รู้ไว้ใช่ว่า
"วางแผนเช่าซื้อแล้วเชิด"
เมื่อวานคุยกับพ่อค้าร้านรวงใหญ่ใหญ่พอสมควร แกปรารภกับผมว่า
"โห ไม่คิดไม่ฝันว่ารถญี่ปุ่นเมื่อก่อนแพงที่สุดสี่ห้าแสนบาท เดี๋ยวนี้เขาซื้อกันราคาเป็นล้านไปแล้วแค่รถกระบะนะเนี่ย เชื่อเลยจริงๆ เจ้าประคุณเอ๋ย"
"ถึงว่านะซิ มันยังไงกันแน่ แสดงว่าคนไทยเดี๋ยวนี้ร่ำรวยขึ้นทันตางั้นเหรอ งงจริงๆ"
ผมรับลูกเพราะรู้สึกอย่างเดียวกัน
ท่านผู้อ่านละครับ คิดยังไงเรื่องนี้ สำหรับผมคิดไม่ออกบอกไม่ถูกว่ามันเป็นไปได้ยังไง ทำไมตลาดรถจึงบูม ราคารถทำไมถึงแพงขึ้นไปเรื่อย ขณะที่คนของเราก็แห่ไปซื้อเป็นว่าเล่น ยี่ห้อไหนรุ่นไหน ซื้อมาวิ่งป้ายแดงเถือกไปหมด
หนักๆ เข้ารัฐบาลที่กระตุ้นเศรษฐกิจให้ฟื้นให้รถขายได้กลับปวดกะโหลก เพราะชาวบ้านบ่นเรื่องรถใน กทม. ติดเป็นตังเม แคะไม่ออก เมื่อรถใหม่ทะลักออกมาไม่หยุด ขณะที่ถนนไม่ได้เพิ่มขึ้นมาทันกาลดูๆ แล้วพวกเราซื้อรถเหมือนกลับกลัวว่าจะไม่มีโอกาสได้ซื้ออีกแล้วในวันข้างหน้า
ครับอะไรจะเกิดก็ให้มันเกิด ประเทศไทยซะอย่าง ไม่เคยมีสูตรอะไรที่ตายตัวเหมือนที่อื่น กฎเกณฑ์กติกาอะไรก็เอามาใช้มาวัดไม่ได้ ออกลีลาตามฤทธิ์ตามเดชของมันไปยังงี้แหละ
สรุปแล้วผมบอกไม่ถูกว่าดีใจหรือกังวลใจกับตลาดรถที่กำลังฟู่ฟ่า เพราะยังไม่หายเข็ดฟันเมื่อตอนเศรษฐกิจล่ม รถผ่อนส่งกันไม่ไหวโดนยึดระนาว ถนนงี้โล่งโถงไม่มีรถวิ่งอยู่หลายปี
สิ่งที่คนซื้อรถทุกวันนี้น่าจะใส่ใจสักหน่อยหนึ่งคือ ความปลอดภัยจากโจรกรรม เพราะรถราคาไม่ใช่ขี้ไก่อดห่วงไม่ได้ โดนลักขโมยไปก็จะเป็นหนี้เป็นสินหัวโต รถก็ไม่มีจะขี่
คดีต่อไปนี้ก็น่าสนใจอย่างยิ่ง เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นกับบริษัทไฟแนนศ์แห่งหนึ่ง ให้ "นายอุดม คงไทย" ชื่อจริงเสียงจริง เช่าซื้อรถบรรทุกสิบล้อไปคันหนึ่ง ราคา 2 ล้าน 2 แสนกว่าบาท นายอุดม วางดาวน์เกือบ 2 แสนห้า ตีเชคเป็นค่างวดไว้จำนวนหนึ่ง
เมื่อได้รถไปแล้วก็ไม่ชำระค่างวดเลยแม้แต่งวดเดียว เชคเด้งทั้งหมด ไม่ติดต่อ ไม่ขอผัดผ่อนใดๆ ทั้งสิ้น
บริษัทไฟแนนศ์ทำหนังสือบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อ แจ้งให้นายอุดมส่งมอบรถคืน แต่เฉยลูกเดียว
นายอุดมโดนเล่นงานเรื่องเชคเด้งเป็นประเดิม ตำรวจลากคอมาได้ บริษัทสอบถามที่โรงพักถึงรถสิบล้อ นายอุดมพูดหน้าตาเฉยว่าขายไปแล้ว แต่ไม่ยอมบอกว่าขายให้ใคร รถยนต์อยู่ที่ไหน
เจ้าของรถที่ให้เช่าซื้อคือบริษัทไฟแนนศ์ เจอไม้นี้ถึงกับหน้ามืด จัดแจงให้ตำรวจดำเนินคดีกับนายอุดมอีกฐานหนึ่ง นอกเหนือจากคดีเชค ในข้อหายักยอกรถที่เช่าซื้อไป
เรื่องถึงอัยการ ยังดีที่ไม่สะดุด อัยการฟ้องร้องให้ตามที่บริษัทไฟแนนศ์ประสงค์ เพื่อเอาผิดข้อหายักยอกทรัพย์ ให้นายอุดมติดคุกติดตะราง และบังคับให้คืนรถหรือชดใช้ราคา 2 ล้านกว่าบาท
จำเลยคือนายอุดม สู้คดี ให้การว่าเป็นเรื่องผิดสัญญาเช่าซื้อทางแพ่ง เล่นงานทางอาญาข้อหายักยอกทรัพย์ไม่ได้หรอก ต้องยกฟ้อง ได้ผลซะด้วย
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วตัดสินยกฟ้อง เห็นว่าเป็นการผิดสัญญาทางแพ่งดังที่จำเลยอ้าง
อัยการทำหน้าที่โจทก์เดือดร้อน ต้องดำเนินกรรมวิธีพิเศษด้วยการให้ผู้ทำหน้าที่แทนอัยการสูงสุด คืออัยการพิเศษประจำเขต เซ็นรับรองอนุญาตให้อุทธรณ์ เพราะเป็นคดีที่ขึ้นศาลแขวง ตามปกติอุทธรณ์ไม่ได้ เรื่องจึงถึงศาลอุทธรณ์ แต่ไม่ได้ผล เพราะ
ศาลอุทธรณ์พิจารณาแล้ว มีความเห็นเช่นเดียวกับศาลชั้นต้น อ้างว่าแค่ผิดสัญญาทางแพ่ง พิพากษายืน ยกฟ้องเช่นกัน
แน่นอน บริษัทไฟแนนศ์หาวเรอ อัยการก็หาวเรอ แต่อัยการยังไม่ท้อ ส่งเรื่องให้อัยการสูงสุดเซ็นอนุญาต ให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง เพื่อให้ศาลฎีกาเล็งดูให้ถึงที่สุดว่า จะไม่เอานายอุดมคนยักยอกรถเข้าคุกแน่หรือ ส่วนบริษัทไฟแนนศ์ได้แต่นั่งลุ้นนอนลุ้นใจคอไม่ดี
ศาลฎีกาเพ่งดูคดีนี้อย่างทะลุทะลวง แล้วชี้ขาดออกมาว่า
ดูตามพฤติการณ์แล้วนายอุดมทำสัญญาเช่าซื้อรถ วางเงินดาวน์เพื่อให้ได้รถบรรทุกสิบล้อไปโดยไม่มีเจตนาจะชำระหนี้อีก เพราะไม่จ่ายค่างวดเลยแม้แต่งวดเดียว เชคค่างวดที่ตีไว้ก็เด้ง แถมยังไม่ขอผัดผ่อน ไม่ติดต่อบริษัทเลย เมื่อบริษัทบอกเลิกสัญญาให้ส่งรถคืนก็เงียบไม่ส่งคืน ผิดวิสัยของผู้ที่ซื้อขายโดยสุจริต
บริษัทไฟแนนศ์ติดตามสอบถามจากผู้ใหญ่บ้าน ได้ความว่านายอุดมขายรถไปแล้ว ขณะที่ผู้ค้ำประกันการเช่าซื้อก็เป็นแค่ชาวบ้านที่นายอุดมจ้างให้ค้ำประกัน
พอตำรวจต้อนนายอุดมมาได้ในคดีเชคเด้ง บริษัทไปสอบถามถึงโรงพัก นายอุดมก็บอกหน้าตาเฉยว่าขายรถไปแล้ว แต่ไม่ยอมบอกว่าขายให้ใคร รถอยู่ที่ไหน
ในชั้นศาลนายอุดมก็สู้คดีแบบมั่วนิ่ม อ้างว่านายเหน่งเอารถไปรับจ้าง แต่ไม่ปรากฏว่ามีตัวตนอยู่หรือไม่เป็นคนที่ไหน รถนายอุดมก็เช่าซื้อมา ราคาสูง นายอุดมมีหน้าที่ต้องรับผิดชอบต่อบริษัทไฟแนนศ์แล้วจะมาให้นายเหน่งเอาไปดุ่ยๆ โดยไม่มีหลักฐานได้หรือ ถ้าเป็นเรื่องจริงนายอุดมต้องแจ้งบริษัทและแจ้งความ ที่อ้างว่าไปแจ้งแล้วโรงพักไม่รับแจ้ง ไม่น่าเชื่อ
การกระทำของนายอุดมจึงเป็นการเบียดบังยักยอกรถของบริษัทไฟแนนศ์ชัวร์ ไม่ใช่ผิดสัญญาทางแพ่งดังที่ศาลล่างตัดสินยกฟ้อง ศาลฎีกาจึงพิพากษากลับ ให้ลงโทษนายอุดม ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 352 จำคุก 2 ปี ให้คืนรถหรือใช้ราคา 2,238,009.25 บาท แก่ผู้เสียหาย
กว่าจะลากคอนายอุดมเข้าซังเตได้ บริษัทไฟแนนศ์ลุ้นขาดใจเหมือนกัน
ดูตามพฤติการณ์แล้วชัดมากว่า นายอุดมตั้งใจจ่ายเงินดาวน์แล้วเชิดรถไปขาย เป็นเรื่องที่บริษัทให้เช่าซื้อรถโดนกันระนาว
สิ่งที่น่าสังเกตคือ โทษที่ศาลตัดสินเอาผิดจากการยักยอกรถราคา 2 ล้านกว่าบาท มันน้อยนิดเกินไปติดตะรางแค่ 2 ปี ไม่ระคายเคืองพวกที่ทำผิดคิดร้ายแบบนี้หรอกครับ มันต้องแรงกว่านั้น สักห้าปีเป็นอย่างต่ำถึงจะช่วยผู้ประกอบการยับยั้งพวกชั่วได้บ้าง
คนค้าคนขายที่เรามองว่าเขาเค็มเขาเอาเปรียบ บางครั้งก็ตกที่นั่งย่ำแย่จากพวกขี้โกงทั้งหลายใครไม่โดนไม่รู้หรอก
จากคำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๗๗๒๗/๒๕๔๔
เรื่องโดย : ณรงค์ นิติจันทร์
ภาพโดย : -
นิตยสาร 417 ฉบับเดือน กรกฏาคม ปี 2549
คอลัมน์ Online : รู้ไว้ใช่ว่า
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/57389