บทความ
นายเลื่อนกระดูกเหล็ก บิดาแห่งนักบิด
เมื่อเอ่ยชื่อ "นายเลื่อน กระดูกเหล็ก" ใครๆ ก็รู้จักทั้งๆ ที่ตัวท่านได้ถึงแก่อนิจกรรมไปตั้งหลายปีแล้ว
นายเลื่อน กระดูกเหล็ก หรือ นายเลื่อน พงษ์โสภณ หรือนาวาเอก เลื่อน พงษ์โสภณเป็นนักแข่งรถมอเตอร์ไซค์หรือนักบิดตัวยงคนหนึ่งนอกจากนั้นยังเป็นนักขับรถมอเตอร์ไซค์ไต่ถังคนแรกของเมืองไทยอีกด้วย
นายเลื่อน พงษ์โสภณ เกิดเมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม พศ. 2441 ในสมัยรัชกาลที่ 5 ซึ่งยังใช้ รศ. หรือรัตนโกสินทร์อยู่คือเกิดเมื่อ รศ. 117 ที่บ้านริมคลองโอ่งอ่าง (คลองรอบกรุง) ใกล้ประตูสามยอด เป็นบุตรขุนเชี่ยวหัสดิน (เถา)และนางแฉ่ง ซึ่งมีอาชีพทางค้าขาย ตั้งร้านขายเครื่องประดับภายในเรือนทุกชนิด มีชื่อว่า "ร้านจำหน่ายของสยาม"กับเป็นเจ้าของโรงเลื่อยอีกด้วย
สมัยเมื่อ นายเลื่อน เกิดนั้นปรากฏว่ารถยนต์ยังไม่มีในเมืองไทยแม้แต่เมืองนอกซึ่งเป็นประเทศสร้างรถยนต์ได้เองก็เพิ่งจะมี
เมื่อยังเล็ก นายเลื่อน เรียนหนังสือที่โรงเรียนอรพินทุ์ ซึ่งอยู่ใกล้บ้าน เมื่อจบชั้นประถมแล้วมารดาได้นำไปฝากเรียนไว้ที่วัดรังษี (ปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของวัดบวรนิเวศวิหาร)เพื่อให้พระท่านช่วยอบรมสั่งสอนเรื่องศีลธรรมจรรยา เนื่องจากเป็นเด็กดื้อถูกบิดาเฆี่ยนตีแทบทุกวัน
ต่อมามารดาตั้งใจจะให้เรียนกฎหมาย แต่นายเลื่อน อยากจะเป็นทหารจึงได้ไปสมัครเรียนที่โรงเรียนนายร้อยทหารบก
เนื่องจากนายเลื่อน เป็นบุตรเจ้าของโรงเลื่อย ซึ่งเห็นเครื่องยนต์กลไกมาตั้งแต่เล็ก นายเลื่อนจึงมีใจรักในเรื่องเครื่องยนต์กลไกมาตั้งแต่เด็กทีเดียว
ครั้นเมื่อนนายเลื่อน โตเป็นหนุ่มในรัชกาลที่ 6ซึ่งสมัยนั้นเพิ่งจะมีรถมอเตอร์ไซค์หรือจักรยานยนต์เข้ามาขายในเมืองไทยใหม่ๆ นายเลื่อนก็ได้ซื้อมอเตอร์ไซค์มาขับด้วย จึงจัดว่าเป็นนักบิดรุ่นแรกๆ ของเมืองไทยคนหนึ่ง
ความจริงในสมัยนั้นคนที่มีรถมอเตอร์ไซค์ก็มีเพียงไม่กี่คนคือแทบจะนับตัวได้ ถึงกระนั้นก็ยังมีการแข่งรถมอเตอร์ไซค์อยู่บ่อยๆ
ส่วนสถานที่แข่งขันก็คือท้องสนามหลวง ปรากฏว่านายเลื่อน มักจะคว้ารางวัลที่ 1 อยู่เสมอ
การที่นายเลื่อน แข่งมอเตอร์ไซค์ได้ที่ 1 นั้น ก็เนื่องจากเป็นคนที่ไม่กลัวตาย แม้แต่จะเป็นทางโค้งก็ขับไม่เบาเครื่องคงเร่งเครื่องเต็มที่เหมือนทางตรง จึงเป็นเหตุให้ได้เปรียบรถมอเตอร์ไซค์คู่แข่งอื่นๆ หมดเพราะเมื่อถึงทางโค้งส่วนมากมักจะเบาเครื่องชะลอความเร็วเพราะกลัวรถคว่ำ
สำหรับรถมอเตอร์ไซค์ที่นายเลื่อน ขับแข่งขันดังกล่าว เป็นรถยี่ห้อฮาเลย์เดวิดสัน ขนาด 3 สูบ ซึ่งนายเลื่อนคอยดูแลรักษาและปรับเครื่องยนต์อยู่เสมอ จนใครๆ ผ่านบ้านที่ข้างวัดรังษี ซึ่งเป็นบ้านที่นายเลื่อน อยู่ในขณะนั้นเป็นต้องได้ยินเสียงเครื่องรถมอเตอร์ไซค์ดังบึมๆ อยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นเวลาเช้า กลางวัน เย็น หรือกลางคืน
ส่วนการขับรถมอเตอร์ไซค์ไต่ถังของนายเลื่อน นั้น ก็เนื่องมาจากได้เห็นฝรั่งเข้ามาแสดงในเมืองไทยเป็นตัวอย่างนายเลื่อน จึงเอาอย่างบ้าง ซึ่งเรื่องนี้นายเลื่อน ได้เขียนเล่าไว้ว่า
"วันหนึ่งมีคนเยอรมันคนหนึ่ง บินมาจากเยอรมัน บินด้วยเครื่องยนต์ประมาณ 45 แรงม้า เท่านั้นมาถึงกรุงเทพ ฯเลยทำให้ข้า ฯ รู้สึกว่าอยากเรียนการบินเพื่อจะได้บินไปทั่วโลกได้ ในที่สุดก็คิดอยากเรียนการบินจึงขอพระราชทานทุนจากในหลวง (พระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ฯ) โดยพระยาเทพหัสดินทร์ ฯเป็นผู้ขอให้แต่ยังไม่ทันได้ตอบ ขณะนั้นได้มีพวกคาบิแอร์โชว์มาแสดงที่สนามน้ำจืด ชื่อมิสเตอร์คิง
เขาประกาศว่าถ้าใครขี่รถมอเตอร์ไซค์ได้อย่างเขาๆ จะให้เงิน 200 เหรียญอเมริกัน ในวันแรกที่เขามาแสดงข้าพเจ้าก็ได้ไปดูทันที เขาเก็บคนละ 1 บาท วันนั้นได้ไปดูถึง 5 ครั้ง เพราะเกิดความสนใจขึ้น และนึกถึงว่าถ้าสามารถขี่รถนี้ได้แล้ว ก็จะสามารถเดินทางไปต่างประเทศเพื่อเรียนการบินได้ตามที่ตั้งใจไว้ เมื่อได้ดูครบ 5ครั้งแล้วทำให้คิดว่า ไม่ว่าอะไรในโลกนี้ถ้ามนุษย์ทำกันได้เราก็ควรจะทำได้ บังเอิญเมื่อเสร็จการแสดงแล้วก็มาพบเพื่อนอีกหลายคน เขาได้ถามข้าพเจ้าว่า ไงเลื่อน ลื้อสามารถจะทำอย่างเขาได้ไหมข้าพเจ้าตอบทันทีว่าเมื่อคนอื่นเขาทำกันได้ อั๊วก็คิดว่าเราก็ควรทำได้ เขาถามว่าพูดเล่นหรือพูดจริง เพราะมันยากเพราะการขี่นั้นไม่ได้ขี่ตรงๆ มันต้องขี่ตะแคงอยู่ตลอดเวลา ข้าพเจ้าพยายามจะทำ เขาถามว่าจะเริ่มเมื่อไรข้าพเจ้าก็ตอบว่าจะลงทุนพรุ่งนี้
ต่อมาในวันรุ่งขึ้น ข้าพเจ้าก็สร้างถังทันที แต่ว่าทำใบเล็กกว่า เพราะไม่มีเงินพอประการหนึ่งแทนที่จะทำเป็นถังไม้เหมือนอย่างมิสเตอร์คิง ข้าพเจ้าก็ทำเป็นถังเหล็กโดยคิดว่าถ้าทำเล็กกว่า คงขี่ได้ง่ายกว่าแต่ว่าความคิดเหล่านี้เป็นความคิดที่ผิดทั้งสิ้น เพราะถังยิ่งเล็กเท่าใดก็ยิ่งขี่ยากขึ้นเท่านั้นเหตุผลก็คือว่าตามหลักถ้าถังเล็กยิ่งหาเส้นตรงของวงกลมได้น้อยเข้า ถ้าถังใหญ่ยิ่งมีเส้นตรงของวงกลมกว้างเข้าความจริงเมื่อข้าพเจ้าสร้างเสร็จแล้ว ในชั้นเดิมก็ไม่รู้สิ่งเหล่านี้ เพาะฉะนั้นข้าพเจ้าขี่แล้วก็ตกลงมาจนได้แผลถึง 60
แผล ตามหน้าแข้ง หัวเข่า โคนแขนเต็มไปหมด พยายามขี่อยู่ตั้ง 15 วันก็ขี่ไม่ได้อยู่นั่นเอง
แม่เห็นข้าพเจ้าแล้วสงสารมาก ท่านมาบอกว่าเมื่อขี่ไม่ได้แล้วก็อย่าขี่เลยลูก แม่ทนเห็นบาดแผลไม่ไหวข้าพเจ้านิ่งไม่ตอบว่ากระไร แต่ส่วนในใจนั้นคิดว่าเมื่อคนอื่นเขาทำได้เราก็ควรทำได้ ต่อมาอีกเวลาประมาณ 4 โมงเย็นข้าพเจ้าก็ขึ้นขี่อีกทั้งๆ ที่มีแผลอยู่ตั้ง 60 แผลแล้ว ในขณะที่รถกำลังจะขึ้นนั้นตามธรรมดาจะต้องเอาเท้าซ้ายยันไว้ก่อนเมื่อเห็นว่าพอไปได้แล้วก็เอาเท้าขวามาวางที่พักเท้าแทนที่จะวางบนพักเท้าข้าพเจ้ากลับเอาเท้านั้นไปใส่กับโซ่แมกนิโต ซึ่งอยู่ใกล้ๆ กับที่พักเท้าโซ่ก็เลยตัดนิ้วทางด้านหัวแม่เท้าเกือบขาด เมื่อเอาเท้าใส่เข้าไปในช่องโซ่เครื่องก็หยุดเพราะแมกนิโตไม่หมุนในที่สุดข้าพเจ้าก็หล่นลงมาทันทีในตอนที่โซ่ตัดเท้านี้ไม่รู้สึกเจ็บเลย แต่ที่ไหนได้เมื่อมาดูที่เท้าแล้วหัวแม่เท้าเกือบขาด
(อ่านต่อฉบับหน้า)
เรื่องโดย : เทพชู ทับทอง
ภาพโดย : -
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน สิงหาคม ปี 2545
คอลัมน์ Online : บทความ
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/51340