รู้ไว้ใช่ว่า
ขับรถให้โจรหรือเป็นโจร
ตามปกติการขับรถหรือการนั่งรถ หมายถึง การโดยสารไปกับรถ โดยเฉพาะที่เป็นรถยนต์ส่วนตัว เพื่อไปไหนต่อไหน มันไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาดพิสดารอะไรเลย เป็นกิจวัตรของชาวโลกไปซะแล้ว
แต่สิ่งที่ผมบอกว่าเป็นเรื่องธรรมดา บางครั้งมันไม่ธรรมดาสำหรับในบ้านเมืองเราไปซะแล้วสืบเนื่องจากการแพร่ระบาดของ "ยาเสพติด" ชนิดต่างๆ โดยเฉพาะ "ยาบ้า" ซึ่งมีคนอยากให้เรียกว่าเป็น "ยาโง่" นั่นเอง
ที่บอกว่าไม่ธรรมดาก็คือ "พาให้ติดคุก" โดยไม่รู้ตัว คือรู้ก็สายไปเสียแล้ว ได้แต่ร้อง
"ตูทำไมซวยขนาดนี้ ทำไมต้องมาติดคุกขนาดนี้"
หรือไม่บางคนอาจจะหนักกว่านั้น ไม่ใช่แค่ติดคุก
"โธ่ ทำไมตูต้องมาโดนประหารกับเขาด้วย ตูไม่เชื่อเลยว่ามันจะเป็นไปได้ ตูจะทำยังไงดี"
อันที่จริงผมเคยเขียนเตือนอยู่เสมอเรื่องขับรถให้ "คนอื่น" นั่ง หรือนั่งไปบนรถกับ "คนอื่น" คนอื่นที่ผมเน้นอาจจะไม่ใช่คนอื่นเสียทีเดียว อาจเป็นเพื่อนฝูงญาติพี่น้องคนรู้จักก็ได้ แต่เราไม่รู้ใจเขา ไม่รู้ไส้เขา ว่าเป็นยังไง กำลังค้ายาบ้าขนยาบ้าหรือไม่
ต่อเมื่อเรารู้ก็โดนตำรวจซิว ไปนั่งหน้าแหลมอยู่ในห้องขัง แล้วไปนั่งหน้าเหลืองเป็นจำเลยอยู่ที่ศาลต่อจากนั้นก็ระเห็จไปเรือนจำ หรือแดนประหารโน่นเลย เพราะพิสูจน์ไม่ได้แก้ตัวไม่พ้นว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ บ่ฮู้บ่หัน...ผมเขียนเพื่อสะกิดบั้นเอวให้แฟนๆ ระมัดระวัง อย่าสุ่มสี่สุ่มห้า นั่งรถไปกับใครต่อใครอย่างส่งเดช ต้องเคลียร์ต้องมั่นใจ ไม่ประมาท
เมื่อตำรวจดักจับตรวจค้นเจอยาบ้าในรถราคันไหนก็ตาม เจอเยอะยิ่งหนัก คนบนรถคือผู้ต้องสงสัยพร้อมที่จะโดนต้อนไปเป็นผู้ต้องหาทั้งสิ้น นอกเสียจากจะมีเหตุผลชี้แจงให้เชื่อได้โดยปราศจากข้อสงสัยจริงๆ ว่าเราไม่ได้เกี่ยวข้องด้วย จึงจะรอดสันดอน แต่บอกเลยว่ายากมาก
เอายังงี้เรามาดูคดีนี้เป็นกรณีศึกษา จะได้รู้ว่าศาลท่านมองยังไง ท่านเอาเหตุผลข้อเท็จจริงอะไรมามัดจนกระทั่งดิ้นไม่หลุด คนที่ขับรถไปกับคนที่สารภาพว่ามียาบ้าร้อยกว่าเม็ดพลอยติดตะรางไปด้วย ตั้งสิบปี เพราะสู้คดียันป้าย ขณะที่เจ้าของยาบ้าโดนแค่ห้าปีเนื่องจากรับสารภาพ กินของถูก
ขณะนั้นเป็นยามวิกาลพันตำรวจโทกับนายดาบตำรวจซึ่งเป็นลูกน้องอีกสองนายได้รับรายงานจากสายสืบว่ามีการลักลอบขนยาม้า (เหตุเกิดปี 2539 ตอนนั้นยังเป็นยาม้า โทษย่อมเยากว่าเป็นยาบ้า) ผ่านถนนสายโคกสำโรง-ชัยบาดาล จึงขับรถลาดตระเวนแถวนั้น
จนกระทั่งถึงเวลาตีสี่ ตำรวจก็เห็นรถกระบะตรงกับที่ได้รับแจ้ง ขับจากโคกสำโรง มุ่งหน้าไปทางชัยบาดาล จึงขับรถไล่ตาม จนไปทันที่ตำบลม่วงค่อม บนรถมี "นายดวงรุ่ง" เป็นคนขับ มี "นายสารภาพ" นั่งมาด้วย ที่สำคัญคือตำรวจค้นเจอยาม้า 150 เม็ด เจอกระดาษจดรายการแบบรหัสลับอยู่ในรถ
นายสารภาพซึ่งรับกับตำรวจตั้งแต่แรกว่าเป็นเจ้าของยาม้า ตกเป็นจำเลยที่ 1 นายดาวรุ่งซึ่งดวงทำท่าจะรุ่งริ่งซะมากกว่า เถียงคอเป็นเอ็นกับตำรวจว่าไม่เกี่ยว ไม่รู้เรื่องยาม้า ตกเป็นจำเลยที่ 2 เมื่ออัยการฟ้องไปที่ศาล
จำเลยที่ 1 คือ นายสารภาพนั้นรู้แก่ใจตัวเองว่าทำผิด จึงให้การรับสารภาพต่อศาลเพื่อกินของถูกอย่างที่บอกจำเลยที่ 2 คือ นายดวงรุ่ง ผู้ทำหน้าที่โชเฟอร์ ให้การปฏิเสธอย่างแข็งขัน ขอให้ศาลยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว เชื่อว่าจำเลยทั้งสองร่วมกันทำผิดเรื่องยาม้า จึงตัดสินลงโทษจำคุกคนละ 10 ปี นายสารภาพนั้นรับสารภาพต่อศาลเหมือนชื่อ จึงลดให้กึ่งหนึ่งเหลือจำคุก 5 ปี นั่นหมายความนายดวงรุ่งโดนเข้าไป 10 ปีเต็มๆ
อ้อ ! คดีนี้ผ่านการตรวจตราของท่านอธิบดีผู้พิพากษาภาคด้วย ท่านพิจารณาแล้วเชื่อว่านายดวงรุ่งไม่ได้เกี่ยวข้องกับยาม้า จึงทำความเห็นแย้ง ให้ยกฟ้องนายดวงรุ่ง แต่เนื่องจากท่านผู้พิพากษาภาคมีเสียงเดียวหรือเสียงข้างน้อย นายดวงรุ่งจึงไม่ได้รับการยกฟ้อง
นายดวงรุ่งดิ้นรนให้พ้นซังเตด้วยการยื่นอุทธรณ์ เถียงหัวชนฝาว่าขับรถลูกเดียว ยาม้าไม่เกี่ยว
ศาลอุทธรณ์พิจารณาแล้ว ยังเห็นว่าจำเลยทั้งสองทำผิดเช่นเดิม ให้ติดคุกอย่างเดิม
จำเลยที่ 2 คือนายดวงรุ่ง ทำท่าจะดวงร่วง ต้องกระเสือกกระสนต่อไปด้วยการยื่นฎีกา อ้างเหตุผลต่างๆ เพื่อโชว์ความบริสุทธิ์
ศาลฎีกาเหล่ดูสำนวนคดีนี้อยู่นานพอประมาณ แล้วชี้ขาดตัดสินออกมาว่า
การขนยาม้าจำนวนร้อยกว่าเม็ด ผู้ขนต้องทำเป็นความลับ ไม่ให้ผู้ที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องรู้เห็น เดี๋ยวโดนจับ การที่นายดวงรุ่งเดินทางมากับนายสารภาพตั้งแต่ต้นทำหน้าที่เป็นผู้ขับรถ ถ้าไม่รู้เห็นนายสารภาพคงไม่ให้ร่วมทางในยามวิกาลขนาดนี้
ก่อนมีการจับกุม ตำรวจก็สืบทราบมาก่อน ไม่ใช่จับโดยบังเอิญ
ที่เห็นอีกอย่างคือ เมื่อรถจะมาถึงสี่แยกม่วงค่อม ซึ่งมีด่านตรวจของตำรวจ นายดวงรุ่งก็ขับรถเลี้ยวขวาไปตามถนนสายสระบุรี-หล่มสัก เพื่อหลบหลีกด่าน จนตำรวจต้องขับรถไล่กวด และจับได้ ถือว่าการกระทำของนายดวงรุ่ง เป็นพิรุธอย่างแรง
ยังมีอีก เอกสารที่ได้ในรถส่อแสดงว่าเป็นรายการซื้อขายยาม้า โดยทำเป็นรหัสลับในการติดต่อผู้เชี่ยวชาญการปราบปรามยาเสพติดเห็นแล้ว บอกว่าใช่ ศาลดูแล้วก็น่าเชื่อ
พยานหลักฐานเท่าที่ว่ามา จึงรับฟังได้โดยปราศจากข้อสงสัยว่านายดวงรุ่งร่วมกระทำผิดกับนายสารภาพ ศาลล่างตัดสินลงโทษมาถูกต้องด้วยประการทั้งปวง
ศาลฎีกาพิพากษายืน
จากคำตัดสินของศาลฎีกา ทำให้เรารู้ว่า การนั่งรถหรือขับรถแล้วโดนจับเรื่องยาเสพติดมีจุดที่เพ่งเล็งว่าร่วมกระทำผิดด้วยหรือไม่คือ
1. ถ้ามีการขนยาเสพติดค่อนข้างเยอะ ไม่ใช่เจอเม็ดสองเม็ด คนที่ไปด้วยในขบวนรอดยาก
ศาลถือว่าพวกที่ค้ายามันไม่ต้องการให้คนอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องไปด้วยอยู่แล้ว กลัวความลับรั่ว กลัวโดนจับ ถ้ามีใครไปด้วยแสดงว่าเป็นพวก
2. ทะลึ่งไปในยามวิกาลดึกๆ ดื่นๆ
3. ทะลึ่งหลบหลีกด่านตรวจ
4. มีหลักฐานอย่างอื่นมัดตัว
5. มีสายสืบรายงานก่อนแล้ว
ถ้ารักตัวกลัวตาย กลัวติดคุกติดตะราง ขับรถนั่งรถต้องระมัดระวัง อย่าไปกับใครสุ่มสี่สุ่มแปด เดี๋ยวจะหาว่าไม่เตือน
จากคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3116/2543
คดีรถ คดีอาญา ตีพิมพ์ใน"4 wheels" ส่งไป ๒๙ สค. ๔๗
เรื่องโดย : ณรงค์ นิติจันทร์
นิตยสาร 417 ฉบับเดือน พฤศจิกายน ปี 2547
คอลัมน์ Online : รู้ไว้ใช่ว่า
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/56706