รู้ลึกเรื่องรถ
ใช้แกสแทนเบนซิน
ปัญหายอดนิยมของผู้ใช้รถในยามนี้ ที่ผมต้องเผชิญหน้าอยู่ทุกวัน และนำโด่งกว่าเรื่องอื่นๆ ก็คือเรื่องของการใช้แกสเป็นเชื้อเพลิง แทนน้ำมันเบนซินและดีเซล เพราะส่วนใหญ่จะขาดข้อมูลที่เชื่อถือได้ ยกเว้นผู้ที่ใช้บริการของอินเตอร์เนทเท่านั้น นอกนั้นจะใช้วิธีสอบถามจากช่างซ่อมบ้าง คนขับแทกซีบ้าง หรือไม่ก็เจ้าของรถที่ติดตั้งระบบดัดแปลงเพื่อใช้แกสเป็นเชื้อเพลิงมาแล้ว มีหลายคนเล่าว่า นอกจากจะไม่ค่อยเข้าใจแล้ว ยังไม่รู้ว่าจะเชื่อใครดี เพราะคำตอบที่ได้ไม่ตรงกัน และบ่อยครั้งขัดแย้งกันเองแบบตรงกันข้าม หัวข้อใหญ่ที่ต้องการทราบกันก็คือ ความปลอดภัย ราคา คุณภาพ และความประหยัดซึ่งคิดเป็นเงิน เมื่อเทียบกับการใช้เบนซิน
ผมขอจำกัดเรื่องการใช้แกสไว้เฉพาะกับรถที่ใช้น้ำมันเบนซินเป็นเชื้อเพลิงเท่านั้นนะครับ เพราะการดัดแปลงให้เครื่องยนต์ดีเซลใช้แกสได้ ต้องมีวิธีพิเศษที่ยังไม่มีใครมีความพร้อม ยกเว้นจะนำเข้าเครื่องยนต์หรือรถยนต์ที่ดัดแปลงหรือผลิตมาโดยเฉพาะจากต่างประเทศ
ที่จริงแล้วความปลอดภัยของชุดดัดแปลงใช้แกสเหล่านี้สูงมาก เพราะถูกพัฒนาและทดลองมาหลายสิบปีแล้ว และยังต้องผ่านมาตรฐานการผลิตที่สูงด้วย ข้อสำคัญคือชุดที่จะติดตั้งต้องเป็นของใหม่ "แกะกล่อง" เท่านั้นครับ ไม่ใช่สภาพใหม่หรือถูกซ่อมแซม ตกแต่ง ขัดและพ่นสีใหม่แบบ "ย้อมแมว" มา
พวกเรากลัวกันไปเกินเหตุ ที่จริงแล้ว อันตรายจากการรั่วของน้ำมันเบนซินนั้น มากกว่าการรั่วของแกส เพราะไอเบนซินลุกไหม้ได้ง่ายกว่า ยิ่งถ้าเป็นแกสธรรมชาติหรือ CNG (COMPRESSED NATURAL GAS) ซึ่งเบากว่าอากาศมันก็จะฟุ้งกระจายไปหมด
เราแบ่งชุดดัดแปลงใช้แกส ตามวิธีปล่อยแกสเข้าสู่เครื่องยนต์ คือแบบจ่ายรวมสำหรับทุกสูบ กับแบบแยกจ่ายเฉพาะสูบ แบบจ่ายรวมสำหรับทุกสูบ จะจ่ายแกสผ่านคอคอด ซึ่งจะถูกติดตั้งไว้หลังหม้อกรองอากาศ แกสจะถูกจ่ายให้ผสมกับอากาศตั้งแต่ในท่อร่วมหลังหม้อกรองอากาศ โดยมีวาล์วปรับอัตราไหลของแกส ไว้ให้ผู้ติดตั้งปรับความเข้มของไอดี ให้เหมาะกับความต้องการของเครื่องยนต์ ซึ่งจากหลักการเราก็พอจะเข้าใจได้ว่า เป็นการจ่ายเชื้อเพลิงที่ยังไม่มีความละเอียดพอ ระบบนี้มีชื่อว่าแบบใช้หัวผสม หรือมิกเซอร์ (MIXER) ช่างซ่อมและผู้ใช้รถเรียกกันว่า "หัวดูด" ราคาอยู่ในระดับปานกลาง ถ้าเป็นชุดที่ผลิตมาจากประเทศที่มีมาตรฐานสูง ก็ถือว่าดีพอครับ
อีกแบบคือแบบหัวฉีด ที่มีระบบอีเลคทรอนิคควบคุมการจ่ายแกสอย่างละเอียด และแยกจ่ายเฉพาะสูบ โดยการคำนวณจากข้อมูลที่มีอยู่แล้วในระบบหัวฉีดเดิมของรถ อีซียู (ELECTRONIC CONTROL UNIT) ของชุดแกสจะทำงานร่วมกับ อีซียู ของรถ การจ่ายเชื้อเพลิงจะละเอียด ในอัตราที่เหมาะกับสภาพที่เครื่องยนต์กำลังถูกใช้งาน ระบบนี้ราคาค่อนข้างสูงแต่ประหยัดแกสกว่า และไม่มีปัญหาจุกจิกจากความเข้มของไอดีที่ไม่คงที่แบบของมิกเซอร์ การปรับความเข้มใช้โพรแกรมที่ออกแบบมาโดยเฉพาะ เมื่อปรับหลังการติดตั้งเสร็จแล้ว ก็จะคงที่อยู่ได้เป็นเวลานาน ส่วนใหญ่ตรวจสอบและปรับตั้งครั้งที่สองหลังติดตั้ง เพื่อความมั่นใจ ก็จะคงสภาพนี้ ใช้งานได้ราบรื่นไปเป็นปีๆ โดยไม่ต้องทำอะไร อย่างมากก็แค่เปลี่ยนหม้อกรองฝุ่นเท่านั้น
ใครที่โดยสารรถแทกซีบ่อย คงจะเคยได้ฟังความเห็นของคนขับ เกี่ยวกับผลของการใช้แกสแทนเบนซิน ทุกคนจะบอกว่าใช้แล้วเครื่องยนต์โทรมเร็ว ไร้สาระครับ ความจริงกลับตรงกันข้ามเสียอีก เครื่องยนต์ที่ใช้แกสจะทนทานกว่าใช้เบนซินมาก เพราะถูกเผาไหม้ได้หมดจด ไม่เหลือเป็นเขม่า น้ำมันเครื่องของเครื่องยนต์ที่ใช้แกสจึงสะอาดกว่ามาก เมื่อสะอาดกว่า ก็มีคุณสมบัติในการหล่อลื่นค่อนข้างคงที่ ไม่เสื่อมสภาพตามระยะทางที่ขับเหมือนเมื่อใช้เบนซิน ถ้าใครใช้แกสอยู่แล้วหรือกำลังจะไปติดตั้ง ลองดึงเหล็กวัดระดับน้ำมันเครื่องขึ้นมา แล้วซับด้วยกระดาษหรือผ้าสะอาด จะเห็นว่าถึงจะใช้งานไป 5,000 กม. แล้ว น้ำมันเครื่องจะยังสะอาดกว่าเมื่อใช้เบนซินแค่ 500 กม. เสียอีก
โรงงานผลิตรถยนต์จึงให้ยืดระยะทางที่ใช้ก่อนเปลี่ยนน้ำมันเครื่องเป็นสองเท่า เช่น จากทุก 10,000 เป็น 20,000 กม. ที่จริงแล้วเป็นสามเท่าก็ยังไหวครับ แต่เอาตามที่เขากำหนดไว้ก็พอครับ เดี๋ยวจะผิดเงื่อนไขการรับประกันคุณภาพ ในจุดนี้ต้องสอบถามกับตัวแทนจำหน่ายให้แน่นอนนะครับ ถ้าเขาไม่ยอมเพิ่มระยะทางให้เลยแม้จะใช้แกส ก็ต้องปฏิบัติตามเพื่อรักษาเงื่อนไขการรับประกันคุณภาพไว้เมื่อยังอยู่ในระยะประกัน เพราะชิ้นส่วน ราคาหลายหมื่นบาทอาจบังเอิญชำรุดขึ้นมาในช่วงเวลานี้ก็ได้
ไอเสียของเครื่องยนต์ที่ใช้แกส มีพิษน้อยกว่าเมื่อใช้เบนซินมาก
ค่าออคเทนของ แอลพีจี หรือแกสหุงต้ม สูงราวๆ 110 ถ้าเป็น ซีเอนจี หรือ แกสธรรมชาติ สูงเกิน 120 มากน้อยแล้วแต่ส่วนผสม เครื่องยนต์ที่มักมีปัญหานอคในบางโอกาสเมื่อใช้เบนซิน จะไม่มีปัญหานี้เมื่อใช้แกส ถ้าเป็นการออกแบบใหม่เพื่อให้ใช้แกสเป็นหลัก ผู้ออกแบบเครื่องยนต์สามารถเลือกอัตราส่วนการอัดให้สูงเกิน 12:1 ได้ เพื่อความประหยัดเชื้อเพลิงหรือเพื่อเพิ่มกำลังของเครื่องยนต์อีกเล็กน้อยก็ได้
ในช่วงที่เครื่องยนต์ยังไม่ร้อนถึงอุณหภูมิใช้งาน ละอองเบนซินไม่ว่าจะจาก คาร์บูเรเตอร์ หรือจากหัวฉีด ไม่สามารถระเหยได้ทัน บางส่วนจึงจับเป็นคราบที่ท่อไอดี (แบบใช้คาร์บูเรเตอร์) ที่พอร์ทไอดี และโดยเฉพาะที่ผนังกระบอกสูบ ซึ่งมีเพียงคราบน้ำมันเครื่องบางมากหล่อลื่นอยู่เท่านั้น ฟีล์มน้ำมันหล่อลื่นนี้จึงถูกละลายโดยละอองเบนซินจนจางลง แหวนลูกสูบและผนังกระบอกสูบจึงสึกหรอมากกว่าปกติ รถที่ใช้งานในเมือง ใช้งานระยะสั้น ซึ่งถูกจอดพักและติดเครื่องใหม่หลายครั้งในแต่ละวัน จึงมีเครื่องยนต์ที่สึกหรอมากกว่ารถที่ใช้ทางไกลเป็นหลัก เมื่อใช้แกส ปัญหานี้จะหมดไป เครื่องยนต์ของรถที่ใช้แกส และบำรุงรักษาถูกต้องตามปกติ จึงมีระยะใช้งานสูงมาก
บางคันขับไปแล้ว 7 แสนกว่ากิโลเมตร เครื่องยนต์ยังอยู่ในสภาพดีมากครับ ส่วนใหญ่พอพูดถึงการใช้แกสกับเครื่องยนต์ก็จะนึกถึงเปลวไฟของเตาแกสที่ใช้ในครัวกัน แล้วก็จะจินตนาการถึงความร้อนของเปลวไฟที่หัวเตา คนขับแทกซีบางคนบอกผมว่า ใช้แล้ววาล์ว ลูกสูบ ร้อนจนกรอบหมด ไร้สาระทั้งนั้นครับ การเผาไหม้ของไอเบนซินกับอากาศ ก็มีอุณหภูมิสูงเหมือนกัน
กลิ่นของ แอลพีจี ก็เป็นตัวการสำคัญที่ทำให้เกิดอคติ กลิ่นนี้ผู้ผลิตเขาใส่ไว้ตามกฎหมายด้านความปลอดภัยครับ เพราะ แอลพีจี หนักกว่าอากาศ ถึงรั่วออกมา มันจะไหลลงต่ำ ไม่ฟุ้งกระจาย จึงมีโอกาสสะสมเป็นปริมาณมากและเกิดอุบัติเหตุได้ หากมีความร้อนหรือประกายไฟเกิดขึ้น ส่วนกลิ่นที่เราสัมผัสได้ทางจมูกเวลาโดยสารรถแทกซีนั้นเป็นเพราะมีการรั่วของระบบครับ และอาจผสมกับกลิ่นจากไอเสียด้วย เพราะรถแทกซีไม่มีแคทาไลทิค คอนเวอร์เตอร์ ถ้ามีก็มักจะถูกถอดทิ้งไป รถที่ติดตั้งระบบใช้แกส แอลพีจี ที่ทันสมัย เช่น ระบบหัวฉีด โดยผู้ติดตั้งที่มีความรู้ มีอุปกรณ์ดีพอ จะไม่ส่งกลิ่นเข้าจมูกผู้ใช้เลยครับ ใครที่มาโดยสารก็ไม่มีทางทราบเลยว่ารถนั้นใช้แกสอยู่
สำหรับการเลือกใช้ระหว่าง แอลพีจี และ ซีเอนจี นั้น ต่างก็มีข้อดีและข้อด้อยให้เราต้องเลือก
ขอผัดไปต่อในเดือนหน้าครับ
เรื่องโดย : เจษฎา ตัณฑเศรษฐี
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน สิงหาคม ปี 2549
คอลัมน์ Online : รู้ลึกเรื่องรถ
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/52889