สังคม + ธุรกิจ
ค่ายใบพัดเครื่องบิน ปรับโฉมรถ ซีรีส์-7
เยอรมนี-ผู้ผลิตรถยนต์แห่งแคว้นบาวาเรีย เจ้าของเครื่องหมายการค้า "ใบพัดเครื่องบินสีฟ้าขาว" ปรับรูปโฉมรถธงในสายการผลิต แบบ FACELIFT หรือ "ยกหน้า" และประกาศว่า จะเริ่มจำหน่ายรถรุ่นใหม่นี้ในตลาดยุโรป ฤดูใบไม้ผลิปี 2005 นี้
บีเอมดับเบิลยู ซีรีส์-7 (BMW 7-SERIES) รถธงในสายการผลิตปัจจุบัน เป็นรถรุ่นที่สี่ เริ่มจำหน่ายในเยอรมนีเมื่อปลายปี 2001 โดยมีตัวถังให้เลือกใช้สองแบบ คือแบบฐานล้อมาตรฐาน (2.990 ม.) กับแบบฐานล้อยาว (3.130 ม.) รูปทรงองค์เอวตัวถัง ซึ่งคนชอบก็เยอะคนชังก็มาก เป็นผลงานรังสรรค์ในยุคที่ คริส เบงเกิล (CHRIS BANGLE) นักออกแบบชาวอเมริกันชื่อดัง เพิ่งเข้ามารับตำแหน่งผู้อำนวยการฝ่ายออกแบบของ บีเอมดับเบิลยู อย่างไรก็ตาม ยอดขายที่สูงถึง 160,000 คัน ในช่วงเวลา 38 เดือน ที่จำหน่ายอยู่ในตลาดทั่วโลก เป็นเครื่องบ่งชี้ว่า รถรุ่นที่สี่นี้ นับเป็นรถ ซีรีส์-7 ที่ประสบความสำเร็จสูงสุดในประวัติศาสตร์ของ บีเอมดับเบิลยู
สำหรับรถ ซีรีส-7 รุ่น "ยกหน้า" ซึ่งจะอยู่ในตลาดไปอีกสี่ปี ก่อนการปรากฏตัวของรถรุ่นที่ห้านี้ ผู้ผลิตรถยนต์แห่งแคว้นบาวาเรีย นำออกอวดตัวต่อสายตาสาธารณชนเป็นครั้งแรก ที่งานมหกรรมยานยนต์เจนีวาครั้งที่ 75 เมื่อต้นเดือนมีนาคมที่ผ่านมา และมีกำหนดออกจำหน่ายในตลาดยุโรป ทั้งแบบพวงมาลัยซ้ายและพวงมาลัยขวา ในไตรมาสที่สองของปี 2005 นี้
เช่นเดียวกับรถรุ่นเดิม บีเอมดับเบิลยู ซีรีส์-7 รุ่น "ยกหน้า" มีทั้งแบบ ฐานล้อมาตรฐาน และฐานล้อยาว ทั้งสองแบบยังอยู่ในตัวถังเดิม แต่มีการปรับปรุงรายละเอียดในหลายๆจุด ทั้งภายนอกและภายใน
ในส่วนของตัวถังภายนอก จุดเปลี่ยนแปลงที่สังเกตเห็นได้ง่ายที่สุด คือ ดวงโคมไฟหน้าและไฟท้าย แผงกระจังหน้ารูปไต และกันชนทั้งหน้าและหลัง โดยส่วนรวม เกจิอาจารย์บางคนในยุโรป ให้ความเห็นว่า เป็นการเปลี่ยนแปลงที่ทำให้รถ ซีรีส์-7 ดูสวยกว่าเดิม และน่าจะทำให้ลูกค้าขาประจำของ บีเอมดับเบิลยู ที่เคยมีความรู้สึก"รับไม่ได้" กับรถ ซีรีส์-7 รุ่นที่สี่ น่าจะเปลี่ยนใจได้บ้าง ไม่มากก็น้อย
บีเอมดับเบิลยู ซีรีส์-7 รุ่น "ยกหน้า" แยกโมเดลให้เลือกใช้ ตามขนาดเครื่องยนต์ และแบบตัวถัง รวม 10 โมเดล โดยแยกเป็น รถฐานล้อมาตรฐาน 6 โมเดล คือ 730I 740I 750I 760I 730D และ 745D กับเป็นรถฐานล้อยาว 4 โมเดล คือ 730LI 740LI 750LI และ 760LI
รุ่น 730I และ 730LI ติดตั้งเครื่องยนต์ DOHC 6 สูบเรียง 2,996 ซีซี 258 แรงม้า เป็นเครื่องยนต์ที่ออกแบบขึ้นใหม่ และเป็นเครื่องยนต์แบบแรกในโลก ที่ห้องเพลาข้อเหวี่ยงทำจากส่วนผสมของแมกนีเซียม/อลูมิเนียม (MAGNESIUM/ALUMINIUM)
รุ่น 740I และ 740LI ซึ่งมาแทนที่ 735I และ 735LI ในรถรุ่นเดิม ติดตั้งเครื่องยนต์ DOHC วี 8 สูบ 4,000 ซีซี ให้กำลังสูงสุด 306 แรงม้า ที่ 6,300 รตน.
รุ่น 750I และ 750LI ซึ่งมาแทนที่ 745I และ 745LI ในรถรุ่นเดิม ติดตั้งเครื่องยนต์ DOHC วี 8 สูบ 4,799 ซีซี ให้กำลังสูงสุด 367 แรงม้า ที่ 6,300 รตน.
รุ่น 760I และ 760LI ซึ่งเป็นรถรุ่นหัวกะทิ ติดตั้งเครื่องยนต์ DOHC วี 12 สูบ 5,972 ซีซี ให้กำลังสูงสุด 445 แรงม้า ที่ 6,000 รตน.
รุ่น 730D และ 745D ติดตั้งเครื่องยนต์เทอร์โบดีเซลฉีดตรง DOHC 6 สูบเรียง 2,993 ซีซี 231 แรงม้า และ DOHC วี 8 สูบ 4,423 ซีซี 300 แรงม้า ตามลำดับ
ย่อยข่าว
* ญี่ปุ่น-ยักษ์เล็ก ฟูจิ เฮฟวี อินดัสตรีส์ (FUJI HEAVY INDUSTRIES) เพิ่มความเข้มข้นของการแข่งขันในตลาดรถ มีนี (MINI CAR) ของเมืองปลาดิบ โดยนำรถแบบใหม่ออกสู่ตลาดอีกหนึ่งอนุกรม คือ ซูบารุ อาร์ 1 (SUBARU R1) รถตัวถังสามประตูแฮทช์แบค ยาว 3.285 ม. กว้าง 1.475 ม. และสูง 1.510 ม. ที่ออกแบบให้นั่งแค่สองคน แต่ในกรณีที่จำเป็น เบาะหลังที่ออกแบบสำหรับบรรทุกของ ก็ยังนั่งได้อีกสองคนแต่ต้องเบียดกันหน่อย มีทั้งแบบขับล้อหน้าและขับสี่ล้อ แต่มีเครื่องยนต์เพียงขนาดเดียวเป็นเครื่อง DOHC 4 สูบเรียง 658 ซีซี ให้กำลังสูงสุด 54 แรงม้า ที่ 6,400 รตน.ถ่ายทอดกำลังผ่านระบบเกียร์อัตโนมัติปรับอัตราทดต่อเนื่อง (เกียร์ CVT) ตั้งเป้าว่าจะขายในญี่ปุ่นเดือนละ 800 คน โดยกำหนดค่าตัวไว้ที่ระดับ 1.26-1.37 ล้านเยน หรือเท่ากับประมาณ 0.48-0.52 ล้านบาทไทย มีแนวโน้มที่จะส่งออกขายนอกญี่ปุ่นด้วยเพราะที่งานมหกรรมยานยนต์เจนีวาในเมืองสวิส เมื่อต้นเดือนมีนาคมที่ผ่านมา จอดแสดงอยู่ในงานด้วย
* ญี่ปุ่น-ค่าย ไดฮัทสุ มอเตอร์ (DAIHATSU MOTOR) ก็เพิ่งนำรถ มีนี แบบใหม่ ออกสู่ตลาดในเมืองปลาดิบเช่นกัน คือ ไดฮัทสุ มิรา จีโน (DAIHATSU MIRA GINO) ที่เห็นในภาพบน เป็นรถห้าประตูแฮทช์แบคสี่ที่นั่ง ยาว 3.395 ม. กว้าง 1.475 ม. และสูง 1.515 ม. ที่มีรูปทรงองค์เอวและหน้าตาเหมือนรถ มีนี (MINI) ของเมืองอังกฤษ แยกโมเดลให้เลือกใช้รวม 8 โมเดล มีทั้งแบบขับล้อหน้าและขับสี่ล้อ แต่มีเครื่องยนต์ขนาดเดียว คือเครื่อง DOHC 3 สูบเรียง 659 ซีซี ให้กำลังสูงสุด 58 แรงม้า ที่ 7,600 รตน. ถ่ายทอดกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ 4 จังหวะ สนนราคาค่าตัวที่ซื้อขายกันเมืองปลาดิบ อยู่ระหว่าง 0.98-1.38 ล้านเยน หรือเท่ากับประมาณ 0.37-0.52 ล้านบาทไทย
* ยุโรป-มีการสรุปผลอย่างเป็นทางการแล้วว่า ในรอบปี 2004 รถที่ขายดีที่สุดในเยอรมนี คือ โฟล์คสวาเกน กอล์ฟ (VOLKSWAGEN GOLF) ซึ่งมียอดขายสูงถึง 226,500 คัน รองลงไปตามลำดับ คือ โอเพล อัสตรา (OPEL ASTRA) บีเอมดับ
เบิลยู ซีรีส์-3 (BMW 3-SERIES) เมร์เซเดส-เบนซ์ ซี-คลาสส์ (MERCEDES-BENZ C-CLASS) และ เอาดี เอ 4 (AUDI A4) ส่วนในอิตาลี รถขายดีที่สุด คือ เฟียตปุนโต (FIAT PUNTO) ซึ่งมียอดขายรวม 177,000 คัน รองลงไปตามลำดับ คือเฟียต ปันดา (FIAT PANDA) ลันชา อิพซีลอน (LANCIA YPSILON) ฟอร์ด ฟิเอสตา (FORD FIESTA) และ โตโยตา ยาริส (TOYOTA YARIS)
* เยอรมนี-แม้ว่ายอดขายของรถ บีเอมดับเบิลยู เซด 4 (BMW Z4) ลดลงถึงร้อยละ 18 และของ บีเอมดับเบิลยู ซีรีส์-7 (BMW 7-SERIES) ลดลงถึงร้อยละ 17 ในรอบปี 2004 ที่เพิ่งผ่านพ้นไป ผู้ผลิตรถยนต์แห่งแคว้นบาวาเรีย ก็ยังสามารถสร้างสถิติใหม่ด้านการขาย โดยการขายรถ บีเอมดับเบิลยู (BMW) ในตลาดทั่วโลกได้ถึง 1,023,583 คัน กับขายรถ มีนี (MINI) 184,357 คัน และ โรลล์ส-รอยศ์ 729 คัน ในจำนวนนี้ รถที่ขายได้มากที่สุด คือ บีเอมดับเบิลยู ซีรีส์-3 (BMW 3-SERIES) ซึ่งแม้ว่ากำลังจะเปลี่ยนรุ่น ก็ยังขายได้ถึง 449,273 คัน ทำให้ยอดขายของ ซีรีส์-3 เจเนอเรชันนี้ ผ่านหลักสามล้านคันไปเรียบร้อยแล้ว ส่วนรถ บีเอมดับเบิลยู ซีรีส์-5
(BMW 5-SERIES) ยอดขายทั่วโลกในรอบปี 2004 อยู่ที่ระดับ 229,598 คัน
* ฝรั่งเศส-ตามตัวเลขของยักษ์ใหญ่ เรอโนลต์ (RENAULT) ในรอบปี 2004 รถยนต์นั่งที่ขายดีที่สุดในเมืองน้ำหอม 10 อันดับแรก ได้แก่
1. เรอโนลต์ เมกาน 223,274 คัน
2. เปอโฌต์ 206 151,250 คัน
3. เรอโนลต์ กลีโอ 137,547 คัน
4. เปอโฌต์ 307 133,956 คัน
5. ซีตรอง เซ ตรัวส์ 86,875 คัน
6. ซีตรอง ซารา/เซ กัตร์ 82,652 คัน
7. ฟอร์ด โฟคัส 48,782 คัน
8. เรอโนลต์ ทวิงโก 47,699 คัน
9. เรอโนลต์ ลากูนา 47,114 คัน
10. เปอโฌต์ 407 46,604 คัน
ที่งานมหกรรมยานยนต์เจนีวาครั้งที่ 75 ซึ่งมีขึ้นในสวิทเซอร์แลนด์ ระหว่างวันที่ 3-13 มีนาคม ที่ผ่านมา THE COMITE CABRIOLET คณะกรรมการอิสระ ซึ่งเป็นนักเขียนข่าวรถยนต์ จำนวน 19 คน จาก 11 ประเทศ ได้พิจารณาตัดสินให้ นิสสัน
350 เซด โรดสเตอร์ (NISSAN 350Z ROADSTER) ที่เห็นในสองภาพบน ครองตำแหน่ง CABRIO OF THE YEAR หรือ "ยอดรถเปิดประทุนแห่งปี" อันเป็นตำแหน่งเกียรติยศที่มอบเป็นประจำทุกๆปีในงานนี้ นับแต่ปี 1994 เป็นต้นมา โดยกำหนดกติกา
ไว้เพียงสองข้อว่า รถที่มีสิทธิได้รับการพิจารณาให้ครองตำแหน่ง ต้องเป็นรถที่ปรากฏตัวเป็นครั้งแรกในงานนี้ และต้องมีค่าตัวไม่สูงกว่า 60,000 สวิสฟรองศ์ หรือเท่ากับประมาณ 2.0 ล้านบาทไทย ในรอบ 12 ปีที่ผ่านมา มีรถที่ได้รับรางวัลดังนี้
1994 เปอโฌต์ 306 (PEUGEOT 306)
1995 เฟียต บาร์เคตตา (FIAT BARCHETTA)
1996 บีเอมดับเบิลยู เซด 3 โรดสเตอร์ (BMW Z3 ROADSTER)
1997 เมร์เซเดส-เบนซ์ เอสแอลเค (MERCEDES-BENZ SLK)
1998 เชฟโรเลต์ คามาโร คอนเวอร์ทิเบิล (CHEVROLET CAMARO CONVERTIBLE)
1999 ฮอนดา เอส 2000 โรดสเตอร์ (HONDA S2000 ROADSTER)
2000 โอเพล สปีดสเตอร์ (OPEL SPEEDSTER)
2001 เปอโฌต์ 206 เซเซ (PEUGEOT 206 CC)
2002 เอมจี ทีเอฟ (MG TF)
2003 ซีตรอง เซ ตรัวส์ ปลือรีแอล (CITROEN C3 PLURIEL)
2004 โอเพล ทีกรา ทวิน ทอพ (OPEL TIGRA TWIN TOP)
2005 นิสสัน 350 เซด โรดสเตอร์ (NISSAN 350Z ROADSTER)
7.ไดฮัทสุ มิรา จีโน รถ มีนี เมืองยุ่น
8.ซูซูกิ อาร์ 1 รถ มีนี 2+2 ที่นั่ง ก็ออกจำหน่ายแล้วในญี่ปุ่น
9.รถสุดหรู โรลล์ส-รอยศ์ แฟนธอม ปี 2004 ขายได้รวม 729 คัน
12.รถคูเป เมร์เซเดส-เบนซ์ ซีแอลเค-คลาสส์ (MERCEDES-BENZ CLK-CLASS) ซึ่งเริ่มจำหน่ายในเยอรมนีเมื่อเดือนพฤษภาคม 2002 ส่วนสองภาพล่างคือรถรุ่น FACELIFT หรือ "ยกหน้า" ตัวถังคูเป และกาบริโอเลต์ ที่ค่ายดาวสามแฉกจะนำออกสู่ตลาดในไตรมาสที่สามของปีนี้ และได้นำรถออกอวดตัวต่อสายตาสาธารณชนไปเรียบร้อยแล้ว ที่งานมหกรรมยานยนต์เจนีวาครั้งล่าสุด เมื่อต้นเดือนมีนาคมที่ผ่านมา มีการเปลี่ยนแปลงจากรถรุ่นดั้งเดิมในหลายๆจุด ทั้งรายละเอียดของตัวถังและเครื่องยนต์กลไก โดยที่ตัวถังคูเปจะมีรถให้เลือกใช้ตามขนาดเครื่องยนต์รวม 8 โมเดล คือ CLK 220 CDI-CLK 320 CDI-CLK 200 KOMPRESSOR-CLK 200 CGI-CLK 280-CLK 350-CLK 500-CLK 55 AMG ส่วนตัวถัง กาบริโอเลต์ จะมีเพียง 6 โมเดล คือ CLK 320 CDI-CLK 200 KOMPRESSOR-CLK 280-CLK 350-CLK 500-CLK 55 AMG
ABOUT THE AUTHOR
ช
ชูศักดิ์ ชมจินดา
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน พฤษภาคม ปี 2548
คอลัมน์ Online : สังคม + ธุรกิจ