รู้ลึกเรื่องรถ
โรลล์ส-รอยศ์ แฟนทอม
ในฉบับที่แล้วผมได้เล่ายุทธวิธีชิง โรลล์ส-รอยศ์ ระหว่างยักษ์ใหญ่ในวงการรถยนต์จบไปแล้วเดือนนี้จึงเป็นเรื่องของกำเนิด โรลล์ส-รอยศ์ แฟนทอม (ROLLS-ROYCE PHANTOM)ซึ่งออกจำหน่ายไปเมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมานี้เอง หลังจากตกลงชำแหละ โรลล์ส-รอยศ์ และ เบนท์ลีย์
ออกจากกันสำเร็จเมื่อเดือน กค. 1998 บีเอม ฯ ซึ่งจะได้ครอบครองชื่อ โรลล์ส-รอยศ์ อย่างเต็มภาคภูมิในวันที่ 1 มค. 2003 ก็ดำเนินการออกแบบ แฟนทอม ทันที เพราะรู้ตัวดีว่าเวลา 4ปีนั้นน้อยเหลือเกินสำหรับ "งานช้าง" ระดับนี้
พิเชทส์รีเดร์ (PISCHETSRIEDER) และ ไรทซ์เล (REITZLE) สองบิกของ บีเอม ฯ ขณะนั้นรู้ดีว่าต้องรักษาเสน่ห์ของ อาร์-อาร์ (R-R) ไว้ให้มากที่สุด มิฉะนั้น แฟนทอม นี้ก็จะกลายเป็น บีเอม ฯรุ่นยักษ์ที่ใหญ่กว่า ซีรีส์ 7 ซึ่งลูกค้าระดับนี้มีสิทธิ์ปฏิเสธตั้งแต่ต้น คาร์ล ไฮนซ์ คาล์บเฟลล์ (KARL-
HEINZ KALBFELL) หัวหน้าโครงการนี้จึงเสนอว่า สถานที่ออกแบบ แฟนทอมควรเป็นลอนดอนเมืองหลวงของประเทศต้นตำรับรถนี้นี่แหละ พอได้รับการอนุมัติ คาล์บเฟลล์ก็ออกสำรวจทันที ได้ตึกที่เคยเป็นธนาคารแห่งหนึ่ง อยู่ตรงข้ามไฮด์พาร์คอันโด่งดังพอดี
โครงการนี้ลับสุดยอดครับ ทีมออกแบบซึ่งมีอยู่ 20 คน จะเรียกที่ทำงานใหม่ว่า "ธนาคาร" เท่านั้น คริสแบงเกิล (CHRIS BANGLE) หัวหน้าใหญ่ฝ่ายออก แบบของ บีเอม ฯ (ที่รับผิดชอบแบบรถรุ่นใหม่ของ บีเอม ฯ ซึ่งทยอยออกสู่ตลาดในช่วงปัจจุบันนี้ และถูก "สวด" จนหูแฉะมากกว่าคำชม) มอบหมายให้ เอียน คาเมรอน (IAN CAMERON) ซึ่งออกแบบ บีเอม ฯ ซีรีส์ 3 รุ่นปัจจุบัน เป็นหัวหน้าทีมออกแบบที่ลอนดอนโดย แบงเกิล หลบฉากดูแลอยู่ห่างๆ แต่ยังเป็นหัวหน้าทีม "ตัวจริง"อยู่ คาล์บเฟลล์ จัดทีมสำรวจความเห็น ออกสัมภาษณ์เจ้าของ อาร์-อาร์ ตัวแทนจำหน่ายและผู้นิยมเลื่อมใส อาร์-อาร์ ทั่วโลก นอกจากแนวคิดและปรัชญาที่ได้มาจากการสัมภาษณ์นี้เสียงส่วนใหญ่บอกว่าอยากให้ อาร์-อาร์ ใหญ่กว่านี้ ซึ่งก็คงหมายถึงทั้งภายนอก (หรู) และภายใน(สบาย) นั่นเอง
คาเมรอน แบ่งลูกน้องออกเป็น 3 ทีม แล้วให้ออกแบบแข่งกันเอง แต่ละทีมมี "มือออกแบบ" อยู่ 2 คนต้องส่งผลงานทีมละ 2 แบบ ลูกน้องที่เหลือคือทีมออกแบบภายในห้องโดยสารแต่ก่อนที่จะลงมือร่างแบบในกระดาษ ทุกคนต้องขับ อาร์-อาร์ ตั้งแต่รุ่นก่อนสงครามโลกครั้งที่สองเพื่อให้รู้จักและเข้าใจ "วัฒนธรรม" ของ อาร์-อาร์ อย่างแท้จริง
ความเห็นที่ได้คือ รุ่น ซิลเวอร์ คเลาด์ (SILVER CLOUD) ดูดีที่สุดในบรรดา อาร์-อาร์ที่ผลิตหลังสงครามโลกครั้งที่สอง เพราะรุ่น ซิลเวอร์ ชาโดว์ (SILVER SHADOW) ดู "เรียบ"เกินไปไม่ค่อยมีจุดเด่น ส่วนรุ่น ซิลเวอร์ เซรัฟ (SILVER SERAPH) ซึ่งเป็นรุ่นล่าสุดทีมงานนี้บอกว่ามีความเป็น อาร์-อาร์ น้อยไปหน่อย รุ่นที่ประทับใจที่สุดกลับเป็นรุ่นประมาณปี 1930 คือแฟนทอม ทู (PHANTOM II) และแฟนทอม ธรี (PHANTOM III)
บทสรุปของ คาเมรอน ก็คือ รถจะสวยและดูหรูต้องมีส่วนสูงไม่เกิน 2 เท่าของความสูงของล้อเพราะฉะนั้นล้อต้องใหญ่ไว้ก่อน ห้องเครื่องและฝากระโปรงต้องยาว มีล้อหน้าอยู่ใกล้กันชนหน้าและอยู่ไกลจากขอบหลังของประตูหน้า เพื่อให้ผู้มองรู้สึกถึงพละกำลังขอบล่างของหน้าต่างด้านข้างควรอยู่สูง เพื่อให้มองดูปลอดภัยรูปทรงโดยรวมเมื่อมองจากด้านข้างต้องโค้ง และให้ความรู้สึกว่ามัน "พลิ้ว"
จากนั้นทั้ง 3 ทีมก็ออกแบบรถจำลองกันทีมละ 2 คัน เป็นขนาดหนึ่งใน 4 ของขนาดจริงแล้วถูกเลือกแบบที่ดีที่สุดไว้ 3 แบบ แล้วสร้างหุ่นขนาดเท่าของจริง เพื่อให้ "บอร์ด" ของ บีเอม ฯลงคะแนนเลือก ทั้ง 3 แบบแตกต่างกันไม่มาก แบบที่ชนะใจบอร์ดเป็นฝีมือของ แมเรค (MAREK DJORDJEVIC) นักออกแบบหนุ่มสัญชาติยูโกสลาเวียที่มีประสบการณ์ออกแบบรถมาแล้ว 10 ปีส่วนภายใน ชาร์ลส์ โคลด์แฮม (CHARLS COLDHAM) จากโรงงาน โรเวอร์ (ROVER) ของอังกฤษที่
บีเอม ฯ ครอบครองอยู่
แบบรถของ Djordjevic ก็คือแบบ แฟนทอม ล่าสุดที่ผลิตออกวางตลาดมาตั้งแต่เดือนมกราคมที่ผ่านมานั่นเองครับ เพราะไม่มีส่วนสำคัญใดถูกดัดแปลงล้อสูงครึ่งหนึ่งของความสูงรถ ตามสูตร "ความสวย" ของ คาเมรอน จึงต้องใช้ล้อขนาด 19 นิ้วและยางซีรีส์ 60 ซึ่งมีความสูงของแก้มยางเพียง 60 % ของความกว้างแต่เมื่อมาเจอกับความกว้างเกือบหนึ่งฟุต แก้มยางก็เลยสูงถึงครึ่งฟุต ตะแกรงหน้าทรงหม้อน้ำและครีบตั้งในแนวดิ่ง เป็นลิขสิทธิ์ของ อาร์-อาร์ โดยเฉพาะเช่นเดียวกับ "นางฟ้า"ล้วนทำให้ต้านลมพอสมควร สัมประสิทธิ์แรงต้านอากาศของรถนี้จึงน่าจะมีค่าเกิน 0.40 แต่ทีมงาน(คนละทีมกับพวกออกแบบนะครับ) ก็ขัดเกลาลงจนเหลือ 0.383 ซึ่งถือว่าดีแล้วประตูบานหลังเป็นแบบเปิดอ้าจากด้านหน้า คือมีบานพับอยู่ด้านหลัง เพราะวิธีเปิดแบบนี้ ผู้โดยสาร(ซึ่งจำนวนไม่น้อยเป็นเจ้าของรถ) สามารถเดินมาจากด้านข้างของรถ แล้วก้าวขึ้นนั่งได้เลยในขณะที่ประตูรถแบบนี้พวกเราใช้กันจนชินนั้น ที่จริงแล้วไม่ดีเลยครับ เพราะต้องเดินย้อนไปด้านหลังแล้วเอนตัวไปด้านหลังก่อนที่จะก้าวเท้าหนึ่งขึ้นไป ซึ่งขัดกับสรีระของมนุษย์
เพื่อความแข็งแรงของตัวถัง บีเอม ฯ ยังคงให้มีเสากลางอยู่แต่เป็นขนาดเล็กและถูกซ่อนไว้หลังขอบหน้าต่าง ประตูที่เปิดแบบนี้ บางคนก็เรียกว่าประตูฆ่าตัวตาย(SUICIDE) ซึ่งคงจะหมายถึงการที่ผู้นั่งสามารถกระโดดออกนอกรถได้สะดวก ในขณะที่ประตูรถทั่วไปจะขวางหน้าเราอยู่แม้จะถูกเปิดแล้ว ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการฆ่าตัวตายหรืออันตรายใดๆ นะครับแต่ก็ยังต้องยอมรับว่ามันอันตรายกว่าประตูแบบดั้งเดิม หากถูกเปิดขณะรถแล่นด้วยความเร็วสูงเพราะแรงปะทะของลมจะทำให้มันอ้ากว้างอย่างเร็วจนหักกระเด็นได้แต่ไม่ใช่ปัญหาใหญ่ในยุคที่ระบบควบคุมโดยอีเลคทรอนิคส์กำลังเฟื่องฟูครับ
แฟนทอม รุ่นใหม่นี้จะขับเคลื่อนไม่ได้เลย ถ้าประตูยังปิดไม่สนิท นอกจากนี้ยังมีระบบนิรภัยเสริมอีกระดับคือเมื่อรถเคลื่อนที่ด้วยความเร็วเกิน 4 กม./ชม. บานประตูจะถูกลอคหมดไม่สามารถถูกเปิดได้แม้จากด้านในรถก็ตาม แล้วถ้ามีใครวิตถารขับไม่เกิน 4 กม./ชม.โดยแง้มประตูไว้ก่อนเร่งความเร็วก็ไปได้อีกไม่กี่เมตรครับ เพราะระบบควบคุมจะดับเครื่องยนต์ทันที
ตัวถังของ แฟนทอม ทำจากอลูมิเนียมเป็นส่วนใหญ่ โดยเฉพาะห้องโดยสารทำจากอลูมิเนียมล้วนแต่ไม่อ่อนนะครับ เพราะใช้คอมพิวเตอร์เป็นหลักในการออกแบบและคำนวณความต้านแรงบิดของตัวถังรุ่นนี้สูงถึง 40,000 นิวตัน/องศา ประมาณ 2เท่าของรถเก๋งขนาดกลางชั้นดีทั่วไป น้ำหนักตัวถังเปล่าของ แฟนทอม ต่ำเพียง 550 กก.อยู่ในระดับเดียวกับตัวถังรุ่น ซิลเวอร์ ชาโดว์ เมื่อปี 1965 ซึ่งมีขนาดเล็กกว่า แฟนทอม มากฝากระโปรงหน้าและบังโคลนหลัง ก็ทำจากอลูมิเนียมเช่นเดียวกันส่วนบังโคลนหน้าทำจากวัสดุสังเคราะห์ เพื่อให้คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าผ่านได้สะดวก เพราะ อาร์-อาร์ซ่อนเสาอากาศสำหรับวิทยุ ทีวี และระบบนำร่องไว้ใต้บังโคลนหน้ามีฝากระโปรงหลังอย่างเดียวที่ทำจากเหล็ก ไม่บอกเหตุผลว่าเพราะอะไรครับผมเข้าใจว่าน่าจะต้องการน้ำหนัก เพื่อให้เกิดความรู้สึกที่ดีจากแรงเฉื่อยขณะเปิด/ปิด คือ ไม่ "กระป๋อง" นั่นเอง
ตัวถังของ แฟนทอม ถูกผลิตจากโรงงานของ บีเอม ฯ ในเมือง ดิงโกลฟิง (DINGOLFING) เยอรมนีซึ่งเป็นที่รู้กันว่าอยู่ในระดับสุดยอดของโลกแห่งหนึ่งในด้านอลูมิเนียม โดยจะถูกเคลือบรองพื้นเรียบร้อยก่อนที่จะส่งมาพ่นสีและประกอบส่วนอื่นๆ ต่อในอังกฤษ
สถานที่ตั้งโรงงาน อาร์-อาร์ ใหม่ของ บีเอม ฯ คือเมือง กูดวูด (GOODWOOD) เป็นที่พ่นสีตัวถังและประกอบชิ้นส่วนอื่นๆ อีกราวๆ 2,500 ชิ้น ก่อนจะส่งมอบให้ลูกค้าชิ้นส่วนเหล่านี้มาจากทุกทิศทางครับ คือหลายประเทศในยุโรป จากบริษัทต่างๆ ในอังกฤษจากสหรัฐอเมริกา และที่ขาดไม่ได้แน่คือ ญี่ปุ่น ระยะทางหมดความหมาย ขอให้ดีพอราคาไม่โหดร้ายเอาเปรียบ และมีความรับผิดชอบสูง ส่งของทันตามกำหนด บีเอม ฯ ไม่เกี่ยงครับ
นักข่าวที่เข้าไปเยี่ยมชมโรงงานที่ กูดวูด บรรยายความรู้สึกไว้ว่า เหมือนเข้าไปในโรงงานผลิตอาวุธลับเพราะสะอาดและเป็นระเบียบสุดยอด ทุกคนทำงานด้วยฝีมือและความตั้งใจ ไม่ใช้ปากจึงเงียบสงบและดู "ขลัง" มาก ผมเห็นรูปแล้วยังทึ่งครับเพราะพนักงานที่กำลังประกอบชิ้นส่วนเข้ากับตัวรถ
ใส่เครื่องแบบหรูเหมือนพนักงานเสิร์ฟอาหารในภัตตาคารของโรงแรมชั้นดี
แผนกผลิตส่วนประกอบห้องโดยสาร ที่ทำจากไม้และหนังแท้ มีพนักงานถึง 350 คน อาร์-อาร์มีสีและลายไม้ให้ลูกค้าเลือกถึง 6 แบบ ส่วนล่างของไม้จะเป็นไม้อัดบางเฉียบซ้อนกัน 40 ชั้นประกบอยู่บนอลูมิเนียมรูปทรงเดียวกัน เพื่อป้องกันไม้แตกและเกิดอันตรายต่อผู้โดยสารกรณีชนหนักผิวบนสุดเป็นลายไม้ที่ลูกค้าเลือกเคลือบแลคเกอร์หนามันปลาบดุจกระจก
แฟนทอม แต่ละคันใช้หนังจากวัวถึง 18 ตัว ไม่เกี่ยวกับการฆ่าวัวนะครับ เพราะมันถูกฆ่ากินเนื้ออยู่แล้วโดยพวกที่หลงผิดคิดว่าโปรตีนจากสัตว์เป็นสิ่งประเสริฐก็ถูกหลอกต่อกันมาจากตำราเรียนยุคไดโนเสาร์นั่นแหละครับ ชักออกนอกเรื่องไปหน่อย อาร์-อาร์ยังเน้นการตอบสนองความประสงค์เฉพาะตัวของลูกค้าเหมือนเดิมรายการที่มีให้ลูกค้าเลือกจึงยาวเหยียด และแม้ไม่อยู่ในรายการก็ยังยินดีทำให้ถ้าสิ่งนั้นไม่มีอันตรายและไม่ผิดกฎหมาย
ระบบรองรับของ แฟนทอม เป็นแบบใช้ "สปริงอากาศ" หรือถุงลมแทนสปริงเหล็กจึงปรับระดับได้ตามความเหมาะสม และตามใจผู้ขับด้วย ที่ความเร็วสูงจะลดระดับตัวถังโดยอัตโนมัติเพื่อลดแรงต้านอากาศ ถ้าต้องผ่านถนนที่เป็นหลุมลึก ก็สามารถยกตัวถังให้สูงเป็นพิเศษได้แดมเพอร์หรือชอคอับ ฯ ปรับตัวโดยอัตโนมัติด้วยระบบอีเลคทรอนิคส์ ซึ่งรับข้อมูลต่างๆ
มาจากเซนเซอร์จำนวนมาก โดยประมวลผล 100 ครั้งในแต่ละวินาที เพราะฉะนั้นแค่ล้อหน้าตกหลุมชอคอับ ฯ ของล้อหลังก็จะปรับตัวได้ทันก่อนจะถึงหลุม การยึดแขวนล้อหน้าเป็นแบบปีกนกสองชั้นส่วนล้อหลังใช้ระบบมัลทิลิงค์ ซึ่ง บีเอม ฯ ชำนาญมาจากซีรีส์ 7 อยู่แล้ว
เครื่องยนต์ วี-12 สูบ ของ ซีรีส์ 7 ถูกเพิ่มความจุเป็น 6.75 ลิตร เท่ากับเครื่อง วี-8 เดิมซึ่งยังใช้ก้านกระทุ้งกระเดื่องวาล์วอยู่ บีเอม ฯ ใช้เทคโนโลยีเครื่องยนต์ระดับสูงครบครันกับเครื่องนี้ใช้กำลังสูงสุด 453 แรงม้า (เครื่องเดิม 335 แรงม้า) ที่ 5,350 รตน. แรงบิดสูงสุด 531 ปอนด์ฟุต ที่3,500 รตน. ดูแต่ตัวเลขจะรู้สึกว่าเป็นเครื่องยนต์ที่ค่อนข้างเน้นกำลัง
แต่ที่จริงไม่ครับ บีเอม ฯ เน้นแรงบิดสูงที่ความเร็วเครื่องยนต์ต่ำ ที่ 1,000 รตน.ที่เครื่องยนต์นี้ให้แรงบิดได้ถึง 75 % ของแรงบิดสูงสุดทำได้เพราะใช้ระบบปรับจังหวะเปิดปิดและระยะอ้าของวาล์ว ซึ่งถือเป็นนวัตกรรมของวิศวกร บีเอม ฯล้วนๆ เกียร์จะเป็นแบบอื่นไปไม่ได้ ต้องเป็นแบบอัตโนมัติเท่านั้น 6 จังหวะตามเทคโนโลยีล่าสุด ทั้งๆ
ที่ใช้กับสุดยอดเครื่องยนต์รุ่นนี้ แค่ 5 จังหวะก็เหลือเฟือแล้วครับ
คันเกียร์อยู่ที่พวงมาลัยตามประเพณีดั้งเดิมของ อาร์-อาร์ ซึ่งผมว่าถูกต้องแล้ว
เพราะผู้ขับ อาร์-อาร์ ไม่ว่าจะเป็นเจ้าของหรือพนักงานขับ ไม่สมควรมาเลือกจังหวะเกียร์บ่อยๆ ให้วุ่นวาย
เช่นเดียวกับวงพวงมาลัย ซึ่งขณะพัฒนาและทดลองขับ นักทดสอบของ บีเอม ฯ ท้วงว่าเนื้อที่รอบวงมันน้อยไป คือ "ผอม" ไปหน่อย จับไม่เต็มมือเหมือนรถยุคนี้แต่ฝ่ายออกแบบก็ต่อสู้รักษาเอกลักษณ์ของมันไว้จนสำเร็จ ซึ่งผมก็เห็นด้วย เพราะไม่ควรมีใครขับ อาร์-อาร์ ในทางคดเคี้ยวแข่งกับชาวบ้าน
อีกตัวอย่างหนึ่งที่ผมชอบมากคือ แฟนทอม รุ่นล่าสุดนี้ ไม่มีมาตรวัดความเร็วของเครื่องยนต์ครับเพราะดูไปก็เท่านั้น สนใจมากๆ จะพาลชนท้ายรถคันหน้าเปล่าๆเพราะระบบควบคุมเกียร์อัตโนมัติชั้นเลิศนี้ ไม่เหลืออะไรให้เป็นภาระของผู้ขับ อาร์-อาร์เนื้อที่ตรงนี้จึงเป็นของมาตรบอกกำลังสำรองของเครื่องยนต์ ว่ายังเหลืออยู่กี่เปอร์เซนต์ตอนติดเครื่องยนต์จอดอยู่ เข็มก็จะชี้ไปที่เลขทางขวาสุดคือ 100 %ถ้าเหยียบมิดและรอบเครื่องยนต์อยู่ที่แถว ๆ 5,300 รตน. เข็มก็จะชี้ไปที่ 0 %คือใช้กำลังทั้งหมดอยู่ในขณะนั้น ระหว่างขับก็แปรเปลี่ยนไปเรื่อย
ซึ่งก็ทำไม่ยากครับ วิธีวัดแบบนี้ ใช้สัญญาณจากความเร็วของเครื่องยนต์
กับสัญญาณที่ใช้ในการคุมวาล์ว (รถนี้ไม่ใช้ลิ้นผีเสื้อ)มาคำนวณกำลังของเครื่องยนต์ตามโพรแกรมที่ใช้ข้อมูลจากการทดสอบกำลังเครื่องยนต์บนแท่นวัดกำลังแล้วแปลงเป็นสัญญาณไฟฟ้า ป้อนให้กับมาตรวัดกำลังสำรอง ก็จะได้ของเล่นใหม่ให้เจ้าของ แฟนทอมนี้
สมัยก่อนนี้ใครที่ใช้รถหรูหราระดับโลกจะต้องทำใจว่า อาจถูกรถราคาหนึ่งใน 10 ทิ้งห่างได้เมื่อออกรถตอนไฟเขียว หมดยุคนั้นไปแล้วครับ
รถหรูหรายุคนี้มีอัตราเร่งระดับรถสปอร์ทชั้นดีกันเกือบทุกรุ่นแล้ว แฟนทอม เร่ง 0-96 กม./ชม.ในเวลาเพียง 5.7 วินาทีเท่านั้น ความเร็วสูงสุดถูกจำกัดโดยสัญญาสุภาพบุรุษระหว่างโรงงานรถชั้นดีของเยอรมนี เช่น เบนซ์/บีเอม ฯ และเอาดี ไว้ที่ 250 กม./ชม.
เมื่อถูกถามถึงคู่แข่งระดับ มายบัค (MAYBACH) จากค่าย ไดมเลร์ ไครสเลอร์ คาเมรอนตอบได้อย่างตรงจุดดังนี้ "มายบัค" คือ เบนซ์ รุ่นใหญ่สุดนั่นเอง แต่ อาร์-อาร์ คือ อาร์-อาร์ ไม่ใช่ บีเอม ฯรุ่นใหญ่ถัดจากซีรีส์ 7 ใครที่ชอบเทคนิคเยอรมันล้วนๆ แบบครัวสำเร็จรูปเยอรมัน ก็ควรซื้อ มายบัค ไป
ส่วน อาร์-อาร์ ของเรานั้นเหมาะกับลูกค้าที่ขับมันได้ทุกวันไม่มีเบื่อ แล้ววันหยุดก็ลุยรวดเดียวไปปร๋ออยู่ในเมืองหรูอย่าง มนเต การ์โล (MONTE CARLO) ได้อย่างสบายๆ
เกือบลืมบอกไปครับ ถึงจะหรูหราขนาดไหน เก้าอี้ด้านหลังให้ความสะดวกสบายเพียงใดผู้พัฒนาผู้ผลิตรถนี้ต่างก็ยืนยันเป็นเสียงเดียวกันว่า เน้นให้เจ้าของขับเองเป็นหลัก นั่งหลังเป็นรองครับ
เรื่องโดย : เจษฎา
ภาพโดย : -
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน เมษายน ปี 2546
คอลัมน์ Online : รู้ลึกเรื่องรถ
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/51551