ธุรกิจ
ข่าวเด่นในรอบสัปดาห์
ไฟเขียวปรับมาตรการ EV3-EV3.5
คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบ ตามที่คณะกรรมการนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติ ให้ปรับปรุงมาตรการส่งเสริมการใช้ยานยนต์ไฟฟ้า (EV3 และ EV3.5) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ความยืดหยุ่น และให้สอดคล้องกับสถานการณ์เศรษฐกิจ และการแข่งขันในตลาดโลก พร้อมป้องกันความเสี่ยงจากอุปทานส่วนเกิน และสงครามราคาในประเทศ
สาระสำคัญของมติ มีดังนี้
1. การขยายเวลาการจดทะเบียนรถ EV ที่ผลิตในประเทศ ได้แก่ มาตรการ EV3 ให้จำหน่ายภายใน 31 ธันวาคม 2568 และจดทะเบียนได้ถึง 31 มกราคม 2569 และมาตรการ EV3.5 ให้จำหน่ายภายใน 31 ธันวาคม 2570 และจดทะเบียนได้ถึง 31 มกราคม 2571
2. ปรับวิธีนับการผลิตชดเชยเพื่อการส่งออก ได้แก่ การผลิตรถ EV ที่ส่งออก นับเป็นการผลิตชดเชยได้ 1.5 เท่า และการผ่อนผันระยะเวลาการส่งออกถึงวันที่ 30 มิถุนายนของปีถัดไป
3. คุมเข้มการจ่ายเงินอุดหนุน ได้แก่ การกำหนดหลักเกณฑ์ติดตามแผนการผลิตชดเชยอย่างใกล้ชิด และการระงับการจ่ายเงินอุดหนุนชั่วคราว หากไม่เป็นไปตามเงื่อนไข เพื่อความรอบคอบด้านงบประมาณ
4. เปิดทางขยายการผลิตข้ามมาตรการ โดยผู้ได้รับสิทธิ EV3 สามารถขยายการผลิตชดเชยไปภายใต้มาตรการ EV3.5 ได้ เพื่อรักษาฐานการผลิตในประเทศ
5. ขยายเวลาการนับมูลค่าเซลล์แบทเตอรีจากต่างประเทศ โดยผ่อนผันถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2569 และปรับลดสัดส่วนไม่เกินร้อยละ 10 ของราคารถ เพื่อเร่งการใช้ชิ้นส่วนในประเทศ
วางเป้าหมายฐานผลิตรถไฟฟ้าโลก
ทั้งนี้ ยังมีการย้ำเป้าหมายสำคัญของประเทศไทยในการเป็นฐานการผลิตยานยนต์ไฟฟ้า และชิ้นส่วนที่สำคัญของโลก พร้อมเดินหน้าสู่เป้าหมาย Zero Emission Vehicle (ZEV) ภายในปี 2573 โดยใช้มาตรการทางเศรษฐกิจควบคู่กับการรักษาเสถียรภาพตลาดในประเทศ
...........................................................................................
กลุ่มธนบุรี จับมือ NIO รุกตลาดยานยนต์ไฟฟ้าพรีเมียมในไทย
กลุ่มธนบุรี ภายใต้ชื่อ บริษัท ธนบุรี บลูสกาย จำกัด ผู้นำในธุรกิจยานยนต์ของไทยที่มีประสบการณ์ยาวนานกว่า 8 ทศวรรษ ประกาศความร่วมมือเชิงกลยุทธ์กับ NIO Inc. ผู้นำเทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้าพรีเมียมระดับโลก พร้อมนำแบรนด์ในเครืออย่าง NIO, ONVO และ Firefly เข้าสู่ตลาดประเทศไทยเป็นครั้งแรก เพื่อวางโรดแมพการรุกตลาดยานยนต์ไฟฟ้าพรีเมียมในปี 2569 ตอกย้ำบทบาทอันแข็งแกร่งของไทยในฐานะตลาดยุทธศาสตร์ สู่การยกระดับระบบนิเวศยานยนต์ไฟฟ้าแห่งอนาคตอย่างยั่งยืน
รัฐพล วิริยะพันธุ์ ประธานกรรมการบริหาร กลุ่มธนบุรี กล่าวว่า ตลาดรถยนต์ไฟฟ้าของไทยมีการขยายตัวที่ชัดเจนขึ้น และจะเป็นหนึ่งในแรงขับเคลื่อนสำคัญของอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยในระยะยาว ผู้บริโภคเริ่มมองรถยนต์ไฟฟ้าเป็นตัวเลือกระยะยาวมากขึ้น ความร่วมมือระหว่าง ธนบุรี บลูสกายฯ และ NIO จึงเป็นการวางรากฐานตลาดรถยนต์ไฟฟ้าพรีเมียม ทั้งด้านผลิตภัณฑ์ เครือข่ายบริการ และระบบนิเวศยานยนต์ไฟฟ้า เรามองถึงเป้าหมายระยะยาว ครอบคลุมไปถึงด้านโครงสร้างการตลาด เครือข่ายบริการ และความเชื่อมั่นของผู้บริโภค การเปลี่ยนผ่านสู่ยุคยานยนต์ไฟฟ้าต้องมาพร้อมคุณภาพ การบริการ และโครงสร้างที่รองรับความต้องการในอนาคตที่ชัดเจน ซึ่งคือ สิ่งที่ธนบุรี บลูสกายฯ และ NIO ตั้งใจพัฒนาร่วมกันในประเทศไทย เราพร้อมผสานประสบการณ์กว่า 80 ปี เข้ากับเทคโนโลยีชั้นนำของ NIO เพื่อสร้างระบบนิเวศยานยนต์ไฟฟ้าที่เติบโตอย่างยั่งยืน และเสริมความเชื่อมั่นให้แก่ตลาดไทยอย่างมั่นคง
NIO Inc. ผู้นำเทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้าพรีเมียมในตลาดโลก
NIO Inc. ก่อตั้งขึ้นในปี 2557 โดยถือเป็นหนึ่งในผู้ผลิตยานยนต์ไฟฟ้าพรีเมียมอันดับต้นของจีน ผ่านจุดเด่นด้านเทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้าอัจฉริยะ และเป็นผู้บุกเบิกเทคโนโลยีสับเปลี่ยนแบทเตอรี (Battery-as-a-Service) ภายใต้ชื่อสถานี NIO Power Swap ซึ่งปัจจุบันถือเป็นเครือข่ายสับเปลี่ยนแบทเตอรีที่ใหญ่ที่สุดในโลก ที่ช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถเปลี่ยนแบทเตอรีที่หมดแล้วเป็นแบทเตอรีที่ชาร์จเต็มได้อย่างรวดเร็วภายในไม่กี่นาที
พร้อมกันนี้ NIO ยังพัฒนาระบบนิเวศดิจิทอลแบบครบวงจร ทั้งพแลทฟอร์มการเชื่อมต่ออัจฉริยะ และโซลูชันด้านพลังงาน ไปจนถึงการบริการหลังการขายเพื่อยกระดับประสบการณ์ผู้ใช้งานเต็มรูปแบบ ปัจจุบัน NIO ดำเนินธุรกิจครอบคลุมถึง 14 พื้นที่ โดยมีศูนย์วิจัย และพัฒนา (R&D) รวมถึงศูนย์การผลิต พร้อมทั้งขยายเครือข่ายจำหน่าย และบริการครอบคลุม 24 ประเทศ และภูมิภาคทั่วโลก อีกทั้งมีแบรนด์ย่อยที่รองรับผู้ใช้งานหลากหลายเซกเมนท์ อาทิ
-
NIO ที่มุ่งพัฒนายานยนต์ไฟฟ้าอัจฉริยะระดับพรีเมียม
-
ONVO ซึ่งเน้นพัฒนายานยนต์ไฟฟ้าเจาะฐานผู้ใช้งานกลุ่มครอบครัว
-
Firefly ที่โดดเด่นด้านยานยนต์ไฟฟ้าดีไซจ์นกะทัดรัด เหมาะสำหรับการใช้งานในเมือง
โดยทุกแบรนด์ สะท้อนจุดแข็งของ NIO ในฐานะผู้นำนวัตกรรมยานยนต์ไฟฟ้าระดับโลก
วิสัยทัศน์ของ NIO ในการบุกตลาดประเทศไทย
วิลเลียม ลี ผู้ก่อตั้ง และประธานกรรมการบริหาร NIO กล่าวว่า ประเทศไทยมีศักยภาพสูงในการขับเคลื่อนตลาดยานยนต์ไฟฟ้า ทั้งด้านความต้องการของผู้บริโภค นโยบายภาครัฐ โครงสร้างพื้นฐาน และความพร้อมของอุตสาหกรรม การร่วมมือกับธนบุรี บลูสกายฯ ซึ่งมีฐานธุรกิจแข็งแกร่ง และเข้าใจตลาดไทยเชิงลึก จะช่วยให้ NIO สามารถวาง EV Ecosystem ในประเทศไทยได้อย่างเป็นระบบ จากประสบการณ์กว่าทศวรรษของ NIO และความมุ่งมั่นผลักดันภารกิจของ Blue Sky Coming เราพร้อมยกระดับมาตรฐานของอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทยสู่ระดับสากล การขยายตลาดในประเทศไทยจึงเป็นอีกก้าวสำคัญในการส่งมอบมาตรฐานระดับโลกของ NIO ไปสู่ตลาดใหม่ที่มีศักยภาพสูง เพื่อสานต่อภารกิจของเรา พร้อมเดินหน้าสู่อนาคตที่ยั่งยืนร่วมกัน
3 แกนกลยุทธ์หลักของความร่วมมือระหว่างกลุ่มธนบุรี และ NIO
การร่วมเป็นพันธมิตรครั้งนี้ มีเป้าหมายชัดเจนในการยกระดับมาตรฐานตลาดรถยนต์ไฟฟ้าไทย และประสบการณ์ขับขี่ของผู้บริโภค ผ่าน 3 แกนกลยุทธ์หลัก ได้แก่
เสริมแกร่งเครือข่ายการให้บริการยานยนต์ไฟฟ้าพรีเมียมในประเทศไทย
ธนบุรี บลูสกายฯ ใช้ประสบการณ์กว่า 80 ปี ในธุรกิจยานยนต์ และเครือข่ายศูนย์บริการที่ได้มาตรฐานทั่วประเทศ เพื่อรองรับการเติบโตของตลาด EV พรีเมียม พร้อมวางแผนลงทุนต่อเนื่องเพื่อขยายจุดให้บริการอย่างครอบคลุม และยกระดับมาตรฐานบริการหลังการขายในระยะยาว
นำเสนอนวัตกรรมระดับโลกของ NIO
NIO พัฒนาเทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้า ระบบเชื่อมต่อดิจิทอล และแนวคิดการสร้าง Ecosystem ที่ยึดผู้ใช้เป็นศูนย์กลาง เข้ามายกระดับประสบการณ์การใช้รถยนต์ไฟฟ้าของผู้บริโภคชาวไทย ไปจนถึงโซลูชันด้านการชาร์จ และพลังงานที่ตอบโจทย์การใช้งานจริง
วิสัยทัศน์ร่วมกันต่ออนาคตรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย
ทั้ง 2 บริษัทมีเป้าหมายร่วมกันในการผลักดันให้อนาคตรถยนต์ไฟฟ้าให้ “เกิดขึ้นได้จริง” ในประเทศไทยอย่างเป็นรูปธรรม ผ่านการลงทุนอย่างต่อเนื่อง การพัฒนามาตรฐานบริการ และการสร้างความเชื่อมั่นในระยะยาวแก่ผู้บริโภค
2569 : ปีแห่งการเปิดตัว NIO, ONVO และ Firefly อย่างเป็นทางการในประเทศไทย
ทั้งนี้ ธนบุรี บลูสกายฯ ได้ต่อยอดสู่การขยายพอร์ทโฟลีโออีวีพรีเมียมผ่านการเปิดตัวไลน์อัพยานยนต์ไฟฟ้าภายใต้หลากหลายแบรนด์ ได้แก่ NIO, ONVO และ Firefly ซึ่งมีแผนเปิดตัว และจัดแสดงอย่างเป็นทางการในปี 2569 พร้อมนำ Firefly เปิดตัวเป็นแบรนด์แรก เพื่อสะท้อนความโดดเด่นในด้านระบบนิเวศยานยนต์ไฟฟ้าที่ครบวงจรของ NIO และตอกย้ำบทบาทของธนบุรี บลูสกายฯ ในฐานะพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ด้านเครือข่าย และบริการในประเทศไทย
การร่วมเป็นพันธมิตรครั้งนี้ ถือเป็นก้าวที่สำคัญในการวางรากฐานด้านยานยนต์ไฟฟ้าที่แข็งแกร่งสำหรับอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย เพื่อสร้างอนาคตการขับขี่ และการโดยสารที่ดียิ่งขึ้นให้แก่ผู้บริโภคชาวไทยทั่วประเทศ
...........................................................................................
Triumph เปิดไลน์อัพ 2026
Triumph Motorcycles (ทไรอัมฟ์ มอเตอร์ไซเคิลส์) ตอบสนองทุกสไตล์ MBTI อย่างมีคลาสส์ ให้ตัวตนเป็นคนเลือก เพราะในยุคที่ผู้บริโภคมองหาสินค้าที่สะท้อนตัวตน ความชอบ และบุคลิกภาพ รถจักรยานยนต์ก็เช่นกัน เพราะสามารถสะท้อนตัวตนของผู้ขับขี่ได้อย่างแท้จริง โดยเฉพาะในตลาดรถพรีเมียมที่ผู้ใช้ให้ความสำคัญทั้งด้านดีไซจ์น สมรรถนะ และความเข้ากันกับไลฟ์สไตล์ หากคุณกำลังมองหารถจักรยานยนต์คันใหม่ แต่ยังไม่แน่ใจว่ารุ่นไหนจะตรงใจที่สุด ลองใช้ MBTI เป็นตัวช่วยเลือก ก็เป็นไอเดียที่สนุกไม่น้อย !
นักฝัน ผู้รักรายละเอียด ความละเมียด และความเท่เฉพาะตัว แบบชาว ISFP/INFJ/ISFJ/INFP ต้องโดนกลุ่ม Modern Classics Iconic ความเท่เหนือกาลเวลา
รถจักรยานยนต์ Triumph ในกลุ่ม Modern Classics รุ่นใหม่ปี 2026 ที่นำโดยตระกูล Bonneville (บอนเนวิลล์) ได้รับการปรับปรุงใหม่ทั้งด้านสเปค และเทคโนโลยีเพื่อผู้ขับขี่ ที่มอบความสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น ขณะเดียวกันยังคงรักษาเอกลักษณ์ความเป็นรถต้นแบบที่สะท้อนมรดกทางประวัติศาสตร์ และ DNA ของ Triumph ที่สืบทอดยาวนานไว้อย่างเต็มเปี่ยม ทำให้รถจักรยานยนต์เหล่านี้ คือ คำตอบที่จะมาเป็นตัวแทนความเป็นคุณแบบไม่ต้องพยายาม ไม่ว่าจะเป็น Bonneville Bobber (บอนเนวิลล์ บอบเบอร์) ที่มาในสไตล์คัสตอมแบบ Stripped-Back โหลดต่ำ สัดส่วนที่ดูกำยำ และรายละเอียดสุดประณีต ช่วยสร้างรูปลักษณ์สุดโดดเด่นแบบ Bobber
พร้อมความดุดันในการแต่งคัสตอมสายพันธุ์แท้ Bonneville Speedmaster (บอนเนวิลล์ สปีดมาสเตอร์) รถคัสตอมคลาสสิคสัญชาติอังกฤษรุ่นออริจินอล ดุดันแบบคัสตอมสไตล์ครูเซอร์หัวใจ Bonneville มอบความสุขุมลุ่มลึก รวมถึงผ่อนคลาย และคล่องตัว ช่วยให้คุณเดินทางได้อย่างราบรื่น และทะยานผ่านทุกโค้งได้อย่างสบายๆ
ต่อด้วย Bonneville T100 (ที 100) ที่มาพร้อมรูปลักษณ์ Bonneville ที่โดดเด่นเหนือใคร พร้อมรายละเอียดสุดคลาสสิค และสไตล์ที่ดูดีอย่างเป็นธรรมชาติ ปิดท้ายด้วย Bonneville T120 (ที 120) และ Bonneville T120 Black (ที 120 บแลค) 2 รุ่นออริจินอลสายพันธุ์แท้ที่สานต่อจากปี 1959 ที่มาพร้อมรายละเอียดสุดคลาสสิค และเสน่ห์ที่ดูเป็นผู้ใหญ่มากยิ่งขึ้น
ทั้งหมดนี้ คือ เสน่ห์ของ Modern Classics ที่ทำให้คนกลุ่ม ISFP/INFJ/ISFJ/INFP รู้สึกใช่ตั้งแต่แรกเห็น เพราะไม่ใช่แค่รถ แต่คือ ชิ้นงานศิลปะที่ขับเคลื่อนด้วยดีเอนเอทางประวัติศาสตร์ ความประณีต และความหมายที่ซ่อนอยู่ในทุกดีเทล เหมือนคนกลุ่มนี้ที่ไม่จำเป็นต้องดังที่สุด แต่มีเอกลักษณ์ที่สุดเสมอ ใครเป็นสายละเอียด ลึก เงียบ แต่มีสไตล์ชัดเจน รถกลุ่มนี้พร้อมเป็นพื้นที่ปลอดภัยบนท้องถนนที่พาคุณไปได้ทั้งใกล้ และไกล ทรงพลังในแบบที่รู้สึกได้ทันที
หากคุณเป็นชาว ENTP/ESTP/ENFP ที่ชื่นชอบความเร็ว แรง บ้าพลัง ชอบความท้าทายใหม่ๆ ต้องกลุ่ม Roer ของ Triumph ที่สร้างชื่อเสียง และสถิติระดับโลกมากมาย
รถจักรยานยนต์ Triumph Street Triple 765 RX (สตรีท ทริเพิล 765 อาร์เอกซ์) รุ่นใหม่ปี 2026 คือ คำตอบที่คุณตามหา หากหัวใจคุณเต้นแรงเมื่อได้ยินเสียงเร่งเครื่องของเครื่องยนต์ 3 สูบ Roer คันนี้ คือ Soulmate เพราะด้วยความสมบูรณ์แบบของรถแข่งสายพันธุ์แท้ที่ได้รับการอัพเกรด ขุมกำลังระดับแนวหน้าจากเครื่องยนต์ 3 สูบ 765 ซีซี ตัวเดียวกับที่ใช้ในสนามแข่ง Moto2 ซึ่งให้การตอบสนองที่ทันใจ อัตราเร่งที่เร็วยิ่งขึ้น พร้อมมอบการบังคับรถที่ตอบสนองแม่นยำ ด้วยชอคอับหัวกลับ Öhlins NIX ที่ปรับตั้งค่าได้อย่างละเอียด และชอคอับหลัง RSU STX40 แฮนด์รถคลิพออน และส่วนประกอบอื่นๆ ที่พร้อมสำหรับการแข่งขัน อีกทั้งดีไซจ์น Street Triple อันเป็นซิกเนเจอร์ ที่มาในสไตล์ RX พร้อมการตกแต่งอย่างโดดเด่น และดีไซจ์นแบบสปอร์ทกับโลโกแบรนด์ RX ตลอดจนเทคโนโลยีที่พร้อมสำหรับการแข่งขันด้วยโหมด Track โดยเฉพาะ และสเปคที่ช่วยยกระดับการขับขี่ ทั้งหมดนี้รวมกันเป็นสุดยอดแพคเกจที่จะพาคุณทะยานไปกับสมรรถนะของรถได้เต็มพิกัด
ทั้งหมดนี้ คือ เหตุผลว่าทำไม Street Triple 765 RX จึงเข้าทางคนกลุ่ม ENTP/ESTP/ENFP แบบแท้จริง เพราะนี่คือรถที่ตอบแรงขับภายในของคนที่ชอบความเร็ว ความแม่น ความใหม่ และต้อง การฟีลิงที่พาให้หัวใจเต้นแรงทุกครั้งที่บิดคันเร่ง สำหรับคนที่รักความท้าทาย ชอบลองของใหม่ และไม่เคยหยุดอยู่กับที่ Roer รุ่นนี้ คือ คู่ขาแบบ Soulmate ที่พร้อมพาคุณพุ่งทะยานไปข้างหน้าอย่างมั่นใจ ทั้งบนถนนจริง และในสไตล์การแข่งขันที่คุณชอบ
นักสำรวจ ชอบความท้าทาย บุกป่า ฝ่าทะเลทราย อย่างชาว ESTJ/ENFJ/ISTP/ESFP ต้องเปิดประสบการณ์ไปกับกลุ่ม Adventure และตระกูล Scrambler สมาชิกสายลุยในกลุ่ม Modern Classic ที่จะพาออกไปลุยทั้งในชีวิตประจำวัน เสพธรรมชาติพร้อมสัมผัสอิสระเหนือขอบเขตที่ทุกคนต้องติดใจ
ถ้าชีวิตคุณ คือ การเดินทาง โลก คือ ท้องถนน ที่ไม่ว่าจะเส้นทางในเมือง หรือเส้นทางออฟโรดเต็มไปด้วยความท้าทาย Scrambler 400 XC (สแกรมบเลอร์ 400 เอกซ์ซี) น้องเล็กรุ่นล่าสุด ที่มาพร้อมความสนุก คล่องตัว เหมาะสำหรับผู้เริ่มลุยแบบจริงจัง โดดเด่นด้วยเครื่องยนต์ 400 ซีซี แต่อัดแน่น DNA การออกแบบสไตล์ Scrambler อันเป็นเอกลักษณ์ เพื่อการผจญภัยบนท้องถนนทุกรูปแบบ รวมถึงความสามารถในการขับขี่แบบออฟโรดให้แก่สไตล์อันแข็งแกร่ง
หากคุณแข็งแกร่งแล้ว และมองหารถจักรยานยนต์ที่แข็งแกร่งที่จะพาคุณลุยไปด้วยกันแบบไม่หวั่น ต้อง Scrambler 1200 XE (สแกรมบเลอร์ 1200 เอกซ์อี) ด้วยขีดความสามารถระดับแนวหน้าของกลุ่ม สมรรถนะ และเสน่ห์เฉพาะตัวจากเครื่องยนต์สูบคู่ Bonneville กำลังสูง 1,200 ซีซี โครงรถแบบ Scrambler โดยเฉพาะระบบกันสะเทือนระยะยุบตัวยาว รองรับการใช้งานทุกสภาพภูมิประเทศอย่างแท้จริง ขยับการผจญภัยที่เหนือชั้นไปอีกขั้นกับ Tiger 900 Alpine Edition (ไทเกอร์ 900 อัลไพน์ เอดิชัน) การผจญภัยเพื่อปลดปล่อยจิตวิญญาณของคุณ
สำหรับสาย Adventure ตัวจริง ด้วยสเปคที่สูงยิ่งขึ้น และส่วนประกอบระดับพรีเมียม ให้สมรรถนะที่สมบูรณ์แบบ การออกแบบทางวิศวกรรมมาเพื่อความสะดวกสบายในการ Touring ตลอดทั้งวัน และสมรรถนะที่ช่วยให้คุณมั่นใจได้ทุกไมล์บนถนนลาดยาง อีกทั้งสไตล์ Alpine แบบซิกเนเจอร์ สี Snowdonia White และ Sapphire Black พร้อมเก็บรายละเอียดด้วย Aegean Blue ให้ภาพลักษณ์อันหรูหรา พร้อมสำหรับการผจญภัยบนท้องถนน
ปิดท้ายด้วย Tiger 900 Desert Edition (ไทเกอร์ 900 เดเสิร์ท เอดิชัน) นักสำรวจทางวิบากสายพันธุ์แท้ ที่ได้ปรับแต่งให้พร้อมสำหรับภูมิประเทศที่มีความท้าทาย ผสมผสานแรงบิด การยึดเกาะถนน และการตอบสนองที่แม่นยำ เพื่อการขับขี่แนว Adventure อย่างจริงจัง ผสานคาแรคเตอร์สุดโดดเด่นสไตล์ Desert อย่างสี Urban Grey และ Sapphire Black พร้อมเน้นรายละเอียดด้วย Baja Orange สุดโดดเด่น เพื่อให้คุณสัมผัสได้ถึงพลังงานที่ตรงตามวัตถุประสงค์การใช้งานบนทางวิบาก
เพราะสำหรับ MBTI กลุ่มนี้ การเดินทางไม่ใช่แค่การไปถึงปลายทาง แต่คือการได้ออกสำรวจโลกในแบบของตัวเอง และรถจักรยานยนต์ Triumph ก็พร้อมมอบสมรรถนะ ความมั่นใจ และความสนุกที่ทำให้ทุกไมล์บนถนนกลายเป็นเรื่องราวใหม่ที่น่าจดจำ
...........................................................................................
Yamaha เปิดตัว NMAX Tech Max สีใหม่ พรีเมียมสปอร์ท
ไทยยามาฮ่ามอเตอร์ฯ ตอกย้ำความเป็นผู้นำรถจักรยานยนต์พรีเมียมสปอร์ท ออโทเมทิคคลาสส์ 155 ซีซี ส่ง “New Yamaha NMAX Tech Max” (ยามาฮา เอนแมกซ์ เทค แมกซ์) ใหม่ โมเดลปี 2026 ที่มาพร้อม “สีสันใหม่ สปอร์ทกว่าที่เคย !” ภายใต้คอนเซพท์ The Max Pride Booster บูสต์โลกออโทเมทิคสู่ความพรีเมียม สปอร์ทเร้าใจเกินห้าม ! โดดเด่นกว่าเดิมแบบเต็ม Max
New Yamaha NMAX Tech Max
ถูกพัฒนารอบคันให้เฉียบคมด้วย DNA ตระกูล Max Series ทั้งดีไซจ์น ไฟหน้าพโรเจคเตอร์ LED ใหม่ สไตล์ยานยนต์ระดับพรีเมียม และเส้นสายความสปอร์ทดุดันยิ่งขึ้น พร้อมด้วยเทคโนโลยีล้ำหน้าที่ได้รับการอัพเกรดให้ตอบโจทย์ผู้ใช้ในยุคใหม่อย่างแท้จริง และเพื่อเสริมความมั่นใจให้ผู้บริโภค นอกจากสีใหม่ที่โดดเด่นแล้ว New Yamaha NMAX Tech Max ได้รับการตอบรับอย่างดีเยี่ยมจากวงการยานยนต์ และสามารถคว้ารางวัล “Motorcycle of the Year 2025” จากสมาคมผู้สื่อข่าวรถยนต์และรถจักรยานยนต์ไทย เป็นอีกหนึ่งการันตีว่า “Max Series” ไม่ใช่แค่ดีไซจ์นสวย แต่คุณภาพ และสมรรถนะยังดีจริง จนสื่อให้การยอมรับ ยิ่งตอกย้ำว่า…ของดีจริง ของแรงจริง แบบ Max! Series Design บูสต์ลุคสปอร์ทเข้ม ดุดันทุกองศา สไตล์ Max
New Yamaha NMAX Tech Max ยกระดับความพรีเมียมสปอร์ทให้เด่นชัดยิ่งขึ้น ด้วยดีไซจ์นพัฒนาใหม่รอบคัน ถ่ายทอดสไตล์ Max Series อย่างมีเอกลักษณ์กับ LED Projector Headlight ดีไซจ์นล้ำแบบพรีเมียม แสงสว่างคมชัด มองเห็นไกล เพิ่มทัศนวิสัยกลางคืน ดุดัน มีตัวตน แบบ Max DNA
LED Taillight/Flasher Light ดีไซจ์นจาก TMAX ไฟท้าย-ไฟเลี้ยว แบบ LED ดีไซจ์นเฉียบ สว่างชัดทุกมุมมอง ตามแบบฉบับ Max Series ที่ให้ความพรีเมียมในทุกองศา
Max Technology ล้ำสมัย ยกระดับทุกการเดินทางให้ “บูสต์ได้มากกว่า” กับ Dual Digital Meters-2 หน้าจอสุดล้ำ (เฉพาะรุ่น Tech Max) กับ หน้าจอสี TFT 4.2 นิ้ว+Digital LCD 3.2 นิ้ว
แสดงข้อมูลครบครันแบบ Infotainment
- แสดงข้อมูลโหมดขับขี่/รอบเครื่อง/สถานะ YECVT
- แจ้งเตือนสายเรียกเข้า-ข้อความ
- ควบคุมเพลงได้แบบเรียลไทม์
- แสดงสภาพอากาศแบบ Realtime ควบคุมง่ายด้วยสวิทช์แฮนด์ซ้าย
Garmin Navigation System (เฉพาะรุ่น Tech Max)
- ระบบนำทางเต็มรูปแบบ แสดงบนหน้าจอ TFT เพียงเชื่อมต่อ Garmin Street Cross นำทางแม่นยำ เห็นเส้นทางชัดเจน พร้อมข้อมูลจราจรแบบเรียลไทม์
Negative LCD Meter 3.2 นิ้ว (รุ่น Standard)
- ดีไซจ์นใหม่ สปอร์ทขึ้น
- อ่านง่าย คมชัด
- รองรับการแจ้งเตือนเมื่อเชื่อมต่อ Y-Connect
Max Performance บูสต์อารมณ์เทอร์โบ…ด้วยสมรรถนะระดับพรีเมียมของเครื่องยนต์ Blue Core 155 cc VVA 4 วาล์ว ระบายความร้อนด้วยน้ำ ควบคุมประสิทธิภาพของการเผาไหม้ได้อย่างสมบูรณ์ จ่ายน้ำมันเชื้อเพลิงพร้อมการจุดระเบิดอย่างแม่นยำ ลดการสูญเสียกำลังของเครื่องยนต์ เสริมสมรรถนะการขับขี่ที่ดี และประหยัดน้ำมันมากขึ้น พร้อมวาล์วแปรผัน VVA ช่วยให้เครื่องยนต์ตอบสนองทุกแรงบิดอัตราเร่งดีเยี่ยม
ระบบขับเคลื่อน YECVT (เฉพาะรุ่น Tech Max) “อารมณ์แบบเกียร์สปอร์ท” ในออโทเมทิค ควบคุมชุดส่งกำลังอัตโนมัติด้วยระบบอีเลคทรอนิคส์ ผ่าน ECU บูสต์อัตราเร่งฉับไว ได้ฟีลเทอร์โบมากขึ้น มาพร้อมกับ 2 โหมดการขับขี่
- T Mode-นุ่มนวล ประหยัด เหมาะกับในเมือง
- S Mode-อัตราเร่งเต็มขั้น สไตล์สปอร์ท
Shift Down Function
- เร่งแซงไวขึ้น (Boost Mode)
- เพิ่ม Engine Brake เพื่อการควบคุมที่มั่นใจ
ABS+Traction Control System ควบคุมรถได้แม่นยำ ลดอาการล้อหมุนฟรี เพิ่มความมั่นใจทุกสภาพถนน
Max Smart Value ฟังค์ชันครบจบในคันเดียว…ยิ่งใช้ยิ่งรัก
- Y-Connect Application ตรวจสอบข้อมูลรถผ่านมือถือ
- Smart Key System ปลดลอค-สตาร์ท-เปิดเบาะ สะดวกขึ้น
- ที่เก็บของใต้เบาะ 25 ลิตร ใส่หมวกเต็มใบได้
- USB Type-C พร้อมช่องเก็บของด้านหน้า 2 ช่อง
สีสันใหม่ปี 2026 สปอร์ทเต็ม Max กับ New Yamaha NMAX Tech Max ได้แก่ สีเทา-ดำ (Silver Chrome) และสีเทา (Prestige Gray) ได้ในราคาแนะนำเริ่มต้นที่ 113,500 บาท มาพร้อมกับการรับประกัน 5 ปี หรือ 50,000 กม.* เพื่อความมั่นใจสูงสุดของผู้ใช้
*การรับประกัน 5 ปี : รับประกันคุณภาพชิ้นส่วนใน 3 กลุ่มหลัก ได้แก่ กลุ่มเครื่องยนต์ กลุ่มโครงรถ และกลุ่มระบบไฟฟ้า ไม่รวมอะไหล่สึกหรอตามอายุการใช้งาน โดยบริษัท ไทยยามาฮ่ามอเตอร์ จำกัด เป็นเวลา 5 ปี หรือ 50,000 กม. แล้วแต่ระยะใดถึงก่อน ทั้งนี้ต้องนำรถเข้าตรวจเชคตามระยะที่บริษัทฯ กำหนด จนกว่าจะครบระยะรับประกัน
...........................................................................................
ทางด่วน-มอเตอร์เวย์ฟรี ช่วงเทศกาลปีใหม่ 2569
ทางด่วนฟรี ปีใหม่ 2569 โดยการทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.)
วันที่ 30 ธค. 68 ถึง 5 มค. 69
- ทางพิเศษบูรพาวิถี (บางนา-ชลบุรี)
- ทางพิเศษกาญจนาภิเษก (บางพลี-สุขสวัสดิ์)
วันที่ 31 ธค. 68 ถึง 1 มค. 69
- ทางด่วนเฉลิมมหานคร (ทางด่วนขั้นที่ 1)
- ทางด่วนศรีรัช (ทางด่วนขั้นที่ 2)
- ทางด่วนอุดรรัถยา (บางปะอิน-ปากเกร็ด)
มอเตอร์เวย์ฟรี ปีใหม่ 2569 โดยกรมทางหลวง (ทล.)
วันที่ 30 ธค. 68 ถึง 5 มค. 69
- มอเตอร์เวย์ M7 (กรุงเทพฯ-บ้านฉาง)
- มอเตอร์เวย์ M9 ถนนวงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานคร (ถนนกาญจนาภิเษก) ช่วงบางปะอิน-บางพลี
และช่วงพระประแดง-บางขุนเทียน - มอเตอร์เวย์ M6 สายบางปะอิน-นครราชสีมา (เปิดวิ่งฟรีตลอดเส้นทาง)
มอเตอร์เวย์วิ่งฟรี
- มอเตอร์เวย์ M81 บางใหญ่-กาญจนบุรี (เปิดบริการแล้ว)
- มอเตอร์เวย์ M82 บางขุนเทียน-เอกชัย (เฟสแรก)
...........................................................................................
SOS ในรถช่วยเหลือฉุกเฉินกรณีเกิดอุบัติเหตุ
ในยุคที่รถยนต์ไม่ได้เป็นเพียงพาหนะเดินทาง แต่กลายเป็น “ผู้ช่วยเหลืออัจฉริยะ” ของผู้ขับขี่ ระบบ SOS หรือ Emergency Call คือ หนึ่งในเทคโนโลยีความปลอดภัยที่สำคัญที่สุด โดยเฉพาะในกรณีเกิดอุบัติเหตุรุนแรง ที่วินาทีแรกหลังการชนอาจเป็นตัวตัดสินความเป็นความตาย
ระบบ SOS ในรถยนต์คืออะไร ?
ระบบ SOS คือ ระบบแจ้งเหตุฉุกเฉินอัตโนมัติ หรือกึ่งอัตโนมัติ ที่จะเชื่อมต่อรถยนต์กับศูนย์ช่วยเหลือเมื่อเกิดอุบัติเหตุ เช่น การชนรุนแรง ถุงลมนิรภัยทำงาน หรือเมื่อผู้ขับขี่กดปุ่ม SOS ด้วยตนเอง ระบบจะส่งข้อมูลสำคัญไปยังศูนย์ช่วยเหลือทันที
ในปี 2006 Volvo (โวลโว) เป็นบริษัทรถยนต์รายแรกที่เปิดตัวระบบ SOS ในรถ ครอบคลุมใน Volvo รุ่นใหม่ทุกรุ่นหลังจากนั้น ในชื่อว่า Volvo On Call กลายเป็นออพชันสำคัญ และถูกติดตั้งครั้งแรกในรถยนต์ Volvo XC70 (เอกซ์ซี 70)
ซึ่งระบบนี้ช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถติดต่อศูนย์บริการฉุกเฉิน และแจ้งตำแหน่งที่ตั้งของรถได้อย่างแม่นยำในกรณีเกิดอุบัติเหตุ และถุงลมนิรภัย หรือระบบดึงเข็มขัดนิรภัยทำงาน ระบบจะส่งสัญญาณเตือนอัตโนมัติไปยังศูนย์ควบคุม Volvo On Call ในทันที ช่วยลดอัตราความเสี่ยงของการบาดเจ็บร้ายแรง และอาจช่วยชีวิตได้
ข้อมูลที่ถูกส่งประกอบด้วย
-
ตำแหน่งรถแบบเรียลไทม์ (GPS)
-
เวลาที่เกิดเหตุ
-
ประเภทรถ และบางระบบระบุความรุนแรงของอุบัติเหตุ
-
สถานะผู้โดยสาร (ในบางรุ่น)
SOS ทำงานเมื่อเกิดอุบัติเหตุ
เมื่อรถตรวจพบแรงกระแทกเกินค่าที่กำหนด หรือถุงลมนิรภัยทำงาน
-
ตัวรถจะเชื่อมต่อศูนย์ช่วยเหลืออัตโนมัติ
-
เปิดการสื่อสารเสียงภายในรถ เพื่อให้เจ้าหน้าที่สอบถามอาการ
-
ส่งพิกัด และข้อมูลรถให้หน่วยกู้ชีพ หรือเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง
ในกรณีที่ผู้ขับขี่หมดสติ หรือไม่สามารถโทรศัพท์เองได้ ระบบนี้จะทำหน้าที่แทน “การขอความช่วยเหลือ” โดยไม่ต้องพึ่งสมาร์ทโฟน หรือสัญญาณจากผู้ขับขี่
-
อุบัติเหตุบนทางเปลี่ยว หรือพื้นที่ไม่มีคนเห็นเหตุการณ์
-
การชนรุนแรงที่ผู้ขับขี่ไม่สามารถออกจากรถได้
-
เหตุการณ์ทางการแพทย์ฉุกเฉิน เช่น หน้ามืด หมดสติ
-
รถพลิกคว่ำ หรือเกิดอุบัติเหตุตอนกลางคืน
ในหลายกรณี ระบบ SOS สามารถลดระยะเวลาการเข้าถึงของหน่วยกู้ชีพได้อย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งเพิ่มโอกาสรอดชีวิตของผู้ประสบเหตุ
ต่างจากการโทรฉุกเฉินทั่วไปอย่างไร ?
สำหรับรถยนต์ในบ้านเรา หากเกิดในกรณีที่สถานการณ์คับขัน หรือเกิดอุบัติเหตุ การโทร 1669 หรือเบอร์ฉุกเฉิน ก็จะยังเป็นสิ่งจำเป็น แต่ระบบ SOS มีข้อได้เปรียบ คือ
-
เราไม่ต้องอธิบายตำแหน่ง ตัวรถมีการระบุตำแหน่งรถไว้ผ่านแอพพลิเคชัน หรือศูนย์ควบคุม
-
ระบบสามารถทำงานได้แม้ผู้ขับขี่พูดไม่ได้ หรืออยู่ในสภาพไร้ความสามารถ
-
การติดต่อเชื่อมต่อผ่านระบบของรถโดยตรง
-
รถยนต์ยุโรปพรีเมียม ติดตั้งให้มาในทุกรุ่น เช่น Mercedes-Benz Emergency Call System, Volvo On Call, BMW Accident Call
-
รถยนต์ไฟฟ้า และรถรุ่นใหม่ (บางยี่ห้อ) เช่น Toyota Telemetics, Honda Connect, NissanConnect Services, GWM Application
สิ่งที่ผู้ใช้รถควรรู้เกี่ยวกับระบบ SOS
-
ตรวจสอบว่ารถของคุณมีระบบ SOS ที่สามารถใช้งานได้หรือไม่ พร้อมทั้งศึกษาเงื่อนไขการใช้งาน
-
ผู้ใช้รถควรทราบตำแหน่งปุ่ม SOS ภายในว่ามีการติดตั้งไว้ที่บริเวณใด
-
ตรวจสอบการเชื่อมต่อสัญญาณเป็นระยะ หากรถของคุณเป็นระบบเชื่อมต่อผ่านแอพพลิเคชัน
ปฏิเสธไม่ได้ว่า ระบบ SOS ในรถยนต์ไม่ใช่แค่ออพชันเสริมอีกต่อไป แต่คือเทคโนโลยีที่ออกแบบมาเพื่อช่วยชีวิตในสถานการณ์ที่คุณช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ในโลกที่อุบัติเหตุเกิดขึ้นได้ทุกวินาที การมีระบบในรถยนต์ที่ “สามารถโทรขอความช่วยเหลือแทนคุณ” อาจเป็นความแตกต่างระหว่างการรอดชีวิตกับการสูญเสียได้เพียงเสี้ยววินาที



































