผมไม่มีข้อมูล ที่แน่ๆ ก็คือ อยู่ในฐานะที่พวกเราเรียกกันในสมัยนี้ว่า “รวยเละ”
FERRUCCIO เป็นวิศวกรที่เก่งกาจ ไม่โอ้อวด และไม่ฟุ้งเฟ้อ รถที่ใช้งานของเขา จึงมีราคาสมกับฐานะเสมอ ไม่มีล้ำหน้าแบบของคนไทยเรา และเมื่อรายได้เพิ่มขึ้นถึงระดับที่เรียกได้ว่าเหลือเฟือ ประกอบกับเป็นคนที่ชอบรถยนต์เป็นชีวิตจิตใจอยู่แล้ว ความซวยอันแสนเจ็บปวด จึงเข้ามาเยือน เพราะคนรวยที่ชอบรถสมรรถนะสูงในยุคนั้น ไม่มีรถให้เลือกมากนัก และถ้าเป็นชาวอิตาลี ที่อยากใช้รถสัญชาติเดียวกันแล้วละก็ ย่อมไม่พลาดไปจาก FERRARI (แฟร์รารี) อย่างแน่นอน ถึงจะมีความเข้าใจด้านกลไก และเทคนิครถยนต์อย่างลึกซึ้ง FERRUCCIO ก็ไม่เคยคิดจะจับผิด หรือหาจุดอ่อนของรถ FERRARI ที่ใช้อยู่เลย จนกระทั่งมันสำแดงออกมาเอง ซึ่งก็คือ คลัทช์ของระบบขับเคลื่อน ชำรุดปีละหลายครั้ง ทั้งๆ ที่เขาใช้งานอย่างถูกหลัก และดีเกินลูกค้าระดับทั่วไปอยู่แล้ว
FERRUCCIO รู้ได้ทันที ว่าจะต้องมีสาเหตุมาจากความผิดพลาดในการออกแบบ ซึ่งก็เป็นไปตามคาด เพราะในทุกครั้งจะพบว่า เป็นความเสียหายที่จุดเดียวกันเสมอ ซึ่งมาจากขนาดของชิ้นส่วนหนึ่ง ที่บางเกินไป และหักเพราะต้านแรงที่เกิดขึ้นขณะใช้งานตามปกติไม่ไหว วิศวกรหนุ่มดีใจมาก ที่จะได้ช่วยเจ้าของโรงงาน FERRARI ให้พ้นจากปัญหานี้ได้ตลอดไป ว่าแล้วก็เดินทางไปขอพบ ENZO FERRARI (เอนโซ แฟร์รารี) ด้วยความกระหยิ่มใจ เตรียมคำพูดที่จะแนะนำต่อ ENZO ไว้อย่างสุภาพ จินตนาการล่วงหน้า ว่าจะได้พูดคุยกันในบรรยากาศที่ดี ตามประสาผู้ผลิตรถขายด้วยกัน แม้จะเป็นรถคนละประเภทก็ตาม เพราะหลักการที่เป็นพื้นฐาน ย่อมไม่ต่างกัน
ผมเดาเอาเองว่า FERRUCCIO น่าจะไม่รู้ว่า ที่จริงแล้ว ENZO เป็นแค่นักสร้าง และนักขับรถแข่ง ใช้ความรู้ของลูกน้องที่จ้างมา ไม่ได้เรียนด้านวิศวกรรมเครื่องกลมาแบบตนเอง หลังจากให้คำแนะนำต่อ ENZO อย่างสุภาพ สิ่งที่เขาได้รับกลับมา ไม่ใช่คำขอบคุณ หรือแม้แต่การยอมรับ แต่กลับเป็นคำพูดที่ก้าวร้าว และดูหมิ่นเหยียดหยาม ENZO บอกเขาว่า คนที่สร้างรถทแรคเตอร์ขาย จะไม่มีทางเข้าใจปัญหาของรถสปอร์ทชั้นสูงได้เลย ควรกลับไปแก้ไขปัญหาของตนเองก่อน
FERRUCCIO ไม่ใช่คนหยาบคาย แบบที่จะต้องเหยียดหยามกลับไปให้แรงกว่า เขากลับออกมาพร้อมกับความรู้สึกผิดหวัง และความเจ็บแค้น มาถึงตอนนี้ก็คงจะเดากันได้นะครับ ว่าเรื่องราวจะดำเนินต่อไปอย่างไร แน่นอนครับ FERRUCCIO ย่อมต้องการลบล้างการถูกสบประมาทให้สำเร็จ ให้ ENZO จอมยโสโอหัง ได้รับบทเรียนอย่างสาสม ซึ่งไม่มีวิธีใดดีกว่า การสร้างรถสปอร์ทชั้นเยี่ยม ให้ดีกว่า FERRARI จริงๆ จนลูกค้าส่วนหนึ่งของ FERRARI หันมาซื้อรถของตนแทน
สลับฉากด้วยการย้อนเวลา ถอยหลังไปประมาณปีเศษ จะเป็นความบังเอิญตามปกติทั่วไป หรือเป็นเพราะ “ฟ้าดิน” ต้องการดับความยโสโอหังของ ENZO ก็มิอาจทราบได้ ปรากฏว่าทีมวิศวกรชั้นยอดของ FERRARI จำนวน 5 คน ถูก ENZO ไล่ออก สาเหตุน่ะหรือครับ ผมอยากให้ท่านผู้อ่านหยุดอยู่ตรงนี้ก่อน ปิดหน้าหนังสือนี้ แล้วลองทายกันดู ผมยอมให้ทายคนละสิบกว่าครั้ง และไม่เชื่อว่าจะมีใครทายถูก รวมทั้งตัวผมเองด้วย เพราะมันไม่น่าจะเป็นเรื่องจริงได้เลย เรื่องก็คือ ศรีภรรยาของ ENZO นามว่า LAURA (ซึ่งตามประวัติเบื้องลึก ก่อนที่จะแต่งงานกับ ENZO ก็อยู่ในระดับที่สังคมไม่ยอมรับ แต่ผมไม่ขอเอ่ยถึง) ได้เข้ามาก้าวก่ายงานออกแบบ ทั้งตัวรถ และเครื่องยนต์ ซึ่ง “ยอดฝีมือ” ทั้ง 5 คนนี้ทำอยู่ ทั้งๆ ที่ตนเองมีความรู้เฉพาะเรื่องงานบ้าน เฉกเช่นแม่บ้านทั่วไปในยุคนั้น จึงเหลือทางออกอยู่เพียงทางเดียว ในการรักษาคุณภาพของรถ FERRARI ไว้ ทั้ง 5 คนนี้พร้อมใจกันขอเข้าพบ ENZO เพียงเพื่อขอร้องอย่างนุ่มนวล ให้ช่วยยับยั้งพฤติกรรมของ LAURA เท่านั้นเอง ซึ่งไม่น่าจะเป็นเรื่องยากเลย สำหรับจอมบงการอย่าง ENZO แต่ผลที่ได้กลับทำให้ทุกคนตกตะลึง ไม่ต่างจากการถูกฟาดหัวพร้อมๆ กัน นั่นคือ การถูก ENZO ไล่ออกทันทีทั้ง “ทีม” โดยปราศจากความรู้สึกเสียดายแต่อย่างใด เพราะฝีมือของแต่ละคนนั้น ถ้าใช้คำที่นิยมยุคนี้ ก็คือระดับ “เทพ” หรือ “จอมยุทธ” ของวงการสร้างรถสปอร์ทระดับโลกในสมัยนั้น
รายแรก คือ CARLO CHITI (การ์โล กีตี) หัวหน้าวิศวกร ที่ถนัดทั้งด้านตัวรถ และเครื่องยนต์ คนนี้เติบโตมากับบแรนด์ ALFA ROMEO (อัลฟา โรเมโอ) ยอดรถแข่งในยุคนั้น และถูกทาบทามให้มาทำงานกับ FERRARI หลังจากถูก ENZO ตะเพิด ก็ไปทำงานให้ทีมรถแข่ง F1 ทีมหนึ่ง ต่อมาก็ย้ายกลับมาช่วยงานให้ทีมแข่ง AUTODELTA ของ ALFA ROMEO คนนี้ติดงานสำคัญ จึงไม่ได้ไปช่วย FERRUCCIO สร้างรถครับ ยอดฝีมือรายที่ 2 GIOTTO BIZZARRINI (จตโต บิซซาร์รินี) คนนี้เรียนจบสาขาวิศวกรรมศาสตร์ จากมหาวิทยาลัย PISA เมืองที่เรารู้กันว่ามีหอเอนตั้งอยู่ เดิมทำงานให้ ALFA ROMEO ในตำแหน่งนักทดสอบรถของโรงงาน ด้วยพื้นฐานที่เรียนมาโดยตรง ทำให้ GIOTTO สามารถวิเคราะห์ แยกแยะปัญหาของรถ ได้อย่างละเอียด และถูกต้อง จนชื่อเสียงดังไปถึงหู ENZO และถูกล่าตัวมาทำงานให้ คนที่ 3 BOB WALLACE (บอบ วอลเลศ) มาไกลครึ่งโลก เพราะเกิดที่เมือง AUCKLAND ในประเทศนิวซีแลนด์ รายนี้หนักเข้าไปอีก เพราะเป็นทั้งวิศวกร นักทดสอบรถ และยังแถมด้วยการเป็นช่างยนต์ ประเภทลงมือเองก็ได้ด้วย เนื้อที่หมดพอดี ขอผลัดมาเล่าต่อในเดือนหน้านะครับ