รู้ไว้ใช่ว่า
รถบรรทุกมะกัน...
ถามว่าประทับใจจอร์จสิ่งไหนบ้างในการตะลอนๆ ไปตามท้องถนนที่แดนคาวบอย อย่างหนึ่ง คือ รถบรรทุก ส่วนใหญ่เขานิยมใช้รถหัวลาก อยากขนอะไรไป ก็นำมาพ่วง ลีลาการพ่วง มีทั้งพ่วงเดี่ยวและพ่วง 2
ชนิดพ่วง 2 จำพวกตู้ทึบ หรือคอนเทเนอร์ หากพ่วงเข้าไป 2 เห็นแล้วเหลือรับประทาน รวมกันแล้วยาวเหยียด เท่ากับตู้โบกีรถไฟขนสินค้าในบ้านเรา 3 ตู้นั่นแหละ นั่งรถเก๋งอยู่ข้างๆ ลองนับล้อดูปาเข้าไป 22 ล้อ ยังกะตีนกิ้งกือ
ส่วนที่เป็นรถหัวลากนั้น ไม่ธรรมดา ออกแบบได้สวยงาม ด้านหน้าจะเรียวได้สัดส่วน ไม่ทู่ๆ ป้านๆอย่างรถบรรทุกของเรา แม้จะใหญ่โต เฉพาะถังน้ำมันที่เห็นอยู่ด้านข้าง มหึมา เส้นผ่าศูนย์กลางคะเนแล้วไม่น้อยกว่า 2 ฟุต ยาวไม่ต่ำกว่า 2 เมตร คิดดูว่าหัวรถและเก๋งจะสูงใหญ่ขนาดไหน
ที่ชอบใจ คือ ด้านหลังถัดจากที่นั่งคนขับ ส่วนใหญ่จะมีห้อง เป็นเสมือนบ้านเคลื่อนที่ของโชเฟอร์สามารถพาลูกเมียไปได้สบาย ไม่ต้องพึ่งโมเตลโรงแรม การตกแต่งสีภายนอกก็สวยงามแวววับสะอาดสะอ้าน ไม่มอมแมมเหมือนรถถบรรทุก 10 ล้อ เห็นแล้วอยากขับ
สิ่งที่ประทับใจอย่างยิ่ง คือ สไตล์การขับรถบรรทุกของเขา เหมือนขับรถเก๋ง หรือรถบ้านยังไงยังงั้นใหญ่โตก็จริง แต่สุภาพ ไม่กร่าง ไม่ขวาง ไม่ซ่า ไม่แข่งกันเอง หรือแข่งกับรถอื่นๆ หรือคิดว่าอั๊วของใหญ่ไม่กลัวใคร อย่างบ้านเรา
สาเหตุหนึ่ง คือ วินัยจราจรเขาดี ลีลาการขับรถเหมือนๆ กับการเข้าคิวยังไงยังงั้น ขับไหลตามกันไปด้วยความเร็วเท่าๆ กันตามที่กฎหมายกำหนด ไม่ขับช้าขวางคนอื่น ไม่เร่ง ไม่แซง ไม่ปาดหน้าปาดหลังเหมือนกับที่เราชอบด่ากัน มันจะไปตายหรือญาติเสียงั้นเหรอ รถบรรทุก รถพ่วง หรือบางครั้งเรียกว่าคอนวอย จึงไม่ได้สร้างปัญหาบนท้องถนนตอนแรกไปนั่งรถทางยาว ดูรถบรรทุกเพลิดเพลินก็จริง แต่ไม่ไว้ใจ ยังติดนิสัยบ้านเรา นั่งไปสักพักใหญ่ก็วางใจ สบายใจ รถใหญ่รถเล็ก ไหลตามกันไปอย่างสบายๆ เฮ้อ...เมื่อไหร่บ้านเมืองเราจะได้อย่างเขาต้องสังเวยชีวิต ต้องนั่งนับศพในเทศกาลต่างๆ อีกนานแค่ไหน
อย่างว่า ข้อแตกต่างสำคัญอีกอย่าง ซึ่งทำให้การขับรถที่โน่นปลอดภัย แทบไม่เห็นรถจักรยานยนต์มาแจม คล้ายๆ กับที่ญี่ปุ่น พี่แกผลิตออกมาขายให้เรามากมาย แต่ไม่นิยมใช้บนถนนใหญ่ ปัญหานี้เราคงแก้ได้ยาก เพราะมีนักบิดมากมายเหลือเกินครับ เราต้องวัดดวงกันอีกนาน สำหรับการใช้รถใช้ถนน
ขอฝากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ฝากรัฐบาล ซึ่งไปรู้ไปเห็นมาแล้วทั้งนั้น ช่วยหาทางแก้ไขกันหน่อยอย่าได้ปล่อยให้คนของเรา พร้อมทั้งพวกท่านๆ ทั้งหลาย เสี่ยงกันตลอดชาตินี้และชาติหน้าต่อไปเลย
ต้องมีคดีความตบท้ายจึงจะครบเครื่อง เรื่องราวเกิดจากรถบรรทุก 10 ล้อนั่นแหละ ชนรถมอเตอร์ไซค์เข้าให้ นายกำเนิด คนขับ 2 ล้อติดเครื่อง กับ ดญ. ดาวรุ่ง ซึ่งนั่งซ้อนท้ายตกเป็นเหยื่อ ตายคาที่ ไม่ต้องรักษา เกิดเหตุแล้ว เถ้าแก่เจ้าของรถ 10 ล้อ และโชเฟอร์ทำเฉย ตามธรรมเนียมบ้านเรา
ผู้ที่ออกโรง ทนายพาขึ้นศาล คือ นางสมหวัง เป็นโจทก์ยื่นฟ้องเถ้าแก่รถ 10 ล้อ กับคนขับ ให้รับผิดต่อการเสียชีวิตของ นายกำเนิด และ ดญ. ดาวรุ่ง รวมเป็นเงิน 2 แสนบาท
ศาลชั้นต้นตรวจคำฟ้องแล้ว เห็นชัดว่า นายกำเนิด ที่ไปกำเนิดใหม่ ไม่ใช่สามีตามกฎหมายของ นางสมหวัง แค่อยู่กินด้วยกันเฉยๆ ไม่ได้จดทะเบียน ส่วน ดญ. ดาวรุ่ง ก็ปรากฏจากคำฟ้องที่ทนายทำให้ บอกว่าเป็นบุตรของน้อง นายกำเนิด แม่ของ ดญ. ดาวรุ่ง หย่าสามี ไปไหนไม่รู้ ดญ. ดาวรุ่ง อาศัยอยู่กับ นางสมหวัง แสดงว่า นางสมหวัง เป็นผู้ปกครอง จึงฟ้องเรียกค่าเสียหายมาด้วยเมื่อเป็นอย่างนี้แล้ว ศาลชั้นต้นไม่ต้องเสียเหงื่อ ตัดสินยกฟ้องไปได้เลยทันที เพราะไม่มีอำนาจฟ้อง
ทนายของ นางสมหวัง พา นางสมหวัง ยื่นอุทธรณ์ อ้างขึ้นมาด้วยว่า ทายาทตัวจริงของ นายกำเนิดได้มอบอำนาจให้ฟ้องคดีนี้ อย่าได้ยกฟ้อง ศาลอุทธรณ์พิจารณาแล้ว พิพากษายกฟ้องโชเฟอร์รถ 10 ล้อเช่นเคย ส่วนเถ้าแก่รถ 10 ล้อ โจทก์ คือนางสมหวัง ก็ไม่นำส่งหมายส่งสำเนาอุทธรณ์ให้เขา ถือว่าทิ้งฟ้อง หมดสิทธิ์เชคบิลล์เช่นกัน
แทนที่จะหยุดแค่นั้น ทนายของ นางสมหวัง ยังฟิท พา นางสมหวัง ยื่นฎีกา เล่นเกมยาวซะนี่ ศาลฎีกาเพ่งดูคดีนี้ด้วยความสงสาร แล้วชี้ขาดออกมาว่า
ตามฟ้อง นางสมหวัง ไม่ใช่ภรรยาตามกฎหมายของ นายกำเนิด และไม่ใช่ผู้ปกครองของ ดญ. ดาวรุ่งจึงไม่มีอำนาจฟ้องคดีนี้ ตามที่ศาลล่างว่าไว้นั่นแหละ ที่อ้างในชั้นฎีกาว่า แท้ที่จริง ดญ. ดาวรุ่งเป็นลูกของ นางสมหวัง ซึ่งเกิดจากสามีอีกคนหนึ่ง ศาลไม่รับฟัง เพราะเพิ่งมาอ้างดุ่ยๆ ในชั้นนี้
ศาลฎีกาจึงพิพากษายืน นางสมหวัง ไม่ได้อะไรเลย เสียแต่ค่าทนายไปตามเรื่องยกคดีนี้มาเพื่อให้เห็นว่า บางครั้งทนายพาชาวบ้านขึ้นศาลแบบเรื่อยเปื่อย เสียเวลาเสียเงิน1โดยไม่ได้อะไรเลย น่าสงสารน่าเห็นใจชาวบ้านตาดำๆ น้อยอยู่หรือ แต่ถ้าเจ้าตัวดันทุรังอยากค้าความเอง ก็แล้วไป ทนายพาแห่ได้อยู่แล้ว เมื่อเขาสมัครใจ การขึ้นศาลอย่าทำแบบส่งเดช ไม่เกิดประโยชน์
นอนตีพุงอยู่ที่บ้านสบายกว่าเยอะ เชื่อผม
จากคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1820/2550
เรื่องโดย : ณรงค์ นิติจันทร์
นิตยสาร 417 ฉบับเดือน มกราคม ปี 2554
คอลัมน์ Online : รู้ไว้ใช่ว่า
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/82462