รู้ลึกเรื่องรถ
"แอร์" รถหน้าร้อน
กว่าต้นฉบับนี้ของผมจะถูกพิมพ์ ก็คงจะเป็นช่วงกลางหน้าร้อนพอดี ผมไม่แน่ใจว่าจำนวนผู้ชอบหน้าร้อนกับผู้ไม่ชอบ ฝ่ายไหนจะมากกว่ากัน ผมเองอยู่ฝ่ายชอบ เพราะสำหรับคนที่ต้องใช้รถค่อนข้างมากในชีวิตประจำวันแล้ว ยังดีกว่าหน้าฝนมากมายครับ ขอเพียงให้ "แอร์" ของรถและของห้องนอนรวมทั้งห้องทำงาน ทำงานได้ดีตามปกติ แต่มีคนอยู่พวกหนึ่งที่ชอบหน้าร้อนเป็นพิเศษจริงๆ นั่นคือพวกขาย "แอร์" กับพวกรับซ่อม หรือไม่ก็เป็นพวกที่ได้ผลประโยชน์จากค่าไฟฟ้าของพวกเรานะครับ เพราะเป็นองค์กรระดับยักษ์ที่คนทั่วไปไม่สามารถเห็นตัวตนผู้ได้ผลประโยชน์ชัดเจน
ถ้าอากาศภายนอกไม่ร้อนจัด เราอาจจะยังไม่ทราบว่า ระบบปรับอากาศของรถเราทำงานไม่ได้ดีหรือไม่สมบูรณ์เท่าที่ควร พอเข้าหน้าร้อน "จุดอ่อน" เหล่านี้ก็จะสำแดงอาการทันที นั่นคืออากาศภายในรถของเราเย็นไม่พอเสียแล้ว สาเหตุมีหลายประการด้วยกัน แต่ผลเหมือนกันคือเย็นไม่พอ เหมือนเวลาเราปวดท้อง ซึ่งมีสาเหตุได้มากมาย ก็ต้องให้ผู้รู้ คือแพทย์ตรวจหาสาเหตุและอาจจะไม่พบก็ได้นะครับ เพราะร่างกายมนุษย์ละเอียดอ่อนซับซ้อนมาก พวกที่บอกว่าพบแน่หรือรู้แล้วเสมอ บางทีก็ "มั่ว" หรือไม่ก็ทึกทักเอาเอง
แต่ระบบปรับอากาศของรถ ไม่ซับซ้อนขนาดนั้นครับ ถ้ามีความบกพร่อง และผู้ตรวจมีความรู้ถูกต้องเพียงพอมีเครื่องมือประกอบการตรวจครบ ย่อมตรวจพบสาเหตุเสมอ
ก่อนอื่นมารู้จักกับการทำงานของระบบปรับอากาศของรถยนต์กันก่อนครับ คำว่า "ปรับ" ในที่นี้ก็คือปรับอุณหภูมิและความชื้นของอากาศ ถ้ากล่าวให้เข้าใจง่าย ระบบปรับอากาศของรถเรา ก็คือระบบที่สามารถ"สูบ" ความร้อนและความชื้นของอากาศภายในห้องโดยสาร และเอาออกมาทิ้งภายนอก หลักการทำงานที่สำคัญ ก็คือหลักการ "คาย" และการ "รับ" ความร้อน ของสารที่เปลี่ยนสถานะจากแกสเป็นของเหลวและจากของเหลวเป็นแกส เราเรียกความร้อนส่วนนี้ว่าความร้อนแฝง ถ้าเราเอาแอลกอฮอล์หรือของเหลวที่มี
แอลกอฮอล์ปนอยู่เช่นน้ำหอมมาหยดลงบนผิวหนัง ผิวของเราจะเย็นลงเพราะขณะที่แอลกอฮอล์ระเหยหรือเรียกให้เป็นทางการว่าเปลี่ยนสถานะ จากของเหลวเป็นแกส จะ "ดูด" ความร้อนจำนวนหนึ่งจากผิวหนังเราไปด้วย แล้วเมื่อใดก็ตามที่มันถูกทำให้เปลี่ยนสถานะเป็นของเหลว มันก็จะคายความร้อนจำนวนนี้ออกมา ตัวอย่างที่เห็นชัดกว่า คือการกลายเป็นหยดน้ำฝนของไอน้ำ ที่เราเห็นเป็นก้อนเมฆ ความร้อนแฝงที่ไอน้ำคายออกมา ทำให้เรารู้สึกร้อนก่อนที่ฝนจะตก
สารที่จะนำมาใช้ "ดูด" และ "คาย" ความร้อนกับระบบปรับอากาศของเรา จึงต้องเปลี่ยนสถานะที่อุณหภูมิพอเหมาะหน่อย คือไม่สูงหรือต่ำเกินไป และต้องมีค่าความร้อนแฝงของการเปลี่ยนสถานะสูงพอ วิศวกรจึงเลือกสาร DICHLORODIFLUOROMETHANE มีชื่อในเชิงพาณิชย์ตั้งโดยบริษัทผู้ผลิตว่า ฟรีออน-12(FREON-12) หรือ อาร์-12 และก็ใช้กันมาเรื่อยโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ว่า คลอรีนซึ่งปนอยู่แล้วระเหยออกมาในบรรยากาศ ทุกครั้งที่ "น้ำยา" รั่ว หรือ ถูกปล่อยทิ้งออกจากระบบ มันจะไปทำลายชั้นโอโซน ที่ช่วยป้องกันรังสีอุลทราไวโอเลท หรือรังสีเหนือม่วง ที่มาจากดวงอาทิตย์ เรียกว่ากว่าจะรู้ตัวก็โหว่ไปรูเบ้อเริ่ม หรือไม่ก็จางเกินไปจนกรองรังสีนี้ไม่อยู่ รังสีนี้แหละครับที่ทำให้เป็นมะเร็งผิวหนัง เป็นต้อ ทำให้ยาง พลาสติคต่างๆเสื่อมสภาพเร็วขึ้น สีทั้งหลายซีดลง ฯลฯ
ประเทศอุตสาหกรรมชั้นนำ เลยนัดประชุมกันหลายรอบแล้วตกลงเปลี่ยนมาใช้สารใหม่ หรือชื่อในเชิงพาณิชย์ว่าอาร์ 134 เอ ซึ่งไม่มีคลอรีนผสมอยู่ รถรุ่นใหม่ที่ผลิตตั้งแต่เกือบสิบปีที่แล้วเป็นต้นมา จะต้องใช้ "น้ำยาแอร์"ชนิดนี้ตั้งแต่โรงงาน ผสมกับ อาร์-12 ไม่ได้นะครับ และเพื่อป้องกันความผิดพลาดหรือจงใจนำ อาร์-12มาใช้กับระบบใหม่จึงใช้เกลียวและขนาดข้อต่อ แหวนยางและชิ้นส่วนทุกอย่าง แตกต่างจากระบบเดิมหมดในด้านการคายและดูดซับความร้อน น้ำยาใหม่จะสู้ของเดิมไม่ได้
เพราะฉะนั้นอย่าคิดหรือยอมให้ใครดัดแปลงเอาชิ้นส่วนสำหรับ อาร์-12 มาใช้กับระบบ อาร์-134 เอ ของเราเด็ดขาดครับ ผมได้ข่าวว่า มีการปลอมปนน้ำยา อาร์-12 แล้วขายในรูปของ อาร์-134 เอ กันหลายแห่งเป็นหน้าที่ของกระทรวงพาณิชย์ที่จะต้องจัดการกับมิจฉาชนพวกนี้
มาดูขั้นตอนการทำงานกันเลยครับ เริ่มที่คอมเพรสเซอร์ ซึ่งใช้พลังงานส่วนหนึ่งของเครื่องยนต์ ส่งมาทางสายพานหมุนพุลลีย์หน้าคอมเพรสเซอร์ ที่มีคลัทช์แม่เหล็กไฟฟ้า เป็นตัวตัดต่อ ว่าจะให้คอมเพรสเซอร์ทำงานหรือไม่ถ้าได้กระแสไฟฟ้าจากสวิทช์เปิดแอร์ และเธอร์โมสแตทซึ่งควบคุมอุณหภูมิในห้องโดยสารคลัทช์ก็จะ "จับ" เพื่อให้กลไกภายในคอมเพรสเซอร์ทำงานลูกสูบภายในคอมเพรสเซอร์ จะอัดไอของน้ำยาซึ่งก็คือน้ำยาในสถานะแกสนั่นเอง ไอน้ำยาที่ถูกอัดเพิ่มความดัน ก็จะมีอุณหภูมิสูงขึ้นด้วย
ลองเอามือแตะดูได้ครับ ที่ท่อขาออกจากคอมเพรสเซอร์ (ลองตอนเครื่องยนต์ยังเย็น) ที่มีคำว่า ดิสชาร์จ "DISCHARGE" และต่อจากคอนเดนเซอร์ด้านหน้าหม้อน้ำ ไอน้ำยาความดันสูงจะไหลเข้าสู่คอนเดนเซอร์ซึ่งมีลักษณะคล้ายรังผึ้งหม้อน้ำ อยู่ด้านหน้าเพื่อรับลมจากด้านหน้ารถ มาระบายความร้อน พอไอน้ำยาคายความร้อนให้แก่อากาศที่ผ่านรังผึ้งคอนเดนเซอร์อุณหภูมิก็จะลดลง และกลายเป็นของเหลวไหลออกจากคอนเดนเซอร์ไปสู่รีซีเวอร์ ซึ่งมีลักษณะเป็นกระบอกโลหะภายในมีสารดูดความชื้นอยู่ เรียกรวมกันอย่างเป็นทางการว่า รีซีเวอร์/ดรายเออร์
แต่ช่างทุกคนจะเรียกผิด ว่าเป็นดรายเออร์หรืออุปกรณ์ดูดความชื้น ที่จริงแล้วเป็นรีซีเวอร์หรือหม้อพักน้ำยาแอร์ครับซึ่งจำเป็นต้องมี เพราะระบบนี้เป็นระบบปิดและสัดส่วนการเป็นของเหลวและแกสของน้ำยาแอร์ไม่แน่นอนขึ้นอยู่กับสภาวะที่ถูกใช้งาน จึงต้องมีหม้อพักไว้รองรับ เป็นส่วนสำรองน้ำยาในสภาวะของเหลวและเป็นที่เหมาะที่จะเอาสารดูดความชื้นมาเก็บไว้ด้วย ถ้าเป็นน้ำยา อาร์-12 จะใช้ ซิลิคา เจลแต่ถ้าเป็นน้ำยา อาร์-134 เอ จะใช้ซีโอไลท์ เป็นสารดูดความชื้น
สารพวกนี้มันดูดความชื้นอยู่ตลอดเวลาครับ เจอเมื่อไรเป็นดูดเมื่อนั้น เพราะฉะนั้นถ้ามีการปล่อยน้ำยาออกและเปิดระบบเพื่อซ่อม ต้องมีการจัดการ ไม่ให้สารดูดความชื้นเจอกับอากาศเป็นเวลานานครับผมเห็นร้านซ่อม "แอร์" ปล่อยกันตามสบายเป็นวันๆ สารดูดความชื้นจะดูดไอน้ำในอากาศจนอิ่มตัวไม่สามารถดูดความชื้นที่หลงอยู่ในระบบได้อีก ช่างไทยไม่เคยใส่ใจเรื่องนี้ ขี้เกียจคิด มักง่ายเอาสบายไว้ก่อนครับทำให้เกิดความเสียหายร้ายแรง
พอผ่านรีซีเวอร์ที่มีสารดูดความชื้นบรรจุอยู่แล้วน้ำยาแอร์ในสถานะของเหลว (ที่แม้จะมีคายความร้อนไปทางรังผึ้งคอนเดนเซอร์แล้ว ก็ยังร้อนอยู่พอสมควรครับ ลองเอานิ้วแตะดูได้) จะไหลผ่านลิ้นลดความดันหรือเอกซ์แพนชันวาล์ว ปล่อยน้ำยาเข้าสู่อีแวพอเรเตอร์ ซึ่งจะเปลี่ยนน้ำยาจากสถานะของเหลวให้กลายเป็นแกสสมชื่อ น้ำยาที่ถูกปล่อยผ่านเอกซ์แพนชันวาล์วเป็นฝอยจะระเหยเป็นไอในท่อที่คดเคี้ยวกลับไปกลับมาของอีแวพอเรเตอร์ ตอนน้ำยาถูกลดความดันและระเหยเป็นไอนี้ มันก็จะดูดความร้อนเข้า "ตัว" มันไปด้วยครับซึ่งก็คือความร้อนจากเนื้อท่อน้ำยาและครีบรังผึ้งของอีแวพอเรเตอร์นั่นเอง แล้วท่อน้ำยาและครีบนี้ซึ่งเย็นเฉียบก็จะดูดความร้อนจากอากาศที่ไหลผ่านมัน ซึ่งก็คืออากาศภายในห้องโดยสารนั่นเอง ที่ถูก "พัดลมแอร์"พัดให้ไหลผ่านในอัตราเร่งหรือต่ำตามแต่เราจะเลือกให้สวิทช์อยู่ในตำแหน่งใด
ส่วนใหญ่จะมีสี่ตำแหน่งคือ 1 เบาสุด ไปจนถึง 4 ที่ให้ลมแรงสุด การพาความร้อนของอากาศในห้องโดยสารออกมาทิ้งด้านนอก (ที่คอนเดนเซอร์) เป็นแบบอากาศหมุนเวียนครับ เพื่อไม่ให้สิ้นเปลืองพลังงานมากเกินไปเพื่อให้ได้ "ความเย็น" พอ และอย่างเร็วพอด้วย นั่นคือ อากาศที่ถูกลดอุณหภูมิและไหลพ้นรังผึ้งของอีแวพอเรเตอร์ออกมา จะกลับสู่ห้องโดยสารทางช่องที่แผงหน้าปัด ที่เราชอบเรียกกันว่า "ช่องลมแอร์"หรือ "ช่องแอร์" นั่นแหละครับ ออกมาคลุกเคล้ากับอากาศในห้องโดยสารที่เย็นน้อยกว่า แล้วก็จะถูกดูดให้ผ่านอีแวพอเรเตอร์ วนเวียนไปเรื่อยๆ
การทำงานของพัดลมที่อีแวพอเรเตอร์ จึงจำเป็นตลอดเวลาที่เราเปิดแอร์ ต่างจากการระบายความร้อนที่คอนเดนเซอร์ ซึ่งอาศัยลมปะทะผ่านจากการเคลื่อนที่ที่เร็วพอของรถ แต่เมื่อใดที่รถจอด ก็จะไม่มีอากาศไหลผ่านรังผึ้งคอนเดนเซอร์เพียงพอ จึงต้องมีพัดลมระบายความร้อนโดยเฉพาะ ซึ่งถ้าไม่ใช่พัดลมที่หมุนพร้อมเครื่องยนต์ ก็จะต้องเป็นพัดลมไฟฟ้าที่ทำงานขณะที่เราเปิดแอร์ โดยไม่เลือกว่ารถจะมีความเร็วหรือไม่เพราะขืนมีเซนเซอร์และระบบควบคุมให้มันหยุดทำงานตอนรถแล่นเร็วเกินระดับหนึ่ง ที่ไม่จำเป็นต้องอาศัยพัดลม ก็จะกลายเป็นจุดอ่อนที่เพิ่มขึ้น เลยต้องยอมให้พัดลมทำงานขณะรถแล่น แม้จะไม่มีความจำเป็น
ขอสรุปให้เห็นภาพอีกทีครับ ระบบปรับอากาศของรถเรา ก็คือการสูบความร้อนของอากาศในห้องโดยสารโดยใช้การกลายเป็นไอของน้ำยาแอร์ ดึงความร้อนของอากาศที่ผ่านรังผึ้งอีแวพอเรเตอร์(ช่างชอบเรียกว่า "คอยล์เย็น") แล้วเอาความร้อนนี้ไปคายให้อากาศภายนอก โดยการเปลี่ยนสถานะจากแกสเป็นของเหลวของน้ำยาแอร์ในคอนเดนเซอร์ ที่จริงแล้วความเย็นไม่มีในโลกนี้นะครับ มีแต่ความร้อนถ้าเย็นจัดก็คือมีความร้อนน้อย ถ้าไม่มีความร้อนเลยก็จะเย็นสุดขีด คือ ประมาณลบ 273 องศาเซลเซียสเศษๆเย็นกว่านี้ไม่มีแล้ว
เพราะฉะนั้น ใครที่ต้องการเข้าใจอย่างถูกต้องถ่องแท้ต้องนึกถึงแต่ความร้อนครับ อย่าไปนึกถึงความเย็นอากาศที่ออกมาทางช่องแอร์ก็ไม่ใช่อากาศที่รับความเย็นมาจากอีแวพอเรเตอร์หรือคอยล์เย็น แต่เป็นอากาศที่คายความร้อนให้อีแวพอเรเตอร์ (หรือคอยล์ดูดความร้อน) จนร้อนน้อยลง แล้วพ่นใส่ตัวเราในห้องโดยสาร
เนื้อที่หมดพอดีครับ ฉบับหน้าจะนำปัญหาของระบบปรับอากาศรถยนต์และสาเหตุ มาให้รู้จักกันครับและผมจะบอกด้วยว่า ความเกียจคร้าน ความมักง่าย ไม่ศึกษาหาความรู้ของช่างติดตั้ง ความละเลยของหัวหน้างาน สามารถทำลายระบบปรับอากาศชั้นดีใหม่เอี่ยมตั้งแต่ในโรงงานผลิตรถการเสียแล้วเสียอีกแม้จะซ่อมโดยเปลี่ยนของใหม่จากร้านซ่อม ให้พังพินาศไปเหมือน ๆ กันหมดได้อย่างไร
เรื่องโดย : เจษฎา ตัณฑเศรษฐี
ภาพโดย : -
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน พฤษภาคม ปี 2547
คอลัมน์ Online : รู้ลึกเรื่องรถ
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/52042