สิ่งที่กำลังทำให้ผู้สนใจรถไฟฟ้าแบทเตอรี (BEV) วันนี้ต้องเผชิญกับความไม่แน่นอน ไม่ใช่เรื่องสถานีชาร์จอีกต่อไป แต่คือการที่มาตรการช่วยเหลือ EV 3.0 ที่สิ้นสุดลง เพราะมาตรการนี้เคยทำหน้าที่เหมือนยาวิเศษที่กระตุ้นตลาดจนเกิดกระแสความต้องการเพิ่มขึ้น จนตลาดรถไฟฟ้าในบ้านเราพุ่งทะยานอย่างรวดเร็วจนติดอันดับโลก !
ด้วยแรงหนุนจากเงินอุดหนุนก้อนใหญ่ และการลดภาษีสรรพสามิตอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน แต่เมื่อรัฐบาลเริ่มถอนมาตรการจูงใจออกไป หรือปรับเปลี่ยนเป็นมาตรการ EV 3.5 ที่มีเงื่อนไขเข้มงวดขึ้น เน้นการผลิตภายในประเทศ (LOCALIZATION) ราคารถไฟฟ้าก็มีแนวโน้มจะกลับไปสู่จุดสูงขึ้นอีกครั้ง ทำให้คำถามถึงความคุ้มค่ากลับมาหลอกหลอนผู้บริโภค
ภาพที่กำลังเกิดขึ้นนี้คล้ายกับวงจรซ้ำรอยของโครงการ “รถคันแรก” ที่กระตุ้นยอดขายอย่างฉับพลันด้วยแรงจูงใจทางการเงินได้สร้าง “ดีมานด์เทียม” นั่นคือความต้องการซื้อที่ไม่ได้เกิดจากความพร้อมทางการเงินอย่างแท้จริง แต่ถูกกระตุ้นด้วยสิ่งจูงใจชั่วคราว ดังนั้น เมื่อโครงการสิ้นสุด ความต้องการปลอมๆ หายไป ตลาดจึงหดตัวอย่างรุนแรง และที่ร้ายกว่า คือ ปัญหาหนี้เสียครัวเรือนที่ตามมา
ดังนั้นการสิ้นสุดลงของมาตรการ EV 3.0 อาจส่งผลเสียระยะยาวต่อตลาด เพราะมันจะไปทำลายความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่คิดว่า “ถ้าไม่รีบซื้อตอนนี้ก็จะไม่ได้ราคาถูกแล้ว” และอาจทำให้หลายคนถอดใจหันกลับไปหารถเครื่องยนต์สันดาปภายใน (ICE) หรือไฮบริดแทน ซึ่งจะขัดต่อเป้าหมายของรัฐบาลที่ต้องการผลักดันให้ไทยเข้าสู่สังคมไร้มลพิษ
การเปลี่ยนผ่านครั้งนี้จึงไม่ใช่แค่เรื่องของตัวเลขภาษี แต่เป็นเรื่องของความต่อเนื่อง และความโปร่งใสของนโยบาย การที่รัฐบาลพยายามสร้างประเทศไทยให้เป็น “EV HUB” ของภูมิภาค โดยที่ยังไม่สามารถสร้างความมั่นใจในด้านราคาในระยะยาว นับเป็นความท้าทายที่ต้องเร่งแก้ไข
ในขณะที่รัฐบาลลดภาระงบประมาณอุดหนุน แต่ก็ต้องแลกกับการชะลอตัวของการเปลี่ยนผ่านพลังงาน ซึ่งอาจทำให้ค่ายรถจีนที่เข้ามาทำตลาดอย่างรวดเร็วต้องทบทวนกลยุทธ์ด้านราคาอย่างหนัก เพื่อต่อสู้กับรถยนต์ญี่ปุ่นที่กำลังจะนำ EV เข้ามาทำตลาดมากขึ้นในอนาคต
ดังนั้น รัฐบาลจำเป็นต้องเร่งจัดการกระบวนการเปลี่ยนผ่านนี้อย่างละเอียดอ่อน โดยต้องมั่นใจว่าเงื่อนไขใหม่ไม่ซับซ้อนจนกลายเป็นการเพิ่มภาระให้แก่ทั้งผู้ประกอบการ และผู้บริโภค และที่สำคัญ ต้องหลีกเลี่ยงการสร้าง “รถคันแรก ซีซัน 2” ที่จะทำให้ประเทศต้องแบกรับภาระหนี้ครัวเรือน และภาระงบประมาณ
หยุดทำเรื่องเล็กเป็นเรื่องใหญ่ และหยุดทำเรื่องใหญ่เป็นเรื่อง “เละ”
ท้ายที่สุดนี้ ขออวยพรให้ทุกท่านที่ใช้รถใช้ถนน เดินทางด้วยความระมัดระวัง มีสติในการใช้จ่าย และก้าวเข้าสู่ปีใหม่ ด้วยความสุข ความสำเร็จ และความมั่งคั่งที่ยั่งยืน

