ร่มไม้ชายศาล
ลีซิงโหด
ข้อพิพาทบาดหมางซึ่งเกิดกับมนุษย์มากที่สุดในขณะนี้ ท่านรู้หรือเปล่าว่ามาจากสาเหตุอันใดมากที่สุด ติ๊กต๊อก...ติ๊กต๊อก คำตอบที่ถูกต้อง คือ
เรื่องการเมือง น่าจะใช่ โดยเฉพาะประเทศไทยที่กำลังป่วน ทั้งคู่ นั่นแหละทำเหตุ แต่ไม่ใช่เป้าหมายที่ผมอยากจะเอ่ยถึง
งั้นคำตอบ คือ อะไรละพี่
เรื่องหนี้สิน ยังไงละครับ เออ...จริง ยุ่งอยู่ทุกวันนี้ก็เพราะเรื่องหนี้สินนั่นเอง จอมปราชญ์อย่างพระพุทธองค์ ซึ่งอยู่ในโลกนี้เมื่อ 2 พันกว่าปีมาแล้ว ขณะที่โลกยังไม่หมักหมมด้วยปัญหาต่างๆมากมายขนาดนี้ พระองค์ยังตระหนักรู้ว่า การเป็นหนี้เป็นทุกข์อย่างยิ่ง พร่ำสอนไม่ให้คนดิ้นรนเป็นหนี้เป็นสิน แต่เชื่อไหม ? ไม่ค่อยมีใครฟัง
หนี้ก่อเกิดขึ้นจากสาเหตุหลัก 3 ประการ คือ อยากได้ดอกเบี้ย อยากซื้อขายของ และการละเมิดก่อให้เกิดความเสียหายขึ้นมาคิดเป็นตัวเงิน
กิจการ เช่าซื้อรถ ก็เป็นบ่อเกิดสำคัญของการเป็นหนี้ มีข้อพิพาทกันอย่างกว้างขวาง บรรดาที่มีมั่งไม่มีมั่งอยากได้รถขับ หมายถึง เป็นหนี้หัวโตทั้งนั้น ถ้าเคลียร์ได้สำเร็จก็รอดตัว ไม่สำเร็จหมายถึงโรงศาล
คดีนี้น่าสนใจ โชว์ให้เห็นว่าเจ้าหนี้อันได้แก่บริษัทลีซิงแห่งหนึ่ง หน้าเลือดอย่างสุดๆ ผลลัพธ์ คือบริษัทหน้าเหลืองอยู่พักใหญ่ เพราะความโหดเหี้ยมของเขาเอง เรื่องเป็นฉันใด ตามไปดูชมได้เลย
เริ่มแรกบริษัทลงมือเชคบิลล์ นายโคตรรวย ตั้งชื่อได้น่าเกลียดพอๆ กับการตั้งชื่อรุ่นขององค์จตุคามอะไรนั่นเหลือเกิน นายโคตรรวย นั้นไม่ได้รวยเหมือนชื่อ จะใช้รถยนต์ธรรมดาๆ กะเขาสักคัน ต้องเช่าซื้อ แล้วยังไม่ราบรื่นในการส่งงวด
ในที่สุดบริษัท ฯ ยื่นฟ้องต่อศาล บังคับให้ส่งมอบรถคืน หากคืนไม่ได้ให้ชดใช้ราคา 1 แสนบาทเศษไม่ถึงหมื่น กับค่าที่ นายโคตรรวย เอารถไปใช้โดยไม่ผ่อนส่งอีกหลายหมื่นบาท กับค่าขาดประโยชน์ คิดเป็นรายวันในระหว่างที่ไม่ส่งมอบรถคืน บวกค่าธรรมเนียมศาลตามกฎหมาย
สู้กันแค่ 2 ยกก็จอดป้าย นายโคตรรวย แพ้คดี ศาลบังคับให้คืนรถหรือใช้ราคา ตามที่บริษัท ฯเรียกร้อง กับค่าที่เอารถไปใช้โดยไม่ผ่อนส่ง 6 หมื่นกว่าบาท ค่าขาดประโยชน์ระหว่างไม่คืนรถอีกวันละ 100 บาท ตั้งแต่วันถัดจากวันฟ้อง กับค่าธรรมเนียมใช้แทนโจทก์ รวมเบ็ดเสร็จเฉียด 2แสนบาทแค่นั้นเอง ไม่มากไม่มายอะไรนัก
นายโคตรรวย พยายามหาเงินก้อนจำนวนตามที่ศาลอุทธรณ์ตัดสินร่วม 2 แสนบาทหอบมาวางที่ศาล เพื่อชำระให้บริษัทลีซิง แต่มีข้อแม้ ขอให้ศาลชะลอการจ่ายเงิน จนกว่าบริษัท ฯ จะจดทะเบียนโอนรถให้ นายโคตรรวย ไม่ใช่เอาทั้งเงินทั้งรถ
บริษัทลีซิงแสดงความโหดเหี้ยมออกมา ด้วยการขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์ของคนค้ำประกันอันได้แก่ นางสุดประหยัด ซึ่งเป็นจำเลยที่ 2 โดนฟ้องพร้อมกับ นายโคตรรวย มาแต่ต้น ฟังชื่อแล้วเหมือนจะยากจน แต่ทรัพย์ของนางสุดประหยัดที่ยึดมา คือ บ้านหลังใหญ่พร้อมที่ดินราคาเกือบ 8 ล้านบาท บริษัทลีซิงตั้งใจให้ขายทอดตลาดเอาเงินมาใช้หนี้ของตนไม่ถึง 2 แสนบาทแสบไหมละท่าน
นางสุดประหยัด อยู่ไม่ได้ ยื่นคำร้องต่อศาล ระบุว่าบริษัทยึดทรัพย์ของตนมีราคามากมายกว่า หนี้สินตามคำพิพากษาเป็นไหนๆ เป็นการยึดทรัพย์สินเกินกว่าความจำเป็นแก่การบังคับคดี เกินกว่าที่พอจะชำระหนี้ให้บริษัท ฯ ตามคำพิพากษา นายโคตรรวย เขาก็เอาเงินมาวางศาลครบถ้วนแล้ว ขอให้ถอนการยึด และให้โจทก์เสียค่าธรรมเนียมการบังคับคดี ค่าธรรมเนียมถอนการยึดและค่าธรรมเนียมอื่นๆ แทนหนูด้วย
ศาลชั้นต้นเล็งดีแล้ว มีคำสั่งถอนการยึดทรัพย์ของ นางสุดประหยัด ให้ นางสุดประหยัด จ่ายค่าธรรมเนียมถอนการยึดทรัพย์ตามยอดหนี้ตามคำพิพากษา คิดอัตราร้อยละ 3.5 และสั่งให้บริษัทลีซิงจ่ายค่าธรรมเนียมถอนการยึดทรัพย์ในส่วนที่เหลือของราคาทรัพย์ที่ยึดมาทั้งหมด 7 ล้านกว่าบาท คิดเป็นค่าธรรมเนียมเกือบ 2 แสน 7 หมื่นบาท
หน้าเหลืองตรงนี้เอง เพราะฟ้องเรียกเอาหนี้จาก นายโคตรรวย ศาลให้ไม่ถึง 2 แสนบาท บริษัททะลึ่งยึดทรัพย์เขามากมาย เมื่อถอนการยึด ศาลบังคับให้จ่ายค่าถอนการยึดขนาดนั้น
บริษัทลีซิงอยู่ไม่ได้ รีบยื่นอุทธรณ์ ไม่งั้นงานนี้เข้าเนื้อจนถึงกระดูก เพราะความโหดของตนเอง ยืนยันว่าค่าธรรมเนียมการถอน ไม่มากขนาดนั้น ต้องคิดตามทุนทรัพย์ที่บริษัท ฯ ฟ้องร้อง แต่ไม่เป็นผลศาลอุทธรณ์พิจารณาแล้ว พิพากษายืน
บริษัท ฯ ตาตั้ง นึกไม่ถึงว่าการเล่นงาน นายโคตรรวย กับพวก จะโดนรายการย้อนศรถึงเพียงนี้ จึงดิ้นรนด้วยการยื่นฎีกา เพื่อให้ลดค่าธรรมเนียมการถอนการยึดทรัพย์ลงมา
ศาลฎีกาเหล่ดูสำนวนคดีนี้แล้ว คงนึกสมน้ำหน้าบริษัทลีซิงเหมือนกัน พิจารณาแล้ว ชี้ขาดออกมาว่า
เมื่อยึดทรัพย์สินซึ่งไม่ใช่เงินตรา แล้วไม่มีการขาย กฎหมายให้เสียค่าธรรมเนียมร้อยละ 3.5 ของราคาทรัพย์สินที่ยึดนั้น ศาลฎีกาแจงต่อไปว่า โดยปกติการยึดทรัพย์สินของลูกหนี้ จะได้มูลค่าทรัพย์สินน้อยกว่าหนี้ที่ต้องรับผิด กฎหมายจึงกำหนดให้คิดค่าธรรมเนียมตามราคาทรัพย์สินที่ยึดได้ ซึ่งมักจะเสียค่าธรรมเนียมน้อยกว่าจำนวนหนี้ที่ต้องรับผิด ขณะเดียวกันกฎหมายไม่ได้กำหนดถึงกรณีที่ยึดทรัพย์ของลูกหนี้มามีมูลค่าทรัพย์สินเกินกว่าหนี้ จะให้จ่ายค่าธรรมเนียมยังไง
ศาลฎีกาจึงฟันธงว่า กฎหมายคงไม่ต้องการให้จ่ายค่าธรรมเนียม มากกว่าจำนวนหนี้ที่จะต้องรับผิดในการบังคับคดี ไม่งั้นจะเป็นการเสียค่าธรรมเนียมเกินกว่าที่พิพาทกัน คงจะไม่ถูกต้อง คำว่า ราคาทรัพย์สินที่ยึดตามบทบัญญัติดังว่า ต้องหมายถึงราคาทรัพย์สินที่ยึด ซึ่งไม่เกินจำนวนหนี้ที่จะต้องรับผิดในการบังคับคดี ข้ออ้างของบริษัท ฯ ฟังขึ้น บริษัท ฯ พ้นเคราะห์ไม่ต้องจ่ายค่าธรรมเนียมการถอนการยึดทรัพย์มากมาย
ก่ายกองอย่างที่ศาลล่างว่ามา
แต่ยังไม่หมดประเด็น ศาลฎีกาบอกว่า การที่ศาลล่างเกี่ยงงอนให้ นางสุดประหยัด จ่ายค่าธรรมเนียมการถอนการยึดทรัพย์ของเธอเมื่อไม่มีการขาย นั้นไม่ถูกต้อง ในเมื่อบริษัท ฯ ทะลึ่งยึดของเธอมาเกินเลย ตาม วิ. แพ่ง มาตรา 161 วรรคหนึ่ง
ประกอบ มาตรา 166 เข้าข่ายดำเนินกระบวนพิจารณาใดไปเป็นความผิด คนทำผิดต้องจ่ายค่าฤชาธรรมเนียมในกระบวนพิจารณานั้นๆ โดยไม่คำนึงว่าจะชนะคดีหรือไม่ บริษัทลีซิงจึงต้องเป็นฝ่ายจ่ายค่าธรรมเนียมถอนการยึดทรัพย์ฝ่ายเดียว ปัญหานี้เป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลล่างสั่งมาไม่ถูกต้อง แม้ไม่มีใครโต้แย้ง ศาลฎีกาก็มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยแก้ไขให้ถูกต้องได้
ศาลฎีกาจึงพิพากษาแก้ ให้บริษัทจ่ายค่าธรรมเนียมการยึดทรัพย์สินแล้วไม่มีการขายร้อยละ 3.5ของราคาทรัพย์ที่ยึด แต่ไม่เกินจำนวนหนี้ที่โจทก์ชนะคดี
รอดมาได้อย่างหวุดหวิด สำหรับบริษัทลีซิงหน้าเลือด จ่ายแค่ร้อยละ 3.5 ของจำนวนหนี้ที่ระบุมาในคำฟ้อง แต่ถ้าใครทำแบบนี้อีก หรือเป็นคดีแบบนี้อีก ผมว่าไม่แน่ ศาลฎีกาอาจจะตัดสินให้เจ้าหนี้โหดที่ไปยึดทรัพย์เขาเกินเลย รับผิดจ่ายค่าธรรมเนียมการถอนการยึดทรัพย์ ตามราคาทรัพย์ที่ไปยึดของเขามาแบบกลั่นแกล้งหรือส่งเดชก็เป็นได้ ไม่เชื่อลองดูก็แล้วกัน
จากคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4660/2549
เรื่องโดย : "จอมยุทธ"
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน ตุลาคม ปี 2551
คอลัมน์ Online : ร่มไม้ชายศาล
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/78944