แรงกดดันจากรถยนต์ไฟฟ้าจีนสร้างความท้าทายอย่างหนัก ค่ายรถญี่ปุ่นจำต้องเปลี่ยนกลยุทธ์สู้ศึก สลายขั้วเพื่อมาร่วมมือกันพัฒนารถยนต์รุ่นใหม่ เพื่อรักษาตำแหน่งผู้นำในตลาด
HONDA, MITSUBISHI และ NISSAN ร่วมทำ MOU ผลิตส่วนประกอบสำคัญสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าพร้อมพัฒนารถสันดาป ขณะที่ MAZDA, SUBARU และ TOYOTA จับมือกันพัฒนาเครื่องยนต์สันดาปภายใน และระบบไฮบริด
การร่วมมือที่สร้างความตื่นตะลึงไปทั่วโลกแสดงให้เห็นว่า ค่ายรถยนต์ญี่ปุ่นตระหนักถึงความสำคัญของการปรับตัว และร่วมมือกันเพื่อพัฒนายานยนต์ที่ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค และสิ่งแวดล้อมในอนาคตอย่างยั่งยืน มากกว่าอุตสาหกรรมรถจีน
ทั้งสองค่ายยักษ์ใหญ่ได้ลงนามในบันทึกความเข้าใจ (MOU) เพื่อร่วมกันพัฒนาส่วนประกอบสำคัญสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าในอนาคต การร่วมมือนี้คาดว่าจะนำไปสู่การแบ่งปันทรัพยากร เทคโนโลยี และความเชี่ยวชาญ เพื่อลดต้นทุนการผลิต เร่งพัฒนาเทคโนโลยีแบทเตอรี และมอเตอร์ไฟฟ้าให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น การได้ร่วมมือกันอย่างเป็นทางการเพื่อพัฒนารถยนต์รุ่นต่อไป โดยเน้นไปที่เทคโนโลยีที่ขับเคลื่อนด้วยซอฟท์แวร์ (SOFTWARE-DEFINED VEHICLES หรือ SDVS) ซึ่งจะเป็นหัวใจสำคัญของความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ เพื่อยานยนต์อนาคต
MITSUBISHI (มิตซูบิชิ) ลงนามใน MOU กับ HONDA (ฮอนดา) และ NISSAN (นิสสัน) เพื่อพัฒนาระบบขับเคลื่อนที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปภายในช่วยให้ MITSUBISHI สามารถเข้าถึงเทคโนโลยีใหม่ๆ และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในตลาดรถยนต์โลก
ขณะที่ NISSAN และ HONDA มุ่งเน้นไปที่รถยนต์ไฟฟ้า MAZDA (มาซดา), SUBARU (ซูบารุ) และ TOYOTA (โตโยตา) ร่วมมือกันพัฒนาระบบขับเคลื่อนที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปภายใน โดยมีเป้าหมายที่จะเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้น้ำมันเชื้อเพลิง ลดมลพิษ และพัฒนาระบบไฮบริดที่ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคที่หลากหลาย
ความร่วมมือระหว่างค่ายรถยนต์ญี่ปุ่นเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงการปรับตัวเข้าสู่ยุคยานยนต์ไฟฟ้า และเทคโนโลยีขับเคลื่อนด้วยพลังงานสะอาด ซึ่งมีเป้าหมายหลักดังนี้
ลดต้นทุนการผลิต: การรวมพลังกันของสองยักษ์ใหญ่แบ่งปันทรัพยากรต่างๆ เช่น เทคโนโลยีบุคลากร และข้อมูลเพื่อให้การพัฒนานวัตกรรมเป็นไปอย่างรวดเร็ว และมีประสิทธิภาพ จะช่วยลดต้นทุนในการพัฒนา และผลิตส่วนประกอบสำคัญสำหรับรถยนต์ไฟฟ้า เช่น แบทเตอรี และมอเตอร์ไฟฟ้า
เร่งพัฒนาเทคโนโลยี: การแบ่งปันทรัพยากร และความรู้จะช่วยให้ทั้ง HONDA และ NISSAN สามารถพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆ ได้รวดเร็วยิ่งขึ้น เช่น แบทเตอรีที่มีความจุมากขึ้น และชาร์จเร็วขึ้น เพลาขับเคลื่อนไฟฟ้า (E-AXLES) มอเตอร์ และอินเวอร์เตอร์ ฯลฯ
ขยายตลาดรถยนต์ไฟฟ้า (EV): ด้วยการร่วมมือกัน จะช่วยให้ HONDA และ NISSAN สามารถขยายตลาดรถยนต์ไฟฟ้าไปสู่กลุ่มลูกค้าที่กว้างขึ้น และตอบสนองความต้องการของตลาดที่หลากหลายมากขึ้น ทั้งสองบริษัทจะร่วมกันพัฒนาแบทเตอรี และมอเตอร์ไฟฟ้าเพื่อให้ได้รถยนต์ไฟฟ้าที่มีประสิทธิภาพสูง และต้นทุนที่ต่ำลง
HONDA และ NISSAN จะร่วมกันวิจัย และพัฒนาระบบซอฟท์แวร์ที่ควบคุมการทำงานของรถยนต์เกือบทั้งหมด ตั้งแต่ระบบขับเคลื่อนไปจนถึงระบบความปลอดภัย ทำให้รถยนต์มีความยืดหยุ่น และสามารถอัพเดทฟังค์ชันใหม่ๆ ได้ตลอดเวลา
การจัดการหมุนเวียนทรัพยากร โดยเฉพาะสถานีชาร์จไฟฟ้า ทั้งสองบริษัทยังตกลงที่จะศึกษาความเป็นไปได้ของความร่วมมือในด้านบริการพลังงาน และการหมุนเวียนทรัพยากรในประเทศญี่ปุ่นตั้งแต่การชาร์จ อุปกรณ์ด้านพลังงาน บริการด้านพลังงานที่ใช้แบทเตอรี และบริการชาร์จไฟฟ้า
ขยายฐานลูกค้า: การร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจจะช่วยให้ MITSUBISHI สามารถขยายฐานลูกค้าไปสู่กลุ่มลูกค้าใหม่ๆ และเข้าถึงตลาดใหม่ๆ ได้มากขึ้น กลุ่มลูกค้าที่มาจาก HONDA และ NISSAN ก็ถือเป็นการแนะนำ PRODUCT ในเครือให้มีความน่าเชื่อถือมากขึ้น
พัฒนารถยนต์รุ่นใหม่: การนำเทคโนโลยีใหม่ๆ มาประยุกต์ใช้ในการพัฒนารถยนต์รุ่นใหม่ จะช่วยให้ MITSUBISHI สามารถแข่งขันกับคู่แข่งรายอื่นๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น เทคโนโลยีรถยนต์ไฟฟ้าในยุคแรก
สร้างความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจ: การร่วมมือเชิงกลยุทธ์จะช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจของ MITSUBISHI และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในตลาดรถยนต์โลก
เพิ่มประสิทธิภาพ N/A: มุ่งเน้นไปที่การพัฒนาเครื่องยนต์สันดาปภายใน 4 สูบ แถวเรียงให้มีประสิทธิภาพในการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงมากขึ้น ลดการปล่อยมลพิษ และยืดอายุการใช้งานของเครื่องยนต์ และการนำเอาชิ้นส่วน และนวัตกรรมมาแชร์ร่วมกัน อย่างเครื่องยนต์โรตารีจาก MAZDA และเครื่องยนต์แบบบอกเซอร์จาก SUBARU ที่มีแนวทางการพัฒนาเพื่อลูกค้าที่ต้องการ
พัฒนาระบบไฮบริด: การผสมผสานเทคโนโลยีไฮบริดเข้ากับเครื่องยนต์สันดาปภายใน จะช่วยให้รถยนต์มีประสิทธิภาพในการใช้พลังงานที่ดีขึ้น และลดการปล่อยมลพิษ
รองรับเชื้อเพลิงทางเลือก: การพัฒนาเครื่องยนต์ให้รองรับเชื้อเพลิงทางเลือก เช่น ไฮโดรเจน หรือเชื้อเพลิงสังเคราะห์ จะช่วยลดการพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิล
ความร่วมมือระหว่างค่ายยักษ์ใหญ่จากญี่ปุ่น นับเป็นก้าวสำคัญในวงการยานยนต์โลก โดยบริษัทที่เป็นผู้นำในด้านเทคโนโลยี เครื่องยนต์ และ นวัตกรรมได้แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการพัฒนานวัตกรรมเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคในยุคปัจจุบัน และอนาคต การร่วมมือกันครั้งนี้ไม่เพียงส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมยานยนต์เท่านั้น ยังมีส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนสังคมสู่ยุคที่ยั่งยืน ซึ่งมีเป้าหมายสำคัญ คือ
ความเป็นกลางทางคาร์บอน: ทุกค่ายต่างมุ่งมั่นที่จะลดการปล่อยแกสเรือนกระจก และบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน
ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค: พัฒนารถยนต์ที่ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นในด้านประสิทธิภาพ ราคา หรือเทคโนโลยี
รักษาความเป็นผู้นำในอุตสาหกรรม: การร่วมมือกันจะช่วยให้ค่ายรถยนต์ญี่ปุ่นรักษาความเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมยานยนต์โลก
การจับมือกันของค่ายรถยนต์ญี่ปุ่นเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าอุตสาหกรรมยานยนต์กำลังเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว และค่ายรถยนต์ญี่ปุ่นกำลังปรับตัวเพื่อรับมือกับความท้าทายใหม่ๆ โดยมีเป้าหมายหลัก คือ การพัฒนายานยนต์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม มีประสิทธิภาพ และตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคอย่างครบถ้วน