พิเศษ(formula)
ฮัมเมอร์ เอช 3 ที
เมื่อ15 ปีก่อน หากกล่าวถึงเจ้าแห่งรถขับเคลื่อน 4 ล้อ หลายคนคงบอกว่าน่าจะเป็น แลนด์ โรเวอร์ กับ จีพ หรือ ชอบแปลกหน่อยก็ แลนด์ ครูเซอร์ จากค่าย โตโยตา แต่วันนี้ต้องบอกว่า ตำแหน่งเจ้าแห่งรถขับเคลื่อน 4 ล้อตัวจริง ต้องเป็นของ ฮัมเมอร์
กว่าสิบปีนับตั้งแต่สงครามพายุทะเลทราย ภาพของกองทัพอเมริกันกับรถขับเคลื่อน 4 ล้อขนาดใหญ่ที่เรียกขานกันในกองทัพว่า ฮัมวี หรือ (HMMWV ย่อมาจาก HIGH MOBILITY MULTIPURPOSE WHEELED VEHICLE) แปลง่ายๆ ให้ได้ใจความว่า ยานยนต์ล้อยางอเนกประสงค์ความคล่องตัวสูง
ได้แสดงความสามารถในการตะลุยทางทุรกันดารอย่างไม่ย่อท้อ ด้วยเครื่องยนต์ วี 8 สูบ ดีเซลเทอร์โบ ความจุมหาศาล 6.2 ลิตร ให้เป็นที่ประจักษ์ ผ่านภาพข่าวทางโทรทัศน์แทบทุกวัน ซึ่งทำให้เกิดกระแสความคลั่งไคล้ในรถรุ่นนี้ทั้งใน และนอกสหรัฐอเมริกาเป็นอย่างมาก
นักเล่นรถขาลุย ต่างถามหารถ ฮัมวี กนมาก จนบริษัทแม่ที่ผลิตทนไม่ไหว ตัดสินใจดัดแปลง ลดทอนและเพิ่มเติมรายละเอียดบางอย่าง เพื่อให้สามารถนำออกจำหน่ายแก่สาธารณชน อาทิ เครื่องยนต์ความจุใหญ่กว่าเดิม และมีแรงม้าสูงขึ้น รวมถึงเกียร์อัตโนมัติ 4 จังหวะ ซึ่งจากเดิมเพียง 3 จังหวะ พร้อมกับชื่อเรียกขานใหม่ว่า ฮัมเมอร์ ซึ่งลูกค้ากลุ่มแรกๆ ก็เป็นพรีเซนเตอร์ชั้นยอดเสียด้วย อาทิ อาโนลด์ ชวาสเนกเกอร์ และกลุ่ม แรพเพอร์ ชื่อดัง ทำให้ภาพลักษณ์ของ ฮัมเมอร์ เปลี่ยนจากรถของทหารในสมรภูมิสงครามอ่าวเปอร์เซีย ไปเป็น รถของคนดัง และสมรภูมิที่ใช้ก็คือ โรเดโอ ดไรฟ ในย่านหรูหราของ เบเวอรีฮิลล์
แต่ภายใต้รูปทรงอันน่าเกรงขามขนาดใหญ่โตมโหฬาร และราคาที่แพงระยับของรถ ฮัมเมอร์ ผู้ที่สนใจหลายคนพบว่า ภายในกลับอึดอัดและไม่สะดวกสบาย เช่น ตำแหน่งที่นั่งของคนขับและผู้โดยสารอยู่ห่างกันแทบจะเรียกได้ว่าอยู่กันคนละอำเภอ (ไม่เหมาะกับการใช้จีบสาวเป็นอย่างยิ่ง !) เนื่องจากถูกคั่นด้วยห้องเครื่องและเกียร์ที่ ลุกลามเข้ามาภายในห้องโดยสาร เพื่อผลทางด้านการเฉลี่ยน้ำหนัก รวมถึงอีกหลายรายการที่ไม่เหมาะสมกับการใช้งานในเมืองเนื่องจากการออกแบบที่มีรากฐานการใช้งานทางการทหาร (ที่แน่นอนก็คือ หาที่จอดรถได้ ยากเย็นอย่างยิ่งเพราะตัวรถกว้างกว่า 7 ฟุต)
แน่นอนว่าเรื่องเหล่านี้ไม่น่ามีปัญหากับเหล่าบรรดาแฟนพันธุ์แท้จริงๆ ที่มีอยู่ไม่มาก (ไม่เชื่อถามคุณปัญญาดูได้) ทำให้ ฮัมเมอร์ ต้องออกรถรุ่น เอช 2 (H2) ซึ่งมีลักษณะเป็นรถเอสยูวี ที่ศิวิไลซ์กว่า โดยตั้งราคาขายต่ำว่ารุ่นเดิมกว่าครึ่ง พร้อมทั้งติดตั้งเครื่องยนต์เบนซิน วี 8 สูบ ขนาด 6 ลิตร เพื่อความเหมาะสมกับตลาดรถอเมริกาเหนือที่ไม่นิยมเครื่องยนต์ดีเซล และตั้งชื่อรุ่นเดิมเสียใหม่ว่า เอช 1 (H1)
แต่การออกรถรุ่น เอช 2 นั้น นำความสำเร็จมาสู่บริษัทอย่างไม่ผิดความคาดหมาย ด้วย ดีเอนเอ ในด้านสมรรถนะ ที่ด้อยกว่า เอช 1 เพียงเล็กน้อย เช่น เอช 2 สามารถไต่มุมชัน 60 องศา ข้ามสิ่งกีดขวางสูง 40 ซม. แต่ เอช 1 ข้ามได้สูงถึง 50 ซม. เอช 2 ลุยน้ำลึกได้ 50 ซม. ส่วน เอช 1 ลุยได้ลึกถึง 75 ซม. โอเวอร์แฮงหน้า/หลังของ เอช 2 สั้นมาก ทำให้หมดปัญหาทั้งมุมปะทะด้านหน้าและมุมจากบริเวณด้านท้าย รวมทั้งสามารถลากจูงน้ำหนักกว่า 3 ตันได้สบาย (เอช 1 ลากได้ 3.5 ตัน) นอกจากนี้รูปร่างยังกระชับ และเบากว่า (เมื่อเทียบกับ เอช 1 เท่านั้น เพราะเมื่อเทียบกับรถอื่นก็ยังนับว่ามโหฬาร เช่นเคย) การออกแบบรายละเอียดภายนอกชวนให้ระลึกถึงของเล่นเด็กผู้ชาย ตลอดจนภายในที่สะดวกสบาย เหมาะสมกับการใช้งานในสมรภูมิรถติด ซึ่งทำให้รายได้จากการจำหน่าย เอช 2 อย่างท่วมท้น
อย่างไรก็ตามยังมีเสียงเรียกร้องจากตลาดผู้บริโภคที่ หลงใหลในรูปโฉมของ เอช 1 และ เอช 2 เพียงแต่ติงว่าขนาดของมัน จอดในโรงรถไม่ได้ อีกทั้งนำไปขับขี่ประจำวันก็ยุ่งยากเกินไป รวมถึงการบริโภคน้ำมันเกินกว่าที่ ผบทบ. (ผู้บัญชาการที่บ้าน) จะยินดีอนุมัติงบประมาณไปจัดหามาประจำการได้ ด้วยเหตุนี้ จีเอม จึงตัดสินใจขยายตลาดของอนุกรม ฮัมเมอร์ ให้กว้างออกไปอีก สู่รถพิคอัพขนาดกลาง (ใหญ่กว่าพิคอัพในบ้านเรา โดยมากจะใช้เครื่อง 6 หรือ 8 สูบเบนซิน) ซึ่งถือเป็นตลาดที่ใหญ่มากในสหรัฐ ฯ (ตามจริงแลัวก็คือตลาดที่ใหญ่ที่สุดในโลกเช่นกัน) โดยโจทย์ของ ฮัมเมอร์ วางไว้ให้รถรุ่นใหม่ของตนอยู่ในส่วนที่เป็นพรีเมียมของตลาด (ดังที่รถรุ่นอื่นๆ ของตนเป็น) ที่มีผู้ซื้อเป็นผู้ที่ชื่นชอบรถยนต์ในสไตล์ทหารโดยเฉพาะ ที่คิดว่าจะเอาไปลุยมากไปกว่าไว้ใช้ลากเจทสกี หรือขนบรรดาเพื่อนพ้องกลับจากสนามกีฬา ในวันหยุดสุดสัปดาห์ อีกทั้งมีขนาดไม่โอฬารเกินกว่าจะใช้งานประจำวันได้
คำตอบนั้นได้สาธิตให้เราชมในรถแนวคิด ที่ใกล้เคียงกับรถที่จะผลิตออกมาจำหน่ายเป็นอย่างมาก ภายใต้ชื่อ ฮัมเมอร์ เอช 3 ที (HUMMER H3T) ในงานมหกรรมยานยนต์ ลอสแองเจลิส 2004 ในงานนี้ ฮัมเมอร์ ไม่ได้มาเดี่ยว แต่นำเอาขวัญใจของผู้ชื่นชอบชีวิตกลางแจ้ง แบบมีสไตล์อย่าง ไนคี (NIKE)
มาด้วย จากการร่วมมือของทั้งสองที่นำมาซึ่งนวัตกรรมการออกแบบและการผสมผสานอย่างที่ไม่ค่อยได้เห็นกันบ่อยนัก
หากพิจารณากันที่รูปลักษณ์ ผู้ที่ชื่นชอบ ฮัมเมอร์ เห็นจะไม่ผิดหวัง แม้ว่าจะเล็กลงในทุกส่วนสัดแต่ก็ถ่ายทอด ดีเอนเอ สัดส่วนล่ำสันของพี่ใหญ่ เอช 1 มาเต็มเม็ดเต็มหน่วย อย่างที่เห็นเพียงแวบเดียวก็รู้ได้ทันทีว่าต้องเป็น ฮัมเมอร์ อาทิ ความกว้างของตัวถัง ล้อขนาดมหึมาที่สิงสถิตที่มุมตัวถังทั้ง 4 ด้าน แนวหลังคาที่แบนเตี้ย และความสูงที่ทิ้งห่างรถทางฝุ่นยี่ห้ออื่นๆ แต่ก็ไม่ลืมความสะดวกสบายของพี่รอง เอช 2
ทั้งหมดนี้มาพร้อมกับรูปลักษณ์ที่ ปราดเปรียว แต่กำยำกล้าแกร่ง และรายละเอียดต่างๆที่บึกบึนราวกับแกะกลึงออกมาจาก แท่งโลหะตันซึ่งล้วนแล้วแต่กระตุ้น ความรู้สึกของความเป็นหนุ่มที่ไม่ธรรมดา หากแฝงไว้ด้วยความรักในอิสรภาพ และเป็นขบถต่อค่านิยมของสังคม ดังที่ คเลย์ ดีน (CLAY DEAN) หัวหน้าฝ่ายออกแบบผู้รับผิดชอบโครงการ เอช 3 ที เรียกบุคลิกภาพของมันไว้ว่า A BAD BOY IN A BLACK TIE ซึ่งทำให้ระลึกถึงวิถีแห่งลูกผู้ชายชาวอเมริกัน ในสไตล์ของนายตำรวจหนุ่มกระเป๋าตุงจอมลุย อย่าง ไมค์ ลอว์เรย์ (MIKE LOWREY) นำแสดงโดย วิลล์ สมิธ (WILL SMITH)ในภาพยนตร์เรื่อง BAD BOY เข้าทำลองใส่สูทหรูแต่เตะต่อยก็บ่ยั่น
นอกเหนือจาก ดีเอนเอ ที่ถ่ายทอดมาอย่างไม่ผิดเพี้ยน และการตกแต่งรายละเอียดที่สวยงามต่างๆ ในสไตล์ รถแนวคิด อาทิ คันเกียร์ที่สามารถพับเก็บราบไปกับที่วางแขน สวิทช์ก้านกระดกในห้องโดยสารที่ได้แรงบันดาลใจมาจากอุปกรณ์ทางการทหาร กว้านและขอเกี่ยวที่ออกแบบให้กลมกลืนไปกับแนวกันชน หลังคาผ้าใบที่สามารถเปิดออกยามเมื่อต้องการวิ่งรับลม ชุดส่องสว่าง และสัญญาณไฟเลี้ยวเหนือกระจกหน้า แผงกันกระแทกทำจากคาร์บอนไฟเบอร์ที่นอกจากกันกระแทกแล้วยังทำหน้าที่ช่วยด้านอากาศพลศาสตร์ และกล้องติดตั้งบนฝากระโปรงที่นอกจากนำภาพการลุยด้านหน้ารถในมุมที่คุณมองไม่เห็น ยังสามารถบันทึกการลุยไม่ยั้งของคุณกลับไปชมที่บ้านในระบบ ดีวีดีอีกด้วย !
นอกจากที่กล่าวมาแล้ว เอช 3 ที ยังได้นำเสนอนวัตกรรมทางการใช้งานอีกหลายส่วนอาทิ ช่องเก็บของที่สามารถใช้งานจากทางด้านข้างตัวรถ เพื่อการเก็บสัมภาระที่บ่อยครั้งเปรอะเปื้อน เช่น อุปกรณ์กีฬาต่างๆ (แน่นอนว่าต้องเป็นอเมริกันฟุตบอล) รวมถึงเมื่อเปิดช่องเก็บของนั้นออก บันไดข้างรถจะกางออกมาเพื่อให้สามารถก้าวขึ้นไปยืนบนกระบะท้ายได้โดยไม่ต้องใช้ความพยายามมากมายนัก
นอกจากนี้ยังรวมไปถึงผลงานการรังสรรค์ร่วมกับ ไนคี ซึ่งส่วนใหญ่จะปรากฏอยู่ในการออกแบบภายในห้องโดยสาร ที่ได้รับการตกแต่งอย่างเรียบง่าย แต่ชาญฉลาด อาทิ เก้าอี้นั่งที่ติดตั้งมาพร้อมกับเป้สะพายหลัง รุ่นยอดนิยม อีพิค (EPIC) ที่พกดีกรี รางวัลเหรียญทองแดง การออกแบบผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม จาก สมาคมนักออกแบบผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมแห่งสหรัฐอเมริกา ประจำปี 2003 มาช่วยขจัดปัญหาข้าวของกระจัดกระจายภายในห้องโดยสาร ซึ่ง ดีน กล่าวว่าแนวคิดนี้ พร้อมที่จะออกสู่ตลาดได้แน่นอน เบาะนั่งหุ้มด้วยวัสดุ สเปียร์ (SPHERE) ซึ่งเป็นนวัตกรรมด้านสิ่งทอจาก ไนคี อันเป็นการออกแบบให้เส้นใยมีโพรงอากาศ ส่งผลให้ผู้ขับขี่และผู้โดยสารรู้สึกถึงความสบาย ลดความเหนอะหนะจากเหงื่อชุ่มแผ่นหลังในฤดูร้อน โดยไม่ต้องอาศัยชุดพัดลมขนาดจิ๋วฝังในเก้าอี้ ดังที่รถราคาแพงรุ่นอื่นๆ นิยมทำกัน
แต่ที่เห็นว่าโดดเด่นสุดๆ อย่างที่ต้องหยุดพินิจพิเคราะห์กันเลยทีเดียวเห็นจะเป็นนวัตกรรมที่ออกแบบร่วมกันระหว่าง ไนคี และ บีเอฟ กูดริช (BF GOODRICH) นั่นคือยางรถยนต์รุ่น เอซีจี หรือ (ACG: ALL CONDITION GEAR ) อันได้รับแรงบันดาลใจจากพื้นรองเท้ากีฬา เอซีจี ของ ไนคี
โดยมีแนวคิดจากยางสีสันต่างๆ ที่ปรากฏบนพื้นรองเท้าซึ่งล้วนแต่มีคุณสมบัติต่างๆ กันไปแล้วทำไมไม่ลองทำบนยางล้อรถยนต์ดูบ้าง
แนวความคิดนี้ส่งผลให้ ยาง เอซีจี ปรากฏโฉมด้วยแถบยางสีแดงกลางหน้ายางโดยมีคุณสมบัติในการยึดเกาะ ในขณะที่ดอกยางสีเทา บริเวณขอบยางด้านนอกและด้านใน ต่างได้รับการออกแบบให้มีความสามารถในการตะกุยพื้นที่ถุรกันดาร นอกจากนั้นลักษณะพื้นที่ที่แตกต่างกัน ยังสามารถปรับแต่งให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุด ด้วยการกลับทิศทางการติดตั้งยางได้อีกด้วย (อย่าลืมว่า ฮัมเมอร์ รุ่นดั้งเดิมอย่าง เอช 1 มาพร้อมกับระบบปรับลด หรือ เพิ่มแรงดันลมยางจากภายในห้องโดยสาร เพื่อให้การลุยพื้นที่ โคลน เลน ทราย และทางภูเขา เป็นไปอย่างสบายๆ มากว่าทศวรรษแล้ว)
นอกจากประโยชน์จากการผสมผสานนวัตกรรมข้ามสายพันธุ์ในด้านการใช้งานแล้ว สีสันที่ปรากฏบนหน้ายางยังส่งผลให้ยางแลดูลดความหนักทึบลง แม้ว่าจะมีขนาด 285/65 อาร์19และมีความสูงถึง 34 นิ้วก็ตาม จึงเรียกได้ว่ายางชุดนี้เป็นองค์ประกอบสำคัญที่ทำให้ เอช 3 ที ดูทะมัดทะแมงผิดจากรถในสายพันธุ์เดียวกัน
ขุมกำลังที่รถแนวคิดคันนี้เลือกใช้เป็น เครื่องยนต์ VORTEC 5 สูบแถวเรียงขนาด 3.5 ลิตร ติดตั้งระบบอัดอากาศเทอร์โบอินเตอร์คูเลอร์แบบระบายความร้อนด้วยน้ำ ให้กำลังถึง 350 แรงม้าที่ 6,000 รตน. พร้อมแรงบิดสูงสุด 48.3 กก.-ม. ที่ 3500 รตน. ส่งกำลังผ่านห้องเกียร์อัตโนมัติ HYDRA-MATIC 4 เกียร์เดินหน้า ลงสู่ล้อทั้ง 4 แบบ AWD
จากตัวเลขน่าจะพอคาดเดาได้ว่า เครื่องยนต์ชุดนี้ไม่ได้หวังผลเรื่องการฉุดลากเท่าไรนัก แต่กลับเน้นไปที่อัตราเร่งแซงที่เร้าใจ อันนี้ต่างไปจากแนวความคิดดั้งเดิมของรถ ฮัมเมอร์ ทั้ง 2 รุ่น ซึ่งน่าจะตรงกับวัตถุประสงค์หลักของ เอช 3 ที ในการเป็นยานยนต์คนหนุ่มที่เร้าใจในการขับขี่ นอกจากนี้เชื่อได้ว่าเครื่องยนต์ชุดนี้น่าจะไปปรากฏอยู่ใต้ฝากระโปรงรถรุ่นอื่นๆ ในตระกูล จีเอมอีกด้วย
โชคดีเหลือเกินที่ ฮัมเมอร์ นำเจ้า เอช 3 ที ออกแสดงในงานมหกรรมยานยนต์ลอสแองเจลิส 2004ก่อนที่จะปะทะกับ เรนจ์ สตอร์เมอร์ (RENGE STORMER) แห่งค่าย แลนด์ โรเวอร์ รถจากเมืองผู้ดีที่ออกแสดงในงานดีทรอยท์ เพียงไม่ถึงหนึ่งเดือนหลังจากนั้น มิเช่นนั้นแล้วแม้จะเป็นรถที่แตกต่างกันในแนวความคิด แต่เชื่อแน่ว่าคงมีการหายใจหายคอกันไม่ออกตลอดงานเป็นแน่แท้ เข้าทำนองว่า "เสือสองตัวอยู่ถ้ำเดียวกันไม่ได้" ซึ่งทำให้ผมระลึกถึงภาพยนตร์เรื่อง THE WILD ONE (1953) ซึ่งแสดงภาพการปะทะกันระหว่างแก๊งมอเตอร์ไซค์อเมริกัน HARLEY DAVIDSON กับแก๊ง BLACK
REBELS MOTORCYCLE CLUB สัญลักษณ์ของหัวกะโหลกกับปืนไขว้ที่ขี่มอเตอร์ไซค์อังกฤษ อย่าง TRIUMPH เป็นหัวหน้าแก๊ง
ในครั้งนั้นหนุ่มบนรถอังกฤษมีชัย...แต่คราวนี้ไม่แน่นะครับ
ABOUT THE AUTHOR
ภ
ภัทรกิต์ โกมลกิติ
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน กรกฏาคม ปี 2547
คอลัมน์ Online : พิเศษ(formula)